รอยเตอร์ –ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ปฏิเสธคำร้องของอิสราเอลในปีที่แล้ว ที่ขอระเบิดแบบมุ่งทำลายสิ่งปลูกสร้างใต้ดิน เพื่อเข้าถล่มพื้นที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ทว่าบุชก็ได้สั่งการให้ซีไอเอใช้ปฏิบัติการลับต่างๆ เพื่อบ่อนทำลายการพัฒนานิวเคลียร์อันสงสัยกันว่าจะเป็นการสร้างอาวุธของอิหร่าน ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส์รายงานในวันเสาร์(10)
นิวยอร์กไทม์ส์ ได้อ้างแหล่งข่าวทางการสหรัฐฯ และต่างประเทศระบุว่า ทำเนียบขาวไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่า ตอนที่อิสราเอลมาขอระเบิดซึ่งเรียกกันว่า “บังเกอร์-บัสติ้ง” (bunger-busting)นี้ ได้ตัดสินใจที่จะเข้าปฏิบัติการโจมตีดังกล่าวแล้ว หรือว่านายกรัฐมนตรีเอฮุด โอลเมิร์ตของอิสราเอล เพียงแต่กำลังพยายามให้บุชตัดสินใจอย่างเด็ดขาดก่อนที่เขาจะอำลาตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนนี้
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว อิสราเอลก็ได้เปิดปฏิบัติการทิ้งระเบิดถล่มพื้นที่ซึ่งคาดว่าเป็นที่ตั้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในซีเรีย โดยที่เชื่อกันว่าปัจจุบันอิสราเอลเป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่แน่ๆ
นิวยอร์กไทม์ส์ระบุว่า รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการลับของสหรัฐฯ และความพยายามของคณะรัฐบาลบุชที่จะเจรจาไม่ให้อิสราเอลเข้าโจมตีอิหร่านนั้น ตนเองได้มาจากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ทั้งในอดีตและที่ยังดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน ตลอดจนผู้ตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก และเจ้าหน้าที่ของยุโรปและอิสราเอลเป็นเวลานานถึง 15 เดือน โดยผู้ที่ให้สัมภาษณ์ทั้งหมดไม่อนุญาตให้มีการเปิดเผยชื่อของพวกเขา
หนังสือพิมพ์อเมริกันทรงอิทธิพลฉบับนี้กล่าวว่า การสัมภาษณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า “ในระหว่างที่บุชได้รับการบรรยายสรุปอย่างกว้างขวางยิ่ง เกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ สำหรับการที่อเมริกันจะเข้าโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ไม่เคยสั่งการให้เพนตากอนดำเนินการเกินกว่าการวางแผนการรับมือฉุกเฉิน แม้กระทั่งในระหว่างปีสุดท้ายแห่งวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา” ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่พวกนักวิจารณ์ของเขาบางคนออกมาพูดอยู่เรื่อยว่า บุชกำลังเตรียมเข้าโจมตีอิหร่านอยู่ร่อมร่อแล้ว
อย่างไรก็ตาม บุชตระหนักดีว่าการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงินต่ออิหร่านเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เขาจึงหันไปสั่งการผ่านสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ(ซีไอเอ) ให้ใช้ความพยายามอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อเล่นงานอย่างลับๆ ต่อโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมของอิหร่าน ที่กำลังสนับสนุนโครงการนิวเคลียร์ของประเทศนั้นอยู่
**อิสราเอลขอบินผ่านน่านฟ้าอิรัก**
ในช่วงของรัฐบาลบุชนั้น สหรัฐฯ ได้กดดันให้สหประชาชาติเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน เพื่อให้เตหะรานยอมยุติโครงการนิวเคลียร์ซึ่งโลกตะวันตกเชื่อว่าเป็นโครงการที่มีเป้าหมายผลิตอาวุธ ทว่าอิหร่านซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับสหรัฐฯ และมักใช้โวหารเผ็ดร้อนโจมตีอิสราเอล ก็ยืนกรานว่าโครงการนิวเคลียร์ของตนนั้นมีจุดประสงค์เพื่อการใช้งานทางด้านพลเรือน
นิวยอร์กไทม์ส์ระบุว่าเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐบาลบุชยังคงสงสัยอยู่ว่าการบ่อนทำลายอย่างลับๆ ตามที่บุชสั่งการให้ดำเนินการนั้น จะมีโอกาสประสบความสำเร็จหรือไม่ ในเมื่ออิหร่านจวนจะพัฒนาขีดความสามารถของอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จอยู่แล้ว
ตามรายงานข่าวนี้ของนิวยอร์กไทมส์ สหรัฐฯ รู้สึกไม่สบายใจเป็นพิเศษเรื่องที่อิสราเอลได้ขอทำการบินผ่านน่านฟ้าอิรัก เพื่อเข้าโจมตีพื้นที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านในเมืองนาตานซ์ และได้ตัดสินใจปฏิเสธข้อเรียกร้องนั้นไป แต่เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดลง สหรัฐฯ ก็ได้ร่วมมือกับอิสราเอลจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองร่วมกัน โดยมีความพยายามที่จะเข้าทำลายพื้นที่ตั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอยู่ด้วย
นิวยอร์กไทม์ส์บอกว่าจากการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ของตน ได้พบว่าบุชได้รับฟังความเห็นจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงนำโดยรอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเสนอว่าการโจมตีอิหร่านอย่างเปิดเผย มีแนวโน้มไปในทางที่ไม่ได้ผล และจะทำให้อิหร่านขับไล่ผู้ตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ระหว่างประเทศออกไป อันจะทำให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีผู้รู้เห็น
“บุชและทีมผู้ช่วยยังได้พูดถึงความเป็นไปได้ที่การโจมตีทางอากาศจะทำให้สงครามในตะวันออกกลางขยายวงออกไป และกำลังทหาร 140,000 นายที่ประจำการในอิรักก็จะต้องเข้าร่วมด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” นิวยอร์กไทม์ส์ระบุ
นิวยอร์กไทม์ส์ ได้อ้างแหล่งข่าวทางการสหรัฐฯ และต่างประเทศระบุว่า ทำเนียบขาวไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่า ตอนที่อิสราเอลมาขอระเบิดซึ่งเรียกกันว่า “บังเกอร์-บัสติ้ง” (bunger-busting)นี้ ได้ตัดสินใจที่จะเข้าปฏิบัติการโจมตีดังกล่าวแล้ว หรือว่านายกรัฐมนตรีเอฮุด โอลเมิร์ตของอิสราเอล เพียงแต่กำลังพยายามให้บุชตัดสินใจอย่างเด็ดขาดก่อนที่เขาจะอำลาตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนนี้
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว อิสราเอลก็ได้เปิดปฏิบัติการทิ้งระเบิดถล่มพื้นที่ซึ่งคาดว่าเป็นที่ตั้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในซีเรีย โดยที่เชื่อกันว่าปัจจุบันอิสราเอลเป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่แน่ๆ
นิวยอร์กไทม์ส์ระบุว่า รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการลับของสหรัฐฯ และความพยายามของคณะรัฐบาลบุชที่จะเจรจาไม่ให้อิสราเอลเข้าโจมตีอิหร่านนั้น ตนเองได้มาจากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ทั้งในอดีตและที่ยังดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน ตลอดจนผู้ตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก และเจ้าหน้าที่ของยุโรปและอิสราเอลเป็นเวลานานถึง 15 เดือน โดยผู้ที่ให้สัมภาษณ์ทั้งหมดไม่อนุญาตให้มีการเปิดเผยชื่อของพวกเขา
หนังสือพิมพ์อเมริกันทรงอิทธิพลฉบับนี้กล่าวว่า การสัมภาษณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า “ในระหว่างที่บุชได้รับการบรรยายสรุปอย่างกว้างขวางยิ่ง เกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ สำหรับการที่อเมริกันจะเข้าโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ไม่เคยสั่งการให้เพนตากอนดำเนินการเกินกว่าการวางแผนการรับมือฉุกเฉิน แม้กระทั่งในระหว่างปีสุดท้ายแห่งวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา” ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่พวกนักวิจารณ์ของเขาบางคนออกมาพูดอยู่เรื่อยว่า บุชกำลังเตรียมเข้าโจมตีอิหร่านอยู่ร่อมร่อแล้ว
อย่างไรก็ตาม บุชตระหนักดีว่าการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงินต่ออิหร่านเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เขาจึงหันไปสั่งการผ่านสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ(ซีไอเอ) ให้ใช้ความพยายามอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อเล่นงานอย่างลับๆ ต่อโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมของอิหร่าน ที่กำลังสนับสนุนโครงการนิวเคลียร์ของประเทศนั้นอยู่
**อิสราเอลขอบินผ่านน่านฟ้าอิรัก**
ในช่วงของรัฐบาลบุชนั้น สหรัฐฯ ได้กดดันให้สหประชาชาติเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน เพื่อให้เตหะรานยอมยุติโครงการนิวเคลียร์ซึ่งโลกตะวันตกเชื่อว่าเป็นโครงการที่มีเป้าหมายผลิตอาวุธ ทว่าอิหร่านซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับสหรัฐฯ และมักใช้โวหารเผ็ดร้อนโจมตีอิสราเอล ก็ยืนกรานว่าโครงการนิวเคลียร์ของตนนั้นมีจุดประสงค์เพื่อการใช้งานทางด้านพลเรือน
นิวยอร์กไทม์ส์ระบุว่าเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐบาลบุชยังคงสงสัยอยู่ว่าการบ่อนทำลายอย่างลับๆ ตามที่บุชสั่งการให้ดำเนินการนั้น จะมีโอกาสประสบความสำเร็จหรือไม่ ในเมื่ออิหร่านจวนจะพัฒนาขีดความสามารถของอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จอยู่แล้ว
ตามรายงานข่าวนี้ของนิวยอร์กไทมส์ สหรัฐฯ รู้สึกไม่สบายใจเป็นพิเศษเรื่องที่อิสราเอลได้ขอทำการบินผ่านน่านฟ้าอิรัก เพื่อเข้าโจมตีพื้นที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านในเมืองนาตานซ์ และได้ตัดสินใจปฏิเสธข้อเรียกร้องนั้นไป แต่เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดลง สหรัฐฯ ก็ได้ร่วมมือกับอิสราเอลจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองร่วมกัน โดยมีความพยายามที่จะเข้าทำลายพื้นที่ตั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอยู่ด้วย
นิวยอร์กไทม์ส์บอกว่าจากการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ของตน ได้พบว่าบุชได้รับฟังความเห็นจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงนำโดยรอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเสนอว่าการโจมตีอิหร่านอย่างเปิดเผย มีแนวโน้มไปในทางที่ไม่ได้ผล และจะทำให้อิหร่านขับไล่ผู้ตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ระหว่างประเทศออกไป อันจะทำให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีผู้รู้เห็น
“บุชและทีมผู้ช่วยยังได้พูดถึงความเป็นไปได้ที่การโจมตีทางอากาศจะทำให้สงครามในตะวันออกกลางขยายวงออกไป และกำลังทหาร 140,000 นายที่ประจำการในอิรักก็จะต้องเข้าร่วมด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” นิวยอร์กไทม์ส์ระบุ