ASTV ผู้จัดการรายวัน - เกาะติดคอร์รัปชันในรัฐบาลมาร์ค 1 พบสองบิ๊กนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 เข้าจับจ้องเตรียมงาบคำโตในกระทรวงไอซีที ทำตัวกร่างคับกระทรวง จัดสรรบอร์ด กสท เร่ขายเก้าอี้ 20-30 ล้านบาท เบื้องหลังล้มประมูลสมาร์ทการ์ด 26 ล้านใบ ล็อกงาน 3 จีให้บริษัทเอกชนกะฟันใต้โต๊ะหลายพันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการเกาะติดตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เข้ามาทำงานเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ซึ่งรัฐบาลชุดนี้แม้จะได้หัวขบวนคือนายอภิสิทธิ์ที่เป็นนักการเมืองน้ำดี ไม่มีความด่างพร้อยมาก่อนก็ตาม แต่ประชาชนไม่ได้ให้ความไว้วางใจเต็มที ว่าเข้ามาบริหารบ้านเมืองแล้วจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ และเสียสละเพื่อประเทศชาติ โดยไม่ใช้อำนาจรัฐไปแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นกันมูมมามเช่นรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติที่แล้วมา
ทั้งนี้ ความไม่ไว้วางใจของประชาชนกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เกิดจากการที่มีรัฐมนตรีหลายคนที่เป็นคนของพรรคร่วมคือพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และกลุ่มเพื่อนเนวิน ชิดชอบที่รวมตัวกันเป็นพรรคภูมิใจไทยในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติและประวัติการทำงานเป็นที่ยอมรับของสังคมมาก่อน แต่มาเป็นรัฐมนตรีได้เพราะเป็นคนใกล้ชิดของนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามคำวินิจฉัยยุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญ รัฐมนตรีหลายคนที่มาจากพรรคร่วมจึงอยู่ในสภาพ ร่างทรง นอมินี และหุ่นเชิด
ดังนั้น เมื่อภาพพจน์ของรัฐมนตรีจากพรรคร่วมปรากฏในความรับรู้ของประชาชนเช่นนี้ทำให้ตัวรัฐมนตรีร่างทรงหรือหุ่นเชิดเหล่านั้นขาดการยอมรับในเรื่องความรู้ ความสามารถว่าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และโดยเฉพาะประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต รัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลชุดนี้ก็ยังสอบไม่ผ่าน
ในขณะเดียวกัน นักการเมืองที่มีอำนาจในพรรคร่วมรัฐบาล แม้ว่าตนเองจะติดคุกบ้านเลขที่111ถูกศาลห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ก็รักษาอำนาจการเมืองไว้ด้วยการส่งร่างทรงหรือหุ่นเชิดของตนนั่งเป็นรัฐมนตรี ทำให้ไม่ห่างหายไปจากวงจรของอำนาจ ทั้งยังเข้ามาก้าวก่ายบริหารจัดการงานในกระทรวงที่หุ่นเชิดของตนเองนั่งเป็นรัฐมนตรี
**แฉสองบิ๊กใหญ่คับไอซีทีตั้งโต๊ะขายเก้าอี้บอร์ด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สิ่งที่ประชาชนเจ้าของประเทศสมควรได้รับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นกับการบริหารงานแผ่นดิน คือขณะนี้มีนักการเมืองระดับบิ๊กสองคนจากพรรคเพื่อแผ่นดินเข้าไปก้าวก่ายการทำงาน และการบริหารงานในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร หรือไอซีที ที่มี ร.ต.(หญิง) ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี นั่งว่าการเป็นรัฐมนตรี โดยสองนักการเมืองเข้ามาที่กระทรวงไอซีทีสัปดาห์ละหลายวัน และมีพฤติกรรมที่แสดงตัวเป็นคนที่มีอำนาจเหนือกว่ารัฐมนตรี แม้ว่ารมต.ระนองรักษ์จะรู้สึกอึดอัดก็ไม่สามารถแสดงออกได้ เพราะทั้งสองเป็นคนมีอำนาจอยู่ในพรรค
สำหรับเรื่องที่พูดคุยกันก็จะเป็นเรื่องการจัดการผลประโยชน์ในโครงการต่างๆที่อยู่ในกระทรวงไอซีทีเท่านั้น ตลอดถึงเรื่องการจัดสรรบุคคลเข้ามามีตำแหน่งหน้าที่ต่างๆในหน่วยงานในสังกัดไอซีที และมีข่าวสะพัดว่าเริ่มมีการเก้าอี้กันแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงนี้ที่กระทรวงไอซีทีอยู่ระหว่างการคัดเลือกแต่งตั้งบุคคลเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) ใหม่ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่อยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีไอซีที และรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะเสนอแต่งตั้งบุคคลเข้าไปนั่งเป็นบอร์ด กสท ตอนนี้จึงปรากฏข่าวว่ามีนักธุรกิจสายงานธุรกิจสื่อสารวิ่งเต้นขอเข้าเป็นบอร์ด กสท โดยผ่านบิ๊กนักการเมืองทั้งสองจำนวนมาก แต่ก็ถูกเรียกเงินคนละ 20-30ล้านต่อคนสำหรับที่นั่งในบอร์ด กสท
**แฉผลประโยชน์ กสท มหาศาล
อย่างไรก็ตาม นอกจากเสนอขายที่นั่งในบอร์ด กสท แล้ว นักการเมืองระดับบิ๊กทั้งสอง ยังจะวางตัวคนของตนเองเข้าไปนั่งเป็นบอร์ด กสท ด้วย เพื่อวางแผนหาผลประโยชน์กับโครงการต่างของกสท.ที่จะอนุมัติการลงทุนหลายโครงการในช่วงปีนี้ เช่น 1. โครงการสร้างระบบเชื่อมโยงเคเบิลใต้น้ำชุมสายที่บางรัก ศรีราชา และนนทบุรี งบประมาณ 600 ล้านบาท 2.โครงการระบบ NGN งบประมาณ 500 ล้านบาท3.โครงการระบบสื่อสารไร้สายเพื่อให้บริการในพื้นที่ห่างไกล (USO) งบประมาณ 281 ล้านบาท4.โครงการโทรศัพท์สาธารณะระบบ CDMA งบประมาณ 430 ล้านบาท 5.โครงการ Upgradeและขยายระบบ CDMA outdoor งบประมาณ 817 ล้านบาท 6.โครงการระบบ ERP หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบบัญชี งบประมาณและระบบบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ 345 ล้านบาท 7.โครงการระบบ Real Time Charging หรือการคิดค่าบริการแบบเรียลไทม์ งบประมาณ 300 ล้านบาท 8.โครงการจัดซื้อ DSLAM หรืออุปกรณ์ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต งบประมาณ 314 ล้านบาท 9.โครงการเทคโนโลยี GEPON และ GPON งบประมาณ 228 ล้านบาท10.โครงการ Access Switch งบประมาณ 120 ล้านบาท
**3G เค้กก้อนใหญ่อีแร้งรองาบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กสท ไม่มีโครงการขนาดใหญ่เท่ากับที่บริษัท ทีโอที คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือทีโอที ซึ่งจะมี โครงการสร้างเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 หรือ 3 จี ซึ่งคณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชอนุมัติเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2551 ในวงเงินลงทุน 29,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการ 3จี ถือเป็นเค้กก้อนโตที่หลายพรรคการเมืองรุมตอม โดยที่ผ่านมาโครงการนี้นายมั่น พัธโนทัย อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีเป็นผู้เสนอขออนุมัติการลงทุนกับ ครม. ซึ่งมีบริษัทธุรกิจสื่อสารอย่างบริษัทสนใจ อาทิ บริษัทสามารถ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เคยประกาศผ่านสื่อไว้ก่อนหน้านี้ว่า ปีนี้บริษัทจะเข้ารับงานสัมปทานจากรัฐเป็นรายได้ไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาทไว้แล้วซึ่ง 3G ก็เป็นหนึ่งในโครงการด้วย
นอกจากนี้ ด้วยมูลค่าและผลประโยชน์ของธุรกิจสื่อสาร จึงมีกระแสข่าวสะพัดไปทั่วกระทรวงไอซีทีว่า นักการเมืองที่มีอิทธิพลสองคนดังกล่าวรับงานวิ่งเต้นให้กับเอกชนที่ต้องการโครงการนี้ด้วยซึ่งคาดว่าหากผลักดันให้เอกชนรายใดสำเร็จนักการเมืองทั้งสองจะได้เงินใต้โต๊ะไม่ต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
**ทีโอทีก็ไม่น้อยงบหลายพันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ที่ทีโอทียังมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่นักการเมืองทั้งสองจ้องที่จะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ เช่นโครงการ IP Core งบประมาณ 4.7 พันล้านบาท โครงการนี้เป็นการขยายโครงข่ายไอพีเน็ตเวิร์กทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่ทีโอทีต้องเช่าใช้จากบริษัท เพชราวุธ และโครงการบรอดแบนด์ 1 ล้านพอร์ต งบประมาณ 3.6 พันล้านบาท โครงการนี้เป็นการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยจะแบ่งเป็น 4 โซนเป็นต้น
**เบื้องหลังล้มประมูลสมาร์ทการ์ด
ล่าสุด สองบิ๊กนักการเมืองกำลังจะฟื้นโครงการประมูลจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ด หรือการจัดทำบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ล็อตสุดท้ายจำนวน 26 ล้านใบ ที่ได้ถูกยกเลิกเมื่อรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ครั้งนี้ได้กำหนดราคากลางไว้ที่ 965 ล้านบาท สูงกว่าการประมูลครั้งแรกที่เคาะราคาที่ 920 บาท ทำให้มองได้ว่าการจัดประกวดราคาในโครงการบัตรสมาร์ทการ์ดครั้งนี้อาจจะมีการเรียกรับเงินใต้โต๊ะกันไว้แล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงไอซีทีได้ประกาศประกวดราคาจ้างจัดทำสมาร์ทการ์ดด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์มีผู้สนใจยื่นเอกสารประกวดราคา จำนวน 5 รายด้วยกัน และมีผู้ผ่านเกณฑ์ทดสอบด้านเทคนิค 3 ราย แต่ต่อมามีผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ด้านเทคนิครายหนึ่ง ได้ยื่นอุทธรณ์ โดยอ้างว่า ผู้ผ่านเกณฑ์ด้านเทคนิคบางรายมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามประกาศของกระทรวงไอซีที ซึ่งหลังจากที่คณะกรรมการได้ตรวจสอบข้อมูลก็พบว่ามี 2 รายที่มีคุณสมบัติไม่ครบตามร่างขอบเขตของทีโออาร์จริง ดังนั้นจึงมีผู้ผ่านเกณฑ์เข้าเสนอราคาได้เพียงรายเดียว ซึ่งตามระเบียบกระทรวงไอซีที มีอำนาจยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้ได้ จึงออกประกาศยกเลิกเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการจัดซื้อ
ส่วนการประมูลครั้งใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นเร็วๆ นี้จะต้องมีการแก้ทีโออาร์ใหม่ เพื่อปรับปรุงในส่วนคุณสมัติที่อาจมีการตีความได้ 2 ทาง เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ก่อนเริ่มกระบวนการจัดซื้อใหม่ทั้งหมดโดยจะพยายามให้ทันลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างให้ได้ก่อน 31 มีนาคม 2552 ที่จะถึงนี้
สำหรับการจัดซื้อบัตรสมาร์ทการ์ดในครั้งนี้ ถือเป็นลอตสุดท้าย มีจำนวน 26 ล้านใบ มีหน่วยความจำในบัตร 64 Kbytes เท่ากับการจัดซื้อครั้งที่แล้ว แต่กำหนดราคากลางเพิ่มขึ้นจากการจัดซื้อคราวก่อนอีก 45 ล้านบาท จากเดิมเมื่อปี2551 ตั้งไว้ 920 ล้านบาท รวมเป็นเงินประมาณ 965 ล้าน
**เปิดปูมสองบิ๊กนักการเมืองจอมเขมือบ
สำหรับปูมหลังนักการเมืองทั้งสอง เป็นคู่หูทางการเมืองกันมาโดยตลอดไปไหนก็ไปด้วยกัน ตั้งพรรคมาแล้วหลายพรรค มีฐานเสียงประมาณ 10-15 เสียงที่ภาคอีสานตอนบน คนหนึ่งเป็นลูกพี่ เคยเป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง แต่ไปอยู่กระทรวงไหนก็มีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นที่นั่น จัดว่าเป็นนักการเมืองน้ำเน่าในยุคนี้คนหนึ่ง เพราะทำงานการเมืองก็เพื่อผลประโยชน์แก่ตนเองทั้งสิ้น
ผลงานในอดีตของนักการเมืองคนนี้ที่ต้องจำกันไปอีกนานก็คือ เขาเป็นคนแรกที่ทำให้รัฐเสียค่าโง่เป็นเงินประมาณ 3,000 ล้านบาทแก่บริษัทเอกชน ซึ่งงานนี้เชื่อกันว่านักการเมืองคนนี้ได้ส่วนแบ่งไปนับร้อยบาท
นักการเมืองคนนี้ มักแสดงออกว่ามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่เมื่อตรวจสอบคนวงในพล.อ.ประวิตรแล้วเป็นเรื่องไม่จริงแต่อย่างใด และปัจจุบันนักการเมืองคนนี้มีปมขัดแย้งบาดหมางกับนายทุนที่เคยสนับสนุนตนเอง เพราะเรียกเงินนายทุนไปแล้วไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้ อย่างล่าสุดกรณีนายทุนคนหนึ่งมั่นใจว่าตนเองจะได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลอภิสิทธิ์แต่ก็ไม่มีชื่อออกมา เพราะถูกนักการเมืองคนนี้หลอกจนถึงวันสุดท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการเกาะติดตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เข้ามาทำงานเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ซึ่งรัฐบาลชุดนี้แม้จะได้หัวขบวนคือนายอภิสิทธิ์ที่เป็นนักการเมืองน้ำดี ไม่มีความด่างพร้อยมาก่อนก็ตาม แต่ประชาชนไม่ได้ให้ความไว้วางใจเต็มที ว่าเข้ามาบริหารบ้านเมืองแล้วจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ และเสียสละเพื่อประเทศชาติ โดยไม่ใช้อำนาจรัฐไปแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นกันมูมมามเช่นรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติที่แล้วมา
ทั้งนี้ ความไม่ไว้วางใจของประชาชนกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เกิดจากการที่มีรัฐมนตรีหลายคนที่เป็นคนของพรรคร่วมคือพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และกลุ่มเพื่อนเนวิน ชิดชอบที่รวมตัวกันเป็นพรรคภูมิใจไทยในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติและประวัติการทำงานเป็นที่ยอมรับของสังคมมาก่อน แต่มาเป็นรัฐมนตรีได้เพราะเป็นคนใกล้ชิดของนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามคำวินิจฉัยยุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญ รัฐมนตรีหลายคนที่มาจากพรรคร่วมจึงอยู่ในสภาพ ร่างทรง นอมินี และหุ่นเชิด
ดังนั้น เมื่อภาพพจน์ของรัฐมนตรีจากพรรคร่วมปรากฏในความรับรู้ของประชาชนเช่นนี้ทำให้ตัวรัฐมนตรีร่างทรงหรือหุ่นเชิดเหล่านั้นขาดการยอมรับในเรื่องความรู้ ความสามารถว่าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และโดยเฉพาะประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต รัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลชุดนี้ก็ยังสอบไม่ผ่าน
ในขณะเดียวกัน นักการเมืองที่มีอำนาจในพรรคร่วมรัฐบาล แม้ว่าตนเองจะติดคุกบ้านเลขที่111ถูกศาลห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ก็รักษาอำนาจการเมืองไว้ด้วยการส่งร่างทรงหรือหุ่นเชิดของตนนั่งเป็นรัฐมนตรี ทำให้ไม่ห่างหายไปจากวงจรของอำนาจ ทั้งยังเข้ามาก้าวก่ายบริหารจัดการงานในกระทรวงที่หุ่นเชิดของตนเองนั่งเป็นรัฐมนตรี
**แฉสองบิ๊กใหญ่คับไอซีทีตั้งโต๊ะขายเก้าอี้บอร์ด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สิ่งที่ประชาชนเจ้าของประเทศสมควรได้รับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นกับการบริหารงานแผ่นดิน คือขณะนี้มีนักการเมืองระดับบิ๊กสองคนจากพรรคเพื่อแผ่นดินเข้าไปก้าวก่ายการทำงาน และการบริหารงานในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร หรือไอซีที ที่มี ร.ต.(หญิง) ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี นั่งว่าการเป็นรัฐมนตรี โดยสองนักการเมืองเข้ามาที่กระทรวงไอซีทีสัปดาห์ละหลายวัน และมีพฤติกรรมที่แสดงตัวเป็นคนที่มีอำนาจเหนือกว่ารัฐมนตรี แม้ว่ารมต.ระนองรักษ์จะรู้สึกอึดอัดก็ไม่สามารถแสดงออกได้ เพราะทั้งสองเป็นคนมีอำนาจอยู่ในพรรค
สำหรับเรื่องที่พูดคุยกันก็จะเป็นเรื่องการจัดการผลประโยชน์ในโครงการต่างๆที่อยู่ในกระทรวงไอซีทีเท่านั้น ตลอดถึงเรื่องการจัดสรรบุคคลเข้ามามีตำแหน่งหน้าที่ต่างๆในหน่วยงานในสังกัดไอซีที และมีข่าวสะพัดว่าเริ่มมีการเก้าอี้กันแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงนี้ที่กระทรวงไอซีทีอยู่ระหว่างการคัดเลือกแต่งตั้งบุคคลเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) ใหม่ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่อยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีไอซีที และรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะเสนอแต่งตั้งบุคคลเข้าไปนั่งเป็นบอร์ด กสท ตอนนี้จึงปรากฏข่าวว่ามีนักธุรกิจสายงานธุรกิจสื่อสารวิ่งเต้นขอเข้าเป็นบอร์ด กสท โดยผ่านบิ๊กนักการเมืองทั้งสองจำนวนมาก แต่ก็ถูกเรียกเงินคนละ 20-30ล้านต่อคนสำหรับที่นั่งในบอร์ด กสท
**แฉผลประโยชน์ กสท มหาศาล
อย่างไรก็ตาม นอกจากเสนอขายที่นั่งในบอร์ด กสท แล้ว นักการเมืองระดับบิ๊กทั้งสอง ยังจะวางตัวคนของตนเองเข้าไปนั่งเป็นบอร์ด กสท ด้วย เพื่อวางแผนหาผลประโยชน์กับโครงการต่างของกสท.ที่จะอนุมัติการลงทุนหลายโครงการในช่วงปีนี้ เช่น 1. โครงการสร้างระบบเชื่อมโยงเคเบิลใต้น้ำชุมสายที่บางรัก ศรีราชา และนนทบุรี งบประมาณ 600 ล้านบาท 2.โครงการระบบ NGN งบประมาณ 500 ล้านบาท3.โครงการระบบสื่อสารไร้สายเพื่อให้บริการในพื้นที่ห่างไกล (USO) งบประมาณ 281 ล้านบาท4.โครงการโทรศัพท์สาธารณะระบบ CDMA งบประมาณ 430 ล้านบาท 5.โครงการ Upgradeและขยายระบบ CDMA outdoor งบประมาณ 817 ล้านบาท 6.โครงการระบบ ERP หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบบัญชี งบประมาณและระบบบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ 345 ล้านบาท 7.โครงการระบบ Real Time Charging หรือการคิดค่าบริการแบบเรียลไทม์ งบประมาณ 300 ล้านบาท 8.โครงการจัดซื้อ DSLAM หรืออุปกรณ์ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต งบประมาณ 314 ล้านบาท 9.โครงการเทคโนโลยี GEPON และ GPON งบประมาณ 228 ล้านบาท10.โครงการ Access Switch งบประมาณ 120 ล้านบาท
**3G เค้กก้อนใหญ่อีแร้งรองาบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กสท ไม่มีโครงการขนาดใหญ่เท่ากับที่บริษัท ทีโอที คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือทีโอที ซึ่งจะมี โครงการสร้างเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 หรือ 3 จี ซึ่งคณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชอนุมัติเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2551 ในวงเงินลงทุน 29,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการ 3จี ถือเป็นเค้กก้อนโตที่หลายพรรคการเมืองรุมตอม โดยที่ผ่านมาโครงการนี้นายมั่น พัธโนทัย อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีเป็นผู้เสนอขออนุมัติการลงทุนกับ ครม. ซึ่งมีบริษัทธุรกิจสื่อสารอย่างบริษัทสนใจ อาทิ บริษัทสามารถ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เคยประกาศผ่านสื่อไว้ก่อนหน้านี้ว่า ปีนี้บริษัทจะเข้ารับงานสัมปทานจากรัฐเป็นรายได้ไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาทไว้แล้วซึ่ง 3G ก็เป็นหนึ่งในโครงการด้วย
นอกจากนี้ ด้วยมูลค่าและผลประโยชน์ของธุรกิจสื่อสาร จึงมีกระแสข่าวสะพัดไปทั่วกระทรวงไอซีทีว่า นักการเมืองที่มีอิทธิพลสองคนดังกล่าวรับงานวิ่งเต้นให้กับเอกชนที่ต้องการโครงการนี้ด้วยซึ่งคาดว่าหากผลักดันให้เอกชนรายใดสำเร็จนักการเมืองทั้งสองจะได้เงินใต้โต๊ะไม่ต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
**ทีโอทีก็ไม่น้อยงบหลายพันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ที่ทีโอทียังมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่นักการเมืองทั้งสองจ้องที่จะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ เช่นโครงการ IP Core งบประมาณ 4.7 พันล้านบาท โครงการนี้เป็นการขยายโครงข่ายไอพีเน็ตเวิร์กทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่ทีโอทีต้องเช่าใช้จากบริษัท เพชราวุธ และโครงการบรอดแบนด์ 1 ล้านพอร์ต งบประมาณ 3.6 พันล้านบาท โครงการนี้เป็นการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยจะแบ่งเป็น 4 โซนเป็นต้น
**เบื้องหลังล้มประมูลสมาร์ทการ์ด
ล่าสุด สองบิ๊กนักการเมืองกำลังจะฟื้นโครงการประมูลจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ด หรือการจัดทำบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ล็อตสุดท้ายจำนวน 26 ล้านใบ ที่ได้ถูกยกเลิกเมื่อรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ครั้งนี้ได้กำหนดราคากลางไว้ที่ 965 ล้านบาท สูงกว่าการประมูลครั้งแรกที่เคาะราคาที่ 920 บาท ทำให้มองได้ว่าการจัดประกวดราคาในโครงการบัตรสมาร์ทการ์ดครั้งนี้อาจจะมีการเรียกรับเงินใต้โต๊ะกันไว้แล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงไอซีทีได้ประกาศประกวดราคาจ้างจัดทำสมาร์ทการ์ดด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์มีผู้สนใจยื่นเอกสารประกวดราคา จำนวน 5 รายด้วยกัน และมีผู้ผ่านเกณฑ์ทดสอบด้านเทคนิค 3 ราย แต่ต่อมามีผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ด้านเทคนิครายหนึ่ง ได้ยื่นอุทธรณ์ โดยอ้างว่า ผู้ผ่านเกณฑ์ด้านเทคนิคบางรายมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามประกาศของกระทรวงไอซีที ซึ่งหลังจากที่คณะกรรมการได้ตรวจสอบข้อมูลก็พบว่ามี 2 รายที่มีคุณสมบัติไม่ครบตามร่างขอบเขตของทีโออาร์จริง ดังนั้นจึงมีผู้ผ่านเกณฑ์เข้าเสนอราคาได้เพียงรายเดียว ซึ่งตามระเบียบกระทรวงไอซีที มีอำนาจยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้ได้ จึงออกประกาศยกเลิกเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการจัดซื้อ
ส่วนการประมูลครั้งใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นเร็วๆ นี้จะต้องมีการแก้ทีโออาร์ใหม่ เพื่อปรับปรุงในส่วนคุณสมัติที่อาจมีการตีความได้ 2 ทาง เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ก่อนเริ่มกระบวนการจัดซื้อใหม่ทั้งหมดโดยจะพยายามให้ทันลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างให้ได้ก่อน 31 มีนาคม 2552 ที่จะถึงนี้
สำหรับการจัดซื้อบัตรสมาร์ทการ์ดในครั้งนี้ ถือเป็นลอตสุดท้าย มีจำนวน 26 ล้านใบ มีหน่วยความจำในบัตร 64 Kbytes เท่ากับการจัดซื้อครั้งที่แล้ว แต่กำหนดราคากลางเพิ่มขึ้นจากการจัดซื้อคราวก่อนอีก 45 ล้านบาท จากเดิมเมื่อปี2551 ตั้งไว้ 920 ล้านบาท รวมเป็นเงินประมาณ 965 ล้าน
**เปิดปูมสองบิ๊กนักการเมืองจอมเขมือบ
สำหรับปูมหลังนักการเมืองทั้งสอง เป็นคู่หูทางการเมืองกันมาโดยตลอดไปไหนก็ไปด้วยกัน ตั้งพรรคมาแล้วหลายพรรค มีฐานเสียงประมาณ 10-15 เสียงที่ภาคอีสานตอนบน คนหนึ่งเป็นลูกพี่ เคยเป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง แต่ไปอยู่กระทรวงไหนก็มีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นที่นั่น จัดว่าเป็นนักการเมืองน้ำเน่าในยุคนี้คนหนึ่ง เพราะทำงานการเมืองก็เพื่อผลประโยชน์แก่ตนเองทั้งสิ้น
ผลงานในอดีตของนักการเมืองคนนี้ที่ต้องจำกันไปอีกนานก็คือ เขาเป็นคนแรกที่ทำให้รัฐเสียค่าโง่เป็นเงินประมาณ 3,000 ล้านบาทแก่บริษัทเอกชน ซึ่งงานนี้เชื่อกันว่านักการเมืองคนนี้ได้ส่วนแบ่งไปนับร้อยบาท
นักการเมืองคนนี้ มักแสดงออกว่ามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่เมื่อตรวจสอบคนวงในพล.อ.ประวิตรแล้วเป็นเรื่องไม่จริงแต่อย่างใด และปัจจุบันนักการเมืองคนนี้มีปมขัดแย้งบาดหมางกับนายทุนที่เคยสนับสนุนตนเอง เพราะเรียกเงินนายทุนไปแล้วไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้ อย่างล่าสุดกรณีนายทุนคนหนึ่งมั่นใจว่าตนเองจะได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลอภิสิทธิ์แต่ก็ไม่มีชื่อออกมา เพราะถูกนักการเมืองคนนี้หลอกจนถึงวันสุดท้าย