xs
xsm
sm
md
lg

‘เฮียอ๋า’ ลูกจีนกู้ชาติ พี่ใหญ่ที่คอยให้กำลังใจ พธม.สงขลา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 “ทนงศักดิ์ พงศ์จินดามณี” หรือที่พี่น้องมักเรียกขานอย่างเป็นกันเองว่า “เฮียอ๋า”
รายงาน
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

การลุกขึ้นต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนในรอบปี 2551 เพื่อขับไล่รัฐบาลนอมินีของระบอบทักษิณ พี่น้องประชาชนชาวสงขลา ถือเป็นกำลังสำคัญในการร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเมืองใหม่ หรือการเมืองที่ภาคประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งหลายคนคงคุ้นหน้าตาคณะกรรมการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสงขลา” คนหนึ่ง เขาเป็นชายวัยกว่าครึ่งคน สูงสมสัดส่วน ผิวที่ขาวนั้นบ่งบอกถึงความเป็น “ลูกจีนรักชาติ” ได้เป็นอย่างดี

เขาคือ “ทนงศักดิ์ พงศ์จินดามณี” หรือที่พี่น้องมักเรียกขานอย่างเป็นกันเองว่า “เฮียอ๋า” เจ้าของร้านจำหน่ายอะไหล่รถมอเตอร์ไซค์รายใหญ่รายหนึ่งของเมืองหาดใหญ่ ที่สละเวลาส่วนตัวมาร่วมขับเคลื่อนกับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง และหลายครั้งก็มาพร้อมกับครอบครัวที่ช่วยประกอบอาหารมาเลี้ยงเหล่าพี่น้องพันธมิตรฯสงขลา ณ ลานประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ ตลอดระยะเวลาที่มีการชุมนุม

“ลานประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ ถือเป็นสถานที่แรกที่ทำให้ผมเริ่มติดตามสถานการณ์ข่าวสารบ้านเมือง เพราะในตอนนั้นมีเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของชาวไทยคือ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 ที่ประชาชนชาวไทยร่วมกันขับไล่รัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่ได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยใช้ระบอบเผด็จการทหาร ซึ่งในครั้งนั้น มีการตั้งเวทีประชาชนขึ้นที่ลานประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ ผมได้เข้าไปร่วมรับฟังปราศรัยและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดด้วย”

เฮียอ๋า กล่าวอย่างเป็นกันเอง ก่อนออกตัวว่าสิ่งนี้ตนสนใจติดตามข่าวสารบ้านเมืองตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา แต่ความเข้มข้นก็ไม่ถือว่า ต้องตั้งใจติดตามแบบลงลึกมากเท่ากับช่วงเวลา 3-4 ปีมานี้ อาจเป็นเพราะสมัยนั้นสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ผิดปกติมากมายเท่าช่วง 8 ปีที่ผ่านมา หรือเป็นห้วงสมัยที่รัฐบาลภายใต้ระบอบทักษิณเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งทำให้บ้านเมืองเกิดความวิบัติอย่างร้ายแรง

นับแต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั่งบริหารประเทศ แล้วตามด้วยรัฐบาลนอมินี หรือรัฐบาลครอบครัว ถือว่าได้เกิดความฉ้อฉลอย่างแยบยล อีกทั้งลุกลามถึงขั้นล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันที่เคารพและนับถืออย่างสูงสุดของปวงชนชาวไทย สิ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตนและพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันทนอยู่อย่างนิ่งเฉยไม่ได้ จึงออกมาต่อสู้เพื่อขับไล่รัฐบาลทรราชนับแต่ปี 2548 เป็นต้นมา

นายทนงศักดิ์ กล่าวว่า การเข้าร่วมต่อสู้ระบอบทักษิณร่วมกับผองพี่น้องพันธมิตรฯ ของตนนั้น เริ่มจากตนได้มีโอกาสเข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในห้องเรียนของวิทยาลัยวันศุกร์อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งจัดตั้งขึ้นที่คณะการจัดการสิ่งแวดล้อมในรั้วมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (มอ.หาดใหญ่) ถือเป็นสถาบันที่ใครๆ ก็สามารถเข้าร่วมงานได้ อีกทั้งทุกคนเป็นได้ทั้งครูบาอาจารย์และนักเรียนนักศึกษาในเวลาเดียวกัน ซึ่งในห้องเรียนของวิทยาลัยวันศุกร์มักจะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการบ้านการเมืองกันอยู่บ่อยๆ

“พอรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่จัดโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับ คุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ถูกขับออกจากช่อง 9 กลายเป็นข่าวใหญ่ ทางวิทยาลัยวันศุกร์ก็ได้เปิดถ่ายทอดสดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ช่อง NEWS 1 ก่อนที่จะพูดคุยการบ้านการเมืองกันต่อ นับเป็นรายการที่พลิกบทบาทของสื่อมวลชน ที่หยัดยืนอยู่บนความจริง แล้วนำมาตีแผ่สู่สังคม กล้าชำแหละระบอบทักษิณที่ซุกซ่อนกระบวนการทุจริตตลอดเวลาที่บริหารประเทศ นับแต่นั้นมาผมก็ติดตามและเข้าร่วมต่อสู้มาจนถึงเวลานี้”

เขากล่าวต่อว่า จากปรากฏการณ์ สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้บริหารสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ที่ขุดคุ้ยความฉ้อฉลของผู้นำของประเทศออกมาตีแผ่ แล้วกล้าที่จะนำมวลชนลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่ชอบธรรมนั่นเอง ทำให้พี่น้องประชาชนที่กำลังเคลือบแคลงสงสัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวกในระบอบทักษิณรู้ทันการเมืองระบอบทรราช ส่วนผู้ที่ไม่รู้เลยก็จะได้ตาสว่าง ถือเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อสังคมไทย และตลอดเวลาที่มีการรวมตัวชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ นอกจากมุ่งหวังต่อสู้การทุจริตคอร์รัปชันครั้งใหญ่แล้ว ยังต้องการส่งสารให้ผู้ที่ยังไม่เปิดรับข่าวสารได้รู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ที่ไม่มีสื่อใดเปิดเผยอีกด้วย

“หากทุกคนได้รับข่าวสารก็จะเข้าใจว่า ทำไม่พันธมิตรฯ สงขลาจึงต้องออกมาขับไล่และโค่นล้มระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นภัยที่ร้ายแรงต่อประเทศชาติ จนเกิดการขับเคลื่อนมวลชน มีการจัดตั้งเวทีปราศรัยที่ มอ.หาดใหญ่และที่ลานประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ มีการจัดหาเงินบริจาคมาสมทบค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเคลื่อนไหว พี่น้องได้ร่วมลงชื่อฟ้องทักษิณในคดีแปรรูปรัฐวิสาหกิจไฟฟ้า ส่วนภรรยาได้ช่วยทำอาหารไปเลี้ยงพี่น้องที่มาฟังการปราศรัยตลอดระยะเวลาที่มีการชุมนุม”

นอกจากร่วมสร้างและสนับสนุนเวทีประชาชน ณ ลานประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟหาดใหญ่แล้ว หลายครั้งที่ เฮียอ๋า ยังได้เดินทางไปชุมนุมร่วมกับพี่น้องพันธมิตรฯจากทั่วประเทศ ณ สะพานมัฆวานรังสรรค์และที่ทำเนียบรัฐบาลในกรุงเทพฯ อย่างเมื่อครั้งที่พี่น้องประชาชนร่วมกันยึดทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 26 สิหาคม 2551 หากใครสังเกตภาพที่มีการพิมพ์เผยแพร่ในภายหลังก็อาจจะจำได้ว่า เขาคือหนึ่งในคนนับหมื่นที่นั่งอยู่กลางลานหน้าทำเนียบรัฐบาลในวันนั้น หรือเมื่อครั้งที่พันธมิตรฯสงขลาปิดสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ เขาก็เป็นหนึ่งในคณะทำงานหลักที่ร่วมปฏิบัติการอยู่ด้วย นี่ไม่นับการดำเนินงานเคลื่อนไหวและทำเวทีกว่า 6 เดือน ณ ลานประวัติศาสตร์ หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่

“ในฐานะที่ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้เข้าร่วมปฏิบัติการชุมนุมกับพี่น้องพันธมิตรฯสงขลามาตลอด ต้องขอขอบคุณพี่น้องพันธมิตรฯจากทั่วประเทศทุกคน โดยเฉพาะ 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมถึงแกนนำรุ่นที่ 2 และผู้ประสานงาน ที่ได้ทำให้พี่น้องบรรลุจุดประสงค์ในการต่อสู้ครั้งนี้ ถือเป็นการต่อสู้ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อชีวิตของพี่น้องพันธมิตรฯเรา เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อให้ได้มาซึ่งการเมืองใหม่ หรือการเมืองที่ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง” เฮียอ๋า กล่าวและเสริมว่า

“หากมีการลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งของพี่น้องผองพันธมิตรฯเรา รับประกันว่าผมจะไม่หนีไปไหน ผมจะร่วมต่อสู้กับพี่น้องพันธมิตรฯเราต่อเนื่องไป และผมก็อยากขอร้องให้พี่น้องพันธมิตรฯเราทุกคนออกมาร่วมกันต่อสู้กันต่อๆ ไปอีก เราต้องไม่ยอมแพ้ อย่ายอมให้ผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียเลือดเนื้อโดยเปล่าประโยชน์ เราต้องช่วยกันขับไล่นักการเมืองเก่าๆ ที่เน่าเฟะออกไปให้พ้นจากระบบการเมืองของประเทศไทย แล้วร่วมกันสร้างการเมืองใหม่ที่ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และร่วมกันเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์มิให้ใครหน้าไหนมาลบหลู่และล้มล้าง”

ด้านชีวิตส่วนตัวนั้น เฮียอ๋า บอกเล่าให้ฟังว่า ตนมีโอกาสได้เรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 เท่านั้น หลังจากนั้นก็ต้องออกมาประกอบอาชีพ แต่ก็สู้ชีวิตสร้างเนื้อสร้างตัวเรื่อยมา โดยเริ่มจากการรับจ้างทั่วไป ใครมีอะไรให้ทำก็ทำได้ทั้งหมด เป็นเซลส์ขายของ สั่งสมประสบการณ์ด้านต่างๆ เรื่อยมา จนได้พบกับผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่งที่หยิบยื่นโอกาสให้ ช่วยสนับสนุนจนได้มาเปิดร้านขายอะไหล่รถจักรยานยนต์ เริ่มจากการใช้รถออกวิ่งส่งตามร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ต่างๆ จนมาได้ถึงวันนี้

ตลอดเวลาการประกอบอาชีพได้ยึดคติประจำใจในการทำงานคือ ซื่อสัตย์ ขยัน อดทน และอิงเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวง ประกอบด้วย พอประมาณ มีสมดุล มีภูมิคุ้มกัน และด้วยกุศลกรรมนั่นเอง ที่ได้หนุนให้การงานเจริญก้าวหน้า นับได้ว่าประสบความสำเร็จได้โดยอาชีพสุจริต สามารถหาเลี้ยงครอบครัว มีเวลาติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวม ทั้งหมดนั่นเป็นความสุขที่สุดแล้ว โดยเฉพาะการเดินหน้าจับตาทิศทางการเมืองไทย ภายหลังจากมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง

“ผมอยากให้รัฐบาลที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแก่นแกนชุดนี้ทำงานด้วยความจริงใจ ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ปราบปรามคนโกงชาติบ้านเมืองให้หมดไป และรัฐบาลต้องออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกรัฐบาลทรราชลบหลู่มานาน แม้พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นที่นิยมของคนใต้เรา แต่ถึงอย่างไรหากรัฐบาลชุดนี้ทำงานไม่ถูกต้อง ไม่โปร่งใส ผมก็พร้อมจะออกมาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนอีกครั้งอย่างแน่นอน” เฮียอ๋า กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
กำลังโหลดความคิดเห็น