หลายคนคงนึกไม่ถึงว่านักการเมืองพรรษาน้อย ที่พยายามเขย่งก้าวกระโดดทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นข่าวเป็นคราวทางสื่อทุกวัน อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ จะกล้านำเรื่องไม่บังควร โยงเบื้องสูงมาขยายผล เพื่อหวังจะทำลายฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมันตรงกันข้าม
แต่อาจจะเป็นเพราะที่ตัวเองไม่ทำการบ้าน หรือต้องการ “โชว์เดี่ยว” ไม่ยอมปรึกษาหารือกับใคร ทะเร่อทะร่าล้ำหน้า จนสร้างความเสื่อมเสีย มีผลกระทบทางลบกับพรรคตัวเองและเครือข่ายเสื้อแดงอย่างจนไร้ราคาลงไปอีกอย่างไม่น่าเชื่อ
อีกมุมหนึ่งย่อมสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดทั้งในแง่ตัวบุคคล หรือ มาตรฐานในด้านความน่าเชื่อถือ เพราะหากยังดำเนินไปในลักษณะนี้ต่อไป มันก็ยิ่งส่งผลสะเทือนต่อพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ในทางกลับกันจะไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาล โดยเฉพาะผู้นำอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ดีนั่นอาจเป็นเพราะความเขลาของคนระดับ “จตุพร พรหมพันธุ์” ที่อาสารับงานมาทุกชนิด โดยไม่สนใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
บางอย่างก็น่าเข้าใจกันได้บ้าง
ที่น่าแปลกใจก็คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เคยเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านตำแหน่งสำคัญๆมามากมาย แม้ว่าในบั้นปลายของเส้นทางเดินจะกลายเป็นสิ่ง “ปรักหักพังทางการเมือง” ถูกสังคมมองด้วยสายตาเวทนา แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า จะกล้ากระโดดลงมาเล่นเกมอันละเอียดอ่อนแบบนั้นด้วย
และที่สำคัญก็คือไม่ดูตาม้าตาเรือ โดดเข้าผสมโรงทันที
การที่จู่ๆจงใจให้สัมภาษณ์แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเน้นย้ำกรณี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าเฝ้าฯถวายรายงาน นำเอามาเป็นประเด็นตำหนิติเตียน เสมือนจงใจขยายผล แบบ “หวังดีประสงค์ร้าย” อย่างชัดเจน
ถ้าพิจารณาอย่างตั้งข้อสังเกตก็อาจจับพิรุธได้ว่าเป็นการรับลูกมาเล่นหลังจาก “ตู่ จตุพร” จุดพลุออกมาแล้วมันด้าน จึงต้องส่งให้ระดับ “พ่อใหญ่” พยายามขยายผลอีกครั้ง แต่เป็นเพราะบรรยากาศหลายๆอย่างยังไม่เป็นใจ ปลุกกระแสไม่ขึ้น ก็ต้องแป๊กวันยังค่ำ
ถามว่าด้วยมิปัญญาระดับที่เรียกขานกันว่า “ขงเบ้ง” ผ่านเรื่องราวมาอย่างโชกโชนน่าจะต้อง “อ่านขาด” อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
รู้ดีว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควร
ดังนั้นถ้าเข้าใจแบ็กกราวด์ ก็ต้องโฟกัสให้เห็นว่ามันน่าจะมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น ที่น่าสนใจก็คือเสมือนจงใจหวังผลเล่นกับกระแสมวลชน หากจะพิจารณาแบบไม่เกินเลยก็คือเน้นไปที่กลุ่ม “รากหญ้า” เป็นหลัก เพราะรู้อยู่ว่า เป็นเรื่อง “ละเอียดอ่อน” ข้อมูล ข่าวสารยังไปไม่ถึงครบถ้วน
อีกประการหนึ่งถ้าสังเกตให้ดีเมื่อ จตุพร นำมาขยายผลแล้ว แต่เข็ญไม่ไป เพราะเมื่อพิจารณาจากบางถ้อยคำก็ยิ่งเห็นเด่นชัดมีเจตนาไปเปรียบเทียบย้อนศรในกรณี “วัดพระแก้ว” แล้วด่วนสรุปทันทีว่าท่าทางของนายกรัฐมนตรีในวันนั้นไม่บังควรยิ่งกว่า
ต้องการสร้างบรรยากาศให้ออกมาในโทนนี้
ขณะเดียวกันการรับลูกของ พล.อ.ชวลิต เที่ยวนี้ แม้อาจดูเผินๆแล้วอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือต้องการตำหนิ ตักเตือนด้วยความหวังดีก็อาจมองอย่างนั้นได้
แต่ถ้าดูจากข่าวคราวความเคลื่อนไหวล่าสุดที่แพลมออกมาสอดคล้องกันว่า หลังจากผลเลือกตั้งซ่อมเมือวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ผลออกมาทำให้ “เครือข่ายแม้ว” ต้องหงายเก๋งไม่เป็นท่า จึงน่าจะต้องเรียกใช้บริการ “พ่อใหญ่” อีกครั้ง แต่จะเป็นเพราะความ “เขี้ยว” หรืออะไรก็เหลือเดา รู้แต่ว่าอาการแบบนี้ต้องการยื้อไปอีกสักพักเพื่อรอดูสถานการณ์
ที่สำคัญในขั้นสุดท้าย รอดูท่าทีจากขั้วอำนาจประชาธิปัตย์อีกทางหนึ่งด้วยว่าจะเอาอย่างไร หลังจากเคยถูกปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่งานนี้ขอลุ้นให้เห็นชัวร์ๆอีกสักตั้งก็แล้วกัน
แต่อาจจะเป็นเพราะที่ตัวเองไม่ทำการบ้าน หรือต้องการ “โชว์เดี่ยว” ไม่ยอมปรึกษาหารือกับใคร ทะเร่อทะร่าล้ำหน้า จนสร้างความเสื่อมเสีย มีผลกระทบทางลบกับพรรคตัวเองและเครือข่ายเสื้อแดงอย่างจนไร้ราคาลงไปอีกอย่างไม่น่าเชื่อ
อีกมุมหนึ่งย่อมสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดทั้งในแง่ตัวบุคคล หรือ มาตรฐานในด้านความน่าเชื่อถือ เพราะหากยังดำเนินไปในลักษณะนี้ต่อไป มันก็ยิ่งส่งผลสะเทือนต่อพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ในทางกลับกันจะไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาล โดยเฉพาะผู้นำอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ดีนั่นอาจเป็นเพราะความเขลาของคนระดับ “จตุพร พรหมพันธุ์” ที่อาสารับงานมาทุกชนิด โดยไม่สนใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
บางอย่างก็น่าเข้าใจกันได้บ้าง
ที่น่าแปลกใจก็คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เคยเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านตำแหน่งสำคัญๆมามากมาย แม้ว่าในบั้นปลายของเส้นทางเดินจะกลายเป็นสิ่ง “ปรักหักพังทางการเมือง” ถูกสังคมมองด้วยสายตาเวทนา แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า จะกล้ากระโดดลงมาเล่นเกมอันละเอียดอ่อนแบบนั้นด้วย
และที่สำคัญก็คือไม่ดูตาม้าตาเรือ โดดเข้าผสมโรงทันที
การที่จู่ๆจงใจให้สัมภาษณ์แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเน้นย้ำกรณี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าเฝ้าฯถวายรายงาน นำเอามาเป็นประเด็นตำหนิติเตียน เสมือนจงใจขยายผล แบบ “หวังดีประสงค์ร้าย” อย่างชัดเจน
ถ้าพิจารณาอย่างตั้งข้อสังเกตก็อาจจับพิรุธได้ว่าเป็นการรับลูกมาเล่นหลังจาก “ตู่ จตุพร” จุดพลุออกมาแล้วมันด้าน จึงต้องส่งให้ระดับ “พ่อใหญ่” พยายามขยายผลอีกครั้ง แต่เป็นเพราะบรรยากาศหลายๆอย่างยังไม่เป็นใจ ปลุกกระแสไม่ขึ้น ก็ต้องแป๊กวันยังค่ำ
ถามว่าด้วยมิปัญญาระดับที่เรียกขานกันว่า “ขงเบ้ง” ผ่านเรื่องราวมาอย่างโชกโชนน่าจะต้อง “อ่านขาด” อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
รู้ดีว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควร
ดังนั้นถ้าเข้าใจแบ็กกราวด์ ก็ต้องโฟกัสให้เห็นว่ามันน่าจะมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น ที่น่าสนใจก็คือเสมือนจงใจหวังผลเล่นกับกระแสมวลชน หากจะพิจารณาแบบไม่เกินเลยก็คือเน้นไปที่กลุ่ม “รากหญ้า” เป็นหลัก เพราะรู้อยู่ว่า เป็นเรื่อง “ละเอียดอ่อน” ข้อมูล ข่าวสารยังไปไม่ถึงครบถ้วน
อีกประการหนึ่งถ้าสังเกตให้ดีเมื่อ จตุพร นำมาขยายผลแล้ว แต่เข็ญไม่ไป เพราะเมื่อพิจารณาจากบางถ้อยคำก็ยิ่งเห็นเด่นชัดมีเจตนาไปเปรียบเทียบย้อนศรในกรณี “วัดพระแก้ว” แล้วด่วนสรุปทันทีว่าท่าทางของนายกรัฐมนตรีในวันนั้นไม่บังควรยิ่งกว่า
ต้องการสร้างบรรยากาศให้ออกมาในโทนนี้
ขณะเดียวกันการรับลูกของ พล.อ.ชวลิต เที่ยวนี้ แม้อาจดูเผินๆแล้วอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือต้องการตำหนิ ตักเตือนด้วยความหวังดีก็อาจมองอย่างนั้นได้
แต่ถ้าดูจากข่าวคราวความเคลื่อนไหวล่าสุดที่แพลมออกมาสอดคล้องกันว่า หลังจากผลเลือกตั้งซ่อมเมือวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ผลออกมาทำให้ “เครือข่ายแม้ว” ต้องหงายเก๋งไม่เป็นท่า จึงน่าจะต้องเรียกใช้บริการ “พ่อใหญ่” อีกครั้ง แต่จะเป็นเพราะความ “เขี้ยว” หรืออะไรก็เหลือเดา รู้แต่ว่าอาการแบบนี้ต้องการยื้อไปอีกสักพักเพื่อรอดูสถานการณ์
ที่สำคัญในขั้นสุดท้าย รอดูท่าทีจากขั้วอำนาจประชาธิปัตย์อีกทางหนึ่งด้วยว่าจะเอาอย่างไร หลังจากเคยถูกปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่งานนี้ขอลุ้นให้เห็นชัวร์ๆอีกสักตั้งก็แล้วกัน