xs
xsm
sm
md
lg

อินเดียแฉซ้ำกองทัพเรือ ผลักชาวโรฮิงยาไปตาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเอฟพี รายงานว่าหน่วยงานตรวจชายฝั่งของอินเดียแถลงวานนี้(18 ม.ค.)ว่า มีผู้สูญหายไปในทะเลเป็นจำนวนร้อยๆ คน โดยเชื่อว่าเป็นพวกชาวโรฮิงยา ที่อพยพหลบหนีภัยทางเรือจากพม่า แล้วได้ถูกทางการไทยจับกุม และกล่าวหากันด้วยว่าไทยได้ลากเรือบรรทุกผู้คนเหล่านี้กลับออกไปกลางทะเลและปล่อยให้ตายอย่างอนาถ
ทางด้านประเทศไทยได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทว่าจากปากคำของพวก ผู้รอดชีวิต และรายงานล่าสุดจากหน่วยงานตรวจชายฝั่งของอินเดีย ต่างก็กำลังกลายเป็นหลักฐานที่ส่งแรงกดดันหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ และรัฐบาลไทยแถลงว่าจะจัดการประชุมร่วมกับทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ในวันนี้(19 ม.ค.)
เอเอฟพี รายงานว่ากองทัพเรือไทยคือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า ทำการกักกันตัวผู้อพยพทางเรือชาวโรฮิงยาเหล่านี้ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยนับถือศาสนาอิสลามที่พำนักอาศัยอยู่ในพม่าบริเวณชายแดนติดต่อกับบังกลาเทศ ภายหลังจากคลื่นลมซัดพาเรือของพวกเขาเข้ามาถึงชายฝั่งของไทย ต่อจากนั้น กองทัพเรือไทยก็ลากเรือบรรทุกพวกเขากลับไปยังทะเล และปล่อยให้เผชิญชะตากรรมต่อไปเอาเอง
หน่วยงานตรวจชายฝั่งของอินเดียแถลงวานนี้ว่า ได้ช่วยเหลือผู้อพยพ ชาวโรฮิงยาเหล่านี้มาได้หลายร้อยคน แต่ก็หวั่นเกรงว่าอีกหลายร้อยคนคงจะประสบภัยเสียชีวิต
พวกเขาบอกว่าพวกเขาถูกนำตัวไปที่เกาะแห่งหนึ่งนอกชายฝั่งของไทย และถูกซ้อมถูกทำร้าย ก่อนจะถูกบังคับให้ลงเรือและถูกผลักออกไปยังทะเลหลวง นายรันจิต นรายัน เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ของอินเดียกล่าว
อินเดียได้ช่วยชีวิตผู้อพยพได้ 446 คน จากเรือ 4 ลำ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม และเราเกรงว่ายังมีคนที่หายตัวไปอีกหลายร้อยคน เอส. พี. ชาร์มา ผู้บังคับการหน่วยตรวจชายฝั่งของอินเดียกล่าวกับเอเอฟพี
ตัวเลขเหล่านี้ดูสอดคล้องกับรายงานของ ซันเดย์ มอร์นิ่ง โพสต์ หนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์ของเซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ แห่งฮ่องกง ซึ่งระบุว่า รวบรวมตัวเลขผู้สูญหายและเสียชีวิตได้รวม 538 คน
ชาร์มาบอกว่า ผู้อพยพเหล่านี้กล่าวว่าพวกเขาถูกทางเจ้าหน้าที่ไทยจับกุมตัว และถูกปล่อยกลับลงทะเลในเรือที่ไม่มีเครื่องยนต์หรืออุปกรณ์เดินเรือ
ผู้รอดชีวิตบางคนบอกด้วยว่า เรือที่บรรทุกพวกเขาถูกลากไปกลางทะเลโดยกองทัพเรือไทย และได้รับข้าวสุก 2 กระสอบ และน้ำ 2 แกลลอน ก่อนที่จะถูกทิ้งเอาไว้กลางทะเลอย่างนั้น
ด้าน น.อ.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ โหษกกองทัพเรือ กล่าวกับเอเอฟพีว่า เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบต่างกระทำตามขั้นตอนที่มีระเบียบวางไว้แล้ว เมื่อเข้าจับกุมผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายและคำบอกเล่าจากพวกนักท่องเที่ยวตะวันตก ที่ได้ไปเยือนหมู่เกาะอันสวยงามทางชายฝั่งอันดามันของไทย เมื่อเร็วๆ นี้ ต่างก็สนับสนุนข้อกล่าวหาเหล่านี้
ด้าน คิตตี้ แมคคินซีย์ ยูเอ็นเอชซีอาร์ประจำภูมิภาคแปซิฟิก ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านผู้อพยพลี้ภัยของยูเอ็น กล่าวว่า ได้ติดต่อกับทางรัฐบาลไทยตั้งแต่ที่ปรากฏข้อกล่าวหานี้ขึ้นครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้ว และขอให้รัฐบาลไทย ใช้มาตรการที่จำเป็นทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่า ชีวิตของชาวโรฮิงยาจะไม่ถูกผลักไสให้อยู่ในความเสี่ยง แต่เรายังคงไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา แมคคินซีย์บอกว่า ถ้าหากข้อกล่าวหาเหล่านี้กลายเป็นความจริงขึ้นมา ก็เท่ากับว่าประเทศไทย กำลังละเมิดอนุสัญญาต่างๆ ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานมากๆ นั่นคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะมีชีวิต ด้วยการทำให้ชีวิตมนุษย์ตกอยู่ในความเสี่ยง จากการลากนำพวกเขาออกไปกลางทะเล
นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีสำนักข่าวต่างประเทศ ระบุว่า กองทัพเรือกระทำการทารุณโหดร้ายกับผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงยาว่า ข่าวที่เกิดขึ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะไทยและพม่า ได้ร่วมมือกันต่อต้านการค้ามนุษย์ แรงงานเถื่อน และเจตนารมณ์ของรัฐบาลสองประเทศ คือ จะร่วมมือกันเพื่อความเปลี่ยนแปลงในทางบวก และเรามุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อส่งเสริมประชาคมอาเซียน ดังนั้น จะไม่อ่อนไหวกับเรื่องที่จะทำให้เข้าใจผิด ซึ่งเคยบอกแล้วว่าสามารถโทรศัพท์พูดคุยกันได้
ส่วนที่มีข่าวทางการพม่าไม่ตอบรับการเยือนอย่างเป็นทางการของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกษิต กล่าวว่า ไม่จริง อย่าคิดอะไรในเชิงลบ ประเทศที่มีชายแดนติดกันยาว 2-3 พันกิโลเมตร มีความสัมพันธ์มายาวนาน และเป็นสมาชิกอาเซียนที่มีกรอบกติกาที่ชัดเจน
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สูงสุด กล่าวถึงข่าวที่ระบุว่าทหารเรือไทยกระทำทารุณกับผู้อพยพเข้าเมืองชาวโรฮิงยา และปล่อยเรือให้ลอยอยู่กลางทะเลว่า กองทัพไทย ดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนการปฏิบัติก็มีขั้นตอนการดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่พยายามหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและด้านอื่นๆ เช่น อาชญากรข้ามชาติ ในกรณีผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เรามีมาตรการแนวทางในการปฏิบัติ นโยบาย บนพื้นฐานของมนุษยธรรม
เมื่อวันที่ 17 มกราคมผมไปเปิดดูข่าวใน ซีเอ็นเอ็น เขาตั้งข้อสังเกต ผู้ที่พยามยามหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมีแต่คนหนุ่มๆ ไม่มีผู้หญิง เด็ก คนแก่ คือไม่มีคนที่อายุสูงกว่าผม ทุกอย่างมีเหตุผลกลไกการไปการมา อยากให้สื่อมวลชน ลองวิเคราะห์ ดูภาพว่า คนพวกนี้เข้ามาทำอะไร อยู่ในวัยไหน จำนวนเท่าไหร่ และไม่ใช่ภาพของคนที่อพยพเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย เขามาเพื่อความมุ่งหมายใด ประเทศที่เขารับ คนพวกนี้ก็ไม่ไป ทำไมเขาพยายามเข้ามาประเทศไทย เรือที่สามารถ วิ่งได้ 700 กิโลเมตร เรือเล็กทำได้หรือไม่ มีขบวนนำพาหรือเปล่า ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกส่วน กำลังดำเนินการ
พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ประเทศไทยยอมรับให้เขาเข้ามาไม่ได้ ไม่มีประเทศใดที่จะยอมรับคนเหล่านี้เข้ามา เขาพยายามไปแล้วไม่ว่าจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน
ร อบๆ ประเทศไทย ส่วนขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎหมาย คือการส่งกลับออกไป มีกฎกติกาอยู่แล้ว ขอยืนยันว่ากองทัพไทยไม่เคยปฏิบัติการอันไร้มนุษยธรรม เป็นที่ยอมรับในเวทีนานาประชาติ ว่ากองทัพไทยปฏิบัติการเพื่อรักษาสันติภาพ ได้อย่างดีเยี่ยม จึงถูกเชิญไปปฎิบัติการทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่ แอฟริกา เอเชีย เป็นพื้นฐานการทำงานของกองทัพ จึงยืนยันได้ว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องชี้แจงให้สังคมโลกได้รับทราบหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า สังคมโลกต้องคิดเองได้ ถ้ามิเช่นนั้น กองทัพไทยจะยืนอยู่ที่ไหนในโลกไม่ได้ เมื่อถามว่า จะเชื่อมโยงกับการก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า เราไม่ต้องการให้ใครเข้าไปเกี่ยวข้อง พี่น้อง ประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังได้รับการดูแลให้มีความสุข มีการพัฒนา ความเป็นอยู่ทีดีขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้ทุกคนอยากจะเข้ามาด้วยจุดประสงค์หลายๆอย่าง บางครั้งเราไม่สามารถระบุได้
ต่อข้อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นการโจมตีประเทศไทยในเรื่อง สิทธิมนุษยชน เพื่อต้องการให้ต่างชาติเข้ามาดูแล พล.อ. ทรงกิตติ กล่าวว่า คนไทย ทราบอยู่แล้ว่าอะไรเป็นอะไรตั้งแต่ตอนใต้จนถึงตอนเหนือของประเทศ อยากให้ทุกคน ช่วยกันและสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นพลังที่จะช่วยกันรักษาพื้นที่ประเทศไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น