ผ่านมาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว สำหรับการออกสตาร์ทเดินเครื่องทำงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้เป็นเวลาผ่านมาอันสั้นยิ่ง แต่รัฐบาลก็เข็นผลงานออกมาโชว์มากมาย เน้นเป้าหมายไปที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ล้วนล่อใจสร้างความนิยมโกยคะแนนได้ทั้งสิ้น
ฝ่ายแค้นทั้งลิ่วล้อทักษิณ และสื่อสิ่งพิมพ์ทาสเศษเงินของทักษิณฉวยโอกาสนี้รับใช้นายใหญ่ของมันอีกครั้ง รุมถล่มทันที กะให้เละคามือ หวังเผด็จศึกรัฐบาลในเร็ววัน
ลอกแบบนโยบายประชานิยมของทักษิณมาเต็มๆ
คงปฏิเสธไม่ได้ แต่นโยบายประชานิยมในรูปแบบของ “อภิสิทธิ์” เอาแค่ระลอกแรก ก็ทำให้ของเก่าที่อ้างเป็นต้นแบบจืดไปสนิท
โดยเฉพาะเรื่องแจกเงิน 2,000 บาทให้มนุษย์เงินเดือน เป็นอั้งเปาสำหรับตรุษจีนปีนี้แก่ประชาชน เข้าแถวมารับอานิสงส์กันทันที กว่า 10 ล้านคน
ดูแลประชาชนอย่างถึงอกถึงใจพระเดชพระคุณท่านขนาดนี้ ใครเลยจะไม่ชอบใจ หากถามความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศในชั่วโมงนี้ ก็ต้องบอกว่า
“รัฐบาลเจ๋งกว่าที่คิด”
กลบ “เสียงยี้”ที่ดังกระหึ่ม เพราะเหตุที่รัฐบาลและพรรคร่วมทำไม่เนียน ลากตั้งรัฐมนตรีมีแต่พวก“ร่างทรง-นอมินี-มือใหม่หัดขับ”
ความไม่ไว้ใจในตัวรัฐบาล-พรรคร่วมรัฐบาลพุ่งพรวดทะลุเพดาน จนเกิดภาพหลอนกลับมาอีกครั้ง เป็นภาพนักการเมืองที่เตรียมประแป้งแต่งตัวเข้าสู่
“มหกรรมรุมทึ้งงบประมาณ-ตักตวงผลประโยชน์”
แบบมึงคำกูคำ ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งเงียบๆไว้
ทำให้ “เรา-ทีมโต๊ะข่าวการเมือง”ต้องรีบขอถือโอกาสนี้ ส่งสัญญาณเตือนให้ประชาชนต้องช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา ไม่ให้พวกนักการเมือง-พรรคการเมือง เล่นตุกติกยักยอกเอาเงินแผ่นเข้าพกเข้าห่อ สะสมเสบียงเตรียมเลือกตั้งหรือถอนทุน
แม้ล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ และพรรคร่วมรัฐบาล ที่ก็รู้ตัวดีว่าถูกจับจ้องทุกฝีก้าว ได้ลดกระแสความคลางแคลงใจและสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาล ด้วยการ
“เฉือน-หั่น-ทบทวน-เลื่อนพิจารณา”
ในโครงการที่ถูกมองว่าไม่คุ้มค่าสมประโยชน์กับเม็ดเงิน รวมถึงอาจมีการแสวงหาผลประโยชน์แอบแฝง ที่เป้าหลักคือกลุ่มเพื่อนเนวิน ชิดชอบ หรือพรรคภูมิใจไทยในตอนนี้
เช่น
โครงการจัดเช่ารถเมล์เอ็นจีวีของขสมก.จำนวน 4 พันคัน อันอื้อฉาวมาตั้งแต่สมัย ทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตแกนนำกลุ่มเนวินเป็นรมช.คลัง จนต้องปรับลดโครงการลงจาก 6 พันคันเป็น 4 พันคัน
จะพบว่ากระทรวงคมนาคมที่มีรัฐมนตรีของกลุ่มเนวิน กำกับดูแลคือโสภณ ซารัมย์ อดีตครูประชาบาลก็ไม่ได้เร่งรัดโครงการอย่างที่เป็นก่อนหน้านี้ เพราะคงรู้ตัวดีว่าเป็นเผือกร้อนที่อาจทำให้รัฐบาลไปก่อนกำหนด
หรือโครงการถนนปลอดฝุ่น ของกรมทางหลวง ที่โสภณ ซารัมย์ ต้องยอมรับสภาพถูกเบรกหัวทิ่มซอยงบโครงการจาก 3 หมื่นล้านบาท เหลือ 1.5 พันล้านบาท
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลก็เล่นบทจระเข้ขวางคลองกันเอง
อย่างกรณีสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จากกิจสังคม คู่แค้นสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่สั่งชะลอโครงการจัดทำแหล่งน้ำสำหรับเกษตรกรทั่วประเทศมูลค่า 4 พันล้านบาท ที่มีการประมูลกันเสร็จไปแล้วเมื่อพ.ย.51 สมัย อนงค์วรรณ เทพสุทิน เมียรักสมศักดิ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ
ตลอดจนการเล่นบทตรวจสอบกันเองของรัฐบาล ในการพิจารณาผ่านงบประมาณที่แต่ละพรรค แต่ละกระทรวงชงเข้าคณะรัฐมนตรี
เพื่อร่วมขบวนรถไฟ “งบกลางปีแสนล้าน”
ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ครม.ไปเมื่อวันอังคาร(13ม.ค.)ที่ผ่านมา อันพบว่ามีหลายโครงการที่รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลเสนอเม็ดเงินไปมากกว่าที่ได้รับ แต่ได้ถูกหั่น-ซอย ออกมาจนได้ตามจำนวนเงินที่พอเหมาะพอควร
แม้อาจมีเสียงเอะอะโวยวายมาบ้าง เช่น การที่กระทรวงซึ่งรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์บริหารพบว่าเมื่อรวมกันแล้วได้เม็ดเงินจากงบแสนล้านมากที่สุด คือประมาณ 62,807 ล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 60
แต่เมื่อสุดท้าย ครม.ผ่านงบกลางปีแสนล้านออกมา ก็พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีเสียงตอบรับออกมาค่อนข้างดีกับประชานิยมของอภิสิทธิ์
ที่ลดแหลกแจกสะบัด ช่วยต่อลมหายใจให้กับมนุษย์เงินเดือน ยืดอายุวงจรธุรกิจของ เอสเอ็มอี และ โรงงานอุตสาหกรรม
ส่วนประชาชนทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดก็ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า ทั้งใช้น้ำไฟ-ขึ้นรถเมล์รถไฟฟรี พ่วงด้วยเงินช่วยเหลืออาสาสาธารณสุขหมู่บ้าน เงินค่ายังชีพคนชรา รวมเม็ดเงินกว่า 4 หมื่นล้านบาท ไม่เว้นแม้แต่งบหาเสียงด้วยการขึ้นค่าตอบแทนให้กับ กำนันผู้ใหญ่บ้าน
สร้างผลงาน สร้างภาพกันทั้งคณะ
จนน่ากลัวว่าจะเป็น
“ยากล่อมประสาท”
ให้ประชาชนทุกระดับ ทั้งนักธุรกิจ คนชรา ชนชั้นกลาง และรากหญ้า ที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ สิ้นหวังกับอนาคตตัวเองและครอบครัว ให้เคลิบเคลิ้มหลงลืมชั่วขณะ บนความหวังรัฐบาลสร้างให้ฝันว่า
“เงินกำลังจะหมุนไป”
แล้ววงจรธุรกิจจะกลับมาโชติช่วง ไหลลื่นนอีกครั้ง
แต่สิ่งที่เราขอย้ำหนักแน่นก็คือ เราไม่ไว้ใจนักการเมืองไม่ว่าพรรคไหน พันธุ์ไหน เพราะเราเชื่อว่า การเมืองก็คือการมาเจอกันของกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกัน หาใช่มาเจอกันเพราะอุดมการณ์ตรงกันอย่างในทฤษฏีรัฐศาสตร์การเมือง
และด้วยรูปแบบการ “โกงกิน” ที่แนบเนียนขึ้น ยิ่งบทเรียนที่นักการเมืองเห็นจากกรณี คตส.ตรวจสอบย้อนหลังจนนำคดีไปฟ้องนักการเมือง-อดีตรัฐมนตรีให้เดินขึ้นศาลฏีกาฯกันหลายร้อยคน ถึงขั้น ทักษิณ ชินวัตร ต้องหนีออกนอกประเทศ
ดังนั้น การตุกติกหาผลประโยชน์จะไม่โจ่งครึ่มเหมือนก่อนหน้านี้ ซึ่งเราเชื่อว่ามันจะมีพัฒนาการที่มากกว่า”ผลประโยชน์ทับซ้อน-คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย” แน่นอน
การระงับโครงการ-การหั่นงบประมาณของรัฐบาลในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับงบในโครงการที่มี
“กลิ่นตุๆ”
ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าสังคมต้องเชื่อใจรัฐบาลร้อยเปอร์เซนต์ และหยุดการจับตามอง เว้นการตรวจสอบเงินงบประมาณทุกกระทรวง ทุกโครงการ
เพราะของแบบนี้ อาจเป็นเพราะคนที่กำลังถูกจับจ้องกำลังรอเวลาอัน”สุกงอม” มากกว่านี้ โดยเฉพาะ”ทีเผลอ”!
เพราะด้วยปัจจุบันยังมีอีกหลายโครงการที่เป็นทั้งเมกะโปรเจกต์ ที่กำลังรอการแบ่งเค้กอยู่เช่น การประมูลรถไฟฟ้าอีกหลายเส้นทางรวมมูลค่าเกือบแสนล้านบาท ซึ่งตั้งแต่เริ่มยกร่าง ทีโออาร์ ก็มีข่าวล็อกสเปกเอื้อประโยชน์บางบริษัทกันมาตลอด แถมบริษัทรับเหมาที่เข้าประมูลก็ล้วนมีเส้นสายและเป็นนายทุนให้กับพรรคการเมืองในขั้วรัฐบาลหลายพรรค
และให้จับตามองความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงล้างบางรัฐวิสาหกิจอีกหลายแห่ง ที่มีผลประโยชน์จำนวนมาก โดยเฉพาะงบประมูลก่อสร้างและการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การประปาส่วนภูมิภาค รถไฟฟ้ามหานคร การบินไทย เป็นต้น
รวมถึงในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคม ที่มีผลประโยชน์จำนวนมาก ก็ต้องจับตาไม่กระพริบ
ตลอดจนการเตรียมพิจารณาอนุมัติโครงการขนาดใหญ่เช่นโครงการ 3 จี และจัดหาจัดซื้อโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ที่พรรคเพื่อแผ่นดินกำลังดูความเป็นไปได้ของโครงการอยู่
รวมถึงงบการพัฒนาท้องถิ่น ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ก็น่าจับตามองไม่น้อย
เพราะสมัยรัฐบาลพลังประชาชน ก็มี ส.ส.ในพรรคพลังประชาชน แฉกันเองว่า มีการหาผลประโยชน์ของรัฐมนตรีซีกเนวิน ชิดชอบ ตอนนั้นที่ดูแลกรมส่งเสริมฯ เป็นเงินหลายพันล้านบาท
โดยเฉพาะ “งบล่ำซำ” ที่มีการตัดออกมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีแล้วหน่วยงานต่างๆ เสนอของบเพิ่มกลับไปที่กรรมาธิการงบประมาณ แล้วตั้งงบกลับเข้ามาใหม่ที่งบอุดหนุนในกรมส่งเสริมฯในรูปแบบโครงการต่างๆ
เช่นสร้างถนน-สาธารณูปโภค ในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะของนักการเมืองในพรรคเดียวกัน ที่นอกจากจะเป็นการสร้างคะแนนเสียงให้กับส.ส.ในซีกเดียวกันแล้ว
ยังพบว่าอาจมีช่องทางหาประโยชน์ที่น่าสนใจอีกหลายรูปแบบ อาทิ การประมูลรับเหมาก่อสร้างต่างๆ ของบริษัทนักการเมืองที่มีส่วนได้ผลประโยชน์ด้วยทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับปีนี้ พบว่างบของกรมส่งเสริมฯอยู่ที่ตัวเลขเบื้องต้น 136,126,2637 ล้านบาท อันแยกเป็นงบของกรม 1,541,8437 ล้านบาท
แต่ที่น่าจับตามองคืองบอุดหนุนที่จะส่งไปให้พื้นที่ปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศ วงเงิน 134,384,4200 ล้านบาท ที่ขอให้ทุกฝ่ายระวังการรั่วไหล!!!
เป็นงบในกรมส่งเสริมฯที่รัฐมนตรีของกลุ่ม เนวิน ชิดชอบ รับผิดชอบอยู่เสียด้วยคือ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ มท.2 อันมี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายเนวิน กำกับฉากในฐานะ “มท.1 ตัวจริง”
ส่งเสียงเตือนกันดังๆ แบบนี้ ตั้งแต่ไก่โห่ แม้รัฐบาลเพิ่งทำงานได้สองอาทิตย์ เงินหลายโครงการยังไม่ถูกเบิกจ่าย ก็ถือว่าช่วยกันตรวจสอบ
เพราะจะหวังพึ่งฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย ก็ไม่ไหว ทำงานฝ่ายค้านยังไม่รู้เป็นหรือเปล่า ฝันแต่จะให้ยุบสภาท่าเดียว
ส่วนองค์กรอิสระอย่างป.ป.ช.-สตง. ก็งานล้นมือ ตรวจสอบล่าช้า กว่าจะเสร็จแต่ละเรื่องก็เหลือแต่กระดูก เนื้อโดนแทะหมดแล้ว
แต่ก็เชื่อใจได้ว่าหากสุดท้าย ”มหกรรมมึงคำ กูคำ” ของพรรคร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นจริง
อาจได้เห็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ออกมาปกป้องชาติ ลากคนโกงเข้าคุกอีกครั้ง
ล้วนล่อใจสร้างความนิยมโกยคะแนนได้ทั้งสิ้น
ฝ่ายแค้นทั้งลิ่วล้อทักษิณ และสื่อสิ่งพิมพ์ทาสเศษเงินของทักษิณฉวยโอกาสนี้รับใช้นายใหญ่ของมันอีกครั้ง รุมถล่มทันที กะให้เละคามือ หวังเผด็จศึกรัฐบาลในเร็ววัน
ลอกแบบนโยบายประชานิยมของทักษิณมาเต็มๆ
คงปฏิเสธไม่ได้ แต่นโยบายประชานิยมในรูปแบบของ “อภิสิทธิ์” เอาแค่ระลอกแรก ก็ทำให้ของเก่าที่อ้างเป็นต้นแบบจืดไปสนิท
โดยเฉพาะเรื่องแจกเงิน 2,000 บาทให้มนุษย์เงินเดือน เป็นอั้งเปาสำหรับตรุษจีนปีนี้แก่ประชาชน เข้าแถวมารับอานิสงส์กันทันที กว่า 10 ล้านคน
ดูแลประชาชนอย่างถึงอกถึงใจพระเดชพระคุณท่านขนาดนี้ ใครเลยจะไม่ชอบใจ หากถามความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศในชั่วโมงนี้ ก็ต้องบอกว่า
“รัฐบาลเจ๋งกว่าที่คิด”
กลบ “เสียงยี้”ที่ดังกระหึ่ม เพราะเหตุที่รัฐบาลและพรรคร่วมทำไม่เนียน ลากตั้งรัฐมนตรีมีแต่พวก“ร่างทรง-นอมินี-มือใหม่หัดขับ”
ความไม่ไว้ใจในตัวรัฐบาล-พรรคร่วมรัฐบาลพุ่งพรวดทะลุเพดาน จนเกิดภาพหลอนกลับมาอีกครั้ง เป็นภาพนักการเมืองที่เตรียมประแป้งแต่งตัวเข้าสู่
“มหกรรมรุมทึ้งงบประมาณ-ตักตวงผลประโยชน์”
แบบมึงคำกูคำ ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งเงียบๆไว้
ทำให้ “เรา-ทีมโต๊ะข่าวการเมือง”ต้องรีบขอถือโอกาสนี้ ส่งสัญญาณเตือนให้ประชาชนต้องช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา ไม่ให้พวกนักการเมือง-พรรคการเมือง เล่นตุกติกยักยอกเอาเงินแผ่นเข้าพกเข้าห่อ สะสมเสบียงเตรียมเลือกตั้งหรือถอนทุน
แม้ล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ และพรรคร่วมรัฐบาล ที่ก็รู้ตัวดีว่าถูกจับจ้องทุกฝีก้าว ได้ลดกระแสความคลางแคลงใจและสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาล ด้วยการ
“เฉือน-หั่น-ทบทวน-เลื่อนพิจารณา”
ในโครงการที่ถูกมองว่าไม่คุ้มค่าสมประโยชน์กับเม็ดเงิน รวมถึงอาจมีการแสวงหาผลประโยชน์แอบแฝง ที่เป้าหลักคือกลุ่มเพื่อนเนวิน ชิดชอบ หรือพรรคภูมิใจไทยในตอนนี้
เช่น
โครงการจัดเช่ารถเมล์เอ็นจีวีของขสมก.จำนวน 4 พันคัน อันอื้อฉาวมาตั้งแต่สมัย ทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตแกนนำกลุ่มเนวินเป็นรมช.คลัง จนต้องปรับลดโครงการลงจาก 6 พันคันเป็น 4 พันคัน
จะพบว่ากระทรวงคมนาคมที่มีรัฐมนตรีของกลุ่มเนวิน กำกับดูแลคือโสภณ ซารัมย์ อดีตครูประชาบาลก็ไม่ได้เร่งรัดโครงการอย่างที่เป็นก่อนหน้านี้ เพราะคงรู้ตัวดีว่าเป็นเผือกร้อนที่อาจทำให้รัฐบาลไปก่อนกำหนด
หรือโครงการถนนปลอดฝุ่น ของกรมทางหลวง ที่โสภณ ซารัมย์ ต้องยอมรับสภาพถูกเบรกหัวทิ่มซอยงบโครงการจาก 3 หมื่นล้านบาท เหลือ 1.5 พันล้านบาท
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลก็เล่นบทจระเข้ขวางคลองกันเอง
อย่างกรณีสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จากกิจสังคม คู่แค้นสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่สั่งชะลอโครงการจัดทำแหล่งน้ำสำหรับเกษตรกรทั่วประเทศมูลค่า 4 พันล้านบาท ที่มีการประมูลกันเสร็จไปแล้วเมื่อพ.ย.51 สมัย อนงค์วรรณ เทพสุทิน เมียรักสมศักดิ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ
ตลอดจนการเล่นบทตรวจสอบกันเองของรัฐบาล ในการพิจารณาผ่านงบประมาณที่แต่ละพรรค แต่ละกระทรวงชงเข้าคณะรัฐมนตรี
เพื่อร่วมขบวนรถไฟ “งบกลางปีแสนล้าน”
ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ครม.ไปเมื่อวันอังคาร(13ม.ค.)ที่ผ่านมา อันพบว่ามีหลายโครงการที่รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลเสนอเม็ดเงินไปมากกว่าที่ได้รับ แต่ได้ถูกหั่น-ซอย ออกมาจนได้ตามจำนวนเงินที่พอเหมาะพอควร
แม้อาจมีเสียงเอะอะโวยวายมาบ้าง เช่น การที่กระทรวงซึ่งรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์บริหารพบว่าเมื่อรวมกันแล้วได้เม็ดเงินจากงบแสนล้านมากที่สุด คือประมาณ 62,807 ล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 60
แต่เมื่อสุดท้าย ครม.ผ่านงบกลางปีแสนล้านออกมา ก็พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีเสียงตอบรับออกมาค่อนข้างดีกับประชานิยมของอภิสิทธิ์
ที่ลดแหลกแจกสะบัด ช่วยต่อลมหายใจให้กับมนุษย์เงินเดือน ยืดอายุวงจรธุรกิจของ เอสเอ็มอี และ โรงงานอุตสาหกรรม
ส่วนประชาชนทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดก็ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า ทั้งใช้น้ำไฟ-ขึ้นรถเมล์รถไฟฟรี พ่วงด้วยเงินช่วยเหลืออาสาสาธารณสุขหมู่บ้าน เงินค่ายังชีพคนชรา รวมเม็ดเงินกว่า 4 หมื่นล้านบาท ไม่เว้นแม้แต่งบหาเสียงด้วยการขึ้นค่าตอบแทนให้กับ กำนันผู้ใหญ่บ้าน
สร้างผลงาน สร้างภาพกันทั้งคณะ
จนน่ากลัวว่าจะเป็น
“ยากล่อมประสาท”
ให้ประชาชนทุกระดับ ทั้งนักธุรกิจ คนชรา ชนชั้นกลาง และรากหญ้า ที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ สิ้นหวังกับอนาคตตัวเองและครอบครัว ให้เคลิบเคลิ้มหลงลืมชั่วขณะ บนความหวังรัฐบาลสร้างให้ฝันว่า
“เงินกำลังจะหมุนไป”
แล้ววงจรธุรกิจจะกลับมาโชติช่วง ไหลลื่นนอีกครั้ง
แต่สิ่งที่เราขอย้ำหนักแน่นก็คือ เราไม่ไว้ใจนักการเมืองไม่ว่าพรรคไหน พันธุ์ไหน เพราะเราเชื่อว่า การเมืองก็คือการมาเจอกันของกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกัน หาใช่มาเจอกันเพราะอุดมการณ์ตรงกันอย่างในทฤษฏีรัฐศาสตร์การเมือง
และด้วยรูปแบบการ “โกงกิน” ที่แนบเนียนขึ้น ยิ่งบทเรียนที่นักการเมืองเห็นจากกรณี คตส.ตรวจสอบย้อนหลังจนนำคดีไปฟ้องนักการเมือง-อดีตรัฐมนตรีให้เดินขึ้นศาลฏีกาฯกันหลายร้อยคน ถึงขั้น ทักษิณ ชินวัตร ต้องหนีออกนอกประเทศ
ดังนั้น การตุกติกหาผลประโยชน์จะไม่โจ่งครึ่มเหมือนก่อนหน้านี้ ซึ่งเราเชื่อว่ามันจะมีพัฒนาการที่มากกว่า”ผลประโยชน์ทับซ้อน-คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย” แน่นอน
การระงับโครงการ-การหั่นงบประมาณของรัฐบาลในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับงบในโครงการที่มี
“กลิ่นตุๆ”
ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าสังคมต้องเชื่อใจรัฐบาลร้อยเปอร์เซนต์ และหยุดการจับตามอง เว้นการตรวจสอบเงินงบประมาณทุกกระทรวง ทุกโครงการ
เพราะของแบบนี้ อาจเป็นเพราะคนที่กำลังถูกจับจ้องกำลังรอเวลาอัน”สุกงอม” มากกว่านี้ โดยเฉพาะ”ทีเผลอ”!
เพราะด้วยปัจจุบันยังมีอีกหลายโครงการที่เป็นทั้งเมกะโปรเจกต์ ที่กำลังรอการแบ่งเค้กอยู่เช่น การประมูลรถไฟฟ้าอีกหลายเส้นทางรวมมูลค่าเกือบแสนล้านบาท ซึ่งตั้งแต่เริ่มยกร่าง ทีโออาร์ ก็มีข่าวล็อกสเปกเอื้อประโยชน์บางบริษัทกันมาตลอด แถมบริษัทรับเหมาที่เข้าประมูลก็ล้วนมีเส้นสายและเป็นนายทุนให้กับพรรคการเมืองในขั้วรัฐบาลหลายพรรค
และให้จับตามองความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงล้างบางรัฐวิสาหกิจอีกหลายแห่ง ที่มีผลประโยชน์จำนวนมาก โดยเฉพาะงบประมูลก่อสร้างและการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การประปาส่วนภูมิภาค รถไฟฟ้ามหานคร การบินไทย เป็นต้น
รวมถึงในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคม ที่มีผลประโยชน์จำนวนมาก ก็ต้องจับตาไม่กระพริบ
ตลอดจนการเตรียมพิจารณาอนุมัติโครงการขนาดใหญ่เช่นโครงการ 3 จี และจัดหาจัดซื้อโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ที่พรรคเพื่อแผ่นดินกำลังดูความเป็นไปได้ของโครงการอยู่
รวมถึงงบการพัฒนาท้องถิ่น ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ก็น่าจับตามองไม่น้อย
เพราะสมัยรัฐบาลพลังประชาชน ก็มี ส.ส.ในพรรคพลังประชาชน แฉกันเองว่า มีการหาผลประโยชน์ของรัฐมนตรีซีกเนวิน ชิดชอบ ตอนนั้นที่ดูแลกรมส่งเสริมฯ เป็นเงินหลายพันล้านบาท
โดยเฉพาะ “งบล่ำซำ” ที่มีการตัดออกมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีแล้วหน่วยงานต่างๆ เสนอของบเพิ่มกลับไปที่กรรมาธิการงบประมาณ แล้วตั้งงบกลับเข้ามาใหม่ที่งบอุดหนุนในกรมส่งเสริมฯในรูปแบบโครงการต่างๆ
เช่นสร้างถนน-สาธารณูปโภค ในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะของนักการเมืองในพรรคเดียวกัน ที่นอกจากจะเป็นการสร้างคะแนนเสียงให้กับส.ส.ในซีกเดียวกันแล้ว
ยังพบว่าอาจมีช่องทางหาประโยชน์ที่น่าสนใจอีกหลายรูปแบบ อาทิ การประมูลรับเหมาก่อสร้างต่างๆ ของบริษัทนักการเมืองที่มีส่วนได้ผลประโยชน์ด้วยทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับปีนี้ พบว่างบของกรมส่งเสริมฯอยู่ที่ตัวเลขเบื้องต้น 136,126,2637 ล้านบาท อันแยกเป็นงบของกรม 1,541,8437 ล้านบาท
แต่ที่น่าจับตามองคืองบอุดหนุนที่จะส่งไปให้พื้นที่ปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศ วงเงิน 134,384,4200 ล้านบาท ที่ขอให้ทุกฝ่ายระวังการรั่วไหล!!!
เป็นงบในกรมส่งเสริมฯที่รัฐมนตรีของกลุ่ม เนวิน ชิดชอบ รับผิดชอบอยู่เสียด้วยคือ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ มท.2 อันมี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายเนวิน กำกับฉากในฐานะ “มท.1 ตัวจริง”
ส่งเสียงเตือนกันดังๆ แบบนี้ ตั้งแต่ไก่โห่ แม้รัฐบาลเพิ่งทำงานได้สองอาทิตย์ เงินหลายโครงการยังไม่ถูกเบิกจ่าย ก็ถือว่าช่วยกันตรวจสอบ
เพราะจะหวังพึ่งฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย ก็ไม่ไหว ทำงานฝ่ายค้านยังไม่รู้เป็นหรือเปล่า ฝันแต่จะให้ยุบสภาท่าเดียว
ส่วนองค์กรอิสระอย่างป.ป.ช.-สตง. ก็งานล้นมือ ตรวจสอบล่าช้า กว่าจะเสร็จแต่ละเรื่องก็เหลือแต่กระดูก เนื้อโดนแทะหมดแล้ว
แต่ก็เชื่อใจได้ว่าหากสุดท้าย ”มหกรรมมึงคำ กูคำ” ของพรรคร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นจริง
อาจได้เห็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ออกมาปกป้องชาติ ลากคนโกงเข้าคุกอีกครั้ง