ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลผสมของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศได้ไม่ถึง 3 สัปดาห์จะถูกท้าทายอำนาจได้รายวันขนาดนี้ โดยเฉพาะการท้าทายจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งในที่นี้จะเน้นไปที่ตำรวจเป็นอันดับแรก
ขณะเดียวกันก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 7-8 ปี ภายใต้การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จของ “ระบอบทักษิณ” ก็ได้สร้าง “รัฐตำรวจ” ขึ้นมาจนเติบใหญ่กล้าแข็ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะเข้าไปโยกคลอนหรือถอนรากถอนโคนในช่วงเวลาข้ามคืน
ยิ่งสภาพที่เป็นรัฐบาลผสมเสียงปริ่มน้ำ ทุกอย่างก็ยิ่งยุ่งยากมากขึ้นตามไปด้วย
ถ้าสังเกตให้ดีการท้าทายได้มีมาเป็นระยะ และนับวันจะเข้มข้น และเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งโดยท่าที คำพูด หรือมาในแบบ เกียร์ว่าง วางเฉยไม่ยินดียินร้าย
หากลำดับเหตุการณ์ก็น่าจะเริ่มตั้งแต่วันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ตำรวจปล่อยให้กลุ่ม “คนเสื้อแดง” เพียงไม่กี่ร้อยคนเข้ามาประชิดตัวทำร้าย หรือทุบทำลายรถยนต์ของ ส.ส.ที่สนับสนุน อภิสิทธิ์ โดยเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบไม่ได้มีท่าทีเข้ามาขัดขวางอย่างเอาจริงเอาจัง
มิหนำซ้ำยังปรากฏภาพถ่ายให้เห็นในภายหลังก็คือ มีเจ้าหน้าที่แต่งกายในชุดตำรวจถืออุปกรณ์อันเป็นสัญญลักษณ์ “ตีนตบ” รวมทั้งผ้าโพกหัวสีแดงร่วมอยู่กลางม็อบจนกลมกลืน ไม่รู้ว่าเสื้อแดงในคราบตำรวจหรือว่าตำรวจในคราบเสื้อแดง แยกกันไม่ออก
ต่อมาในช่วงที่ ชวน หลีกภัย ขึ้นเหนือไปช่วยผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์หาเสียง ก็โดนไล่ล่าข้ามจังหวัด ปาไข่เข้าใส่อย่างป่าเถื่อน
พฤติกรรมซ้ำๆแบบเดียวกันนี้ก็มีมาอย่างต่อเนื่องทั้งที่จังหวัดสมุทรปราการ ทำเนียบรัฐบาล และล่าสุดก็เกิดขึ้นกับแกนนำคนสำคัญอีกคนอย่าง บัญญัติ บรรทัดฐาน ก็โดนปาไข่ใส่รถ และตามรังควาญขณะไปช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดปทุมธานี
นี่ยังไม่นับกรณี “ยายเนียม” ที่จังหวัดอุบลราชธานี ที่กลุ่มเสื้อแดงยกขบวนไปข่มขู่ถึงหน้าโรงพยาบาล
แม้ว่าที่ผ่านมา มีเสียงเข้มออกมาจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคงและได้รับมอบอำนาจนายกรัฐมนตรีเข้ามาคุมตำรวจโดยตรงว่าจะจัดการกับตำรวจ “เกียร์ว่าง” ให้เด็ดขาดหากไม่รักษากฎหมาย
แต่ล่าสุดก็มีนายตำรวจระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ลุกขึ้น ถามนายกรัฐมนตรีขณะไปบรรยายพิเศษให้กับผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง กรณีสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ในทำนองว่า ตำรวจได้ทำตามหน้าที่ ทำตามนโยบายรัฐบาล แต่กำลังจะถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด
พูดราวกับว่าตำรวจกำลังตกเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ แล้วตั้งคำถามใส่หน้านายกรัฐมนตรีว่า จะอำนวยความยุติธรรมอย่างไร
ฉีกหน้ากลางวงกันเลยทีเดียว !!
พฤติกรรมในลักษณะดังกล่าว ถ้าเกิดขึ้นในแวดวงการเมือง หรือวงสัมมนาเอกชนอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับข้าราชการตำรวจที่ลุกขึ้นฉีกหน้าผู้บังคับบัญชา และยิ่งกับนายกรัฐมนตรี ถือว่าไม่ธรรมดาแน่นอน
อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งเมื่อกล้าแสดงออกก็ย่อมมีความมั่นใจ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาถึงการอ่านเกม หรือ“เล่นเกมอำนาจ” แล้วย่อมเข้าใจกันดีว่า “วงการตำรวจ” ย่อมไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว
และยิ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลยังไม่นิ่ง อำนาจแท้จริงยังกระจัดกระจายอยู่ในมือหลายคน เท่าที่เห็นหลักๆน่าจะหนีไม่พ้น อภิสิทธิ์ เวชาชีวะในฐานะนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และอีกคนที่ต้องจับตาไม่แพ้กันคือ เนวิน ชิดชอบ ที่ถือดุลสำคัญ
เพราะหากพลิกดูแบ็กกราวด์ก็อย่าได้แปลกใจ เมื่อใน“วงการ”รู้กันดีว่า พล.ต.ท.สมยศ กับ เนวิน เขาปึ๊กกันขนาดไหน และที่ผ่านมาในยุครัฐบาล สมัคร สุนทรเวช มาจนถึง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่ากันว่าคนชื่อ เนวินนี่แหละ ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดโผตำรวจ
นี่แหละถึงบอกว่า ถ้าไม่เจ๋งจริงก็คงไม่กล้าโชว์ออฟแบบนี้หรอก
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากต้องการลองของ พิสูจน์อำนาจของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ว่ามีอำนาจแค่ไหน ขณะเดียวกันหากมีอำนาจแล้วไม่กล้าใช้ มันก็ป่วยการที่จะฝันว่าบริหารอย่างราบรื่น
ไม่เชื่อลองย้อนกลับไปดูบทเรียนในยุคของ คมช.เรื่อยมาจนถึงยุครัฐบาล “ขิงแก่” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มัวแต่เงื้อง่าราคาแพง ไม่กล้าลงมือ จนกระทั่งหมดเวลา ทุกอย่างสายไปแล้ว
ขณะเดียวกันก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 7-8 ปี ภายใต้การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จของ “ระบอบทักษิณ” ก็ได้สร้าง “รัฐตำรวจ” ขึ้นมาจนเติบใหญ่กล้าแข็ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะเข้าไปโยกคลอนหรือถอนรากถอนโคนในช่วงเวลาข้ามคืน
ยิ่งสภาพที่เป็นรัฐบาลผสมเสียงปริ่มน้ำ ทุกอย่างก็ยิ่งยุ่งยากมากขึ้นตามไปด้วย
ถ้าสังเกตให้ดีการท้าทายได้มีมาเป็นระยะ และนับวันจะเข้มข้น และเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งโดยท่าที คำพูด หรือมาในแบบ เกียร์ว่าง วางเฉยไม่ยินดียินร้าย
หากลำดับเหตุการณ์ก็น่าจะเริ่มตั้งแต่วันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ตำรวจปล่อยให้กลุ่ม “คนเสื้อแดง” เพียงไม่กี่ร้อยคนเข้ามาประชิดตัวทำร้าย หรือทุบทำลายรถยนต์ของ ส.ส.ที่สนับสนุน อภิสิทธิ์ โดยเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบไม่ได้มีท่าทีเข้ามาขัดขวางอย่างเอาจริงเอาจัง
มิหนำซ้ำยังปรากฏภาพถ่ายให้เห็นในภายหลังก็คือ มีเจ้าหน้าที่แต่งกายในชุดตำรวจถืออุปกรณ์อันเป็นสัญญลักษณ์ “ตีนตบ” รวมทั้งผ้าโพกหัวสีแดงร่วมอยู่กลางม็อบจนกลมกลืน ไม่รู้ว่าเสื้อแดงในคราบตำรวจหรือว่าตำรวจในคราบเสื้อแดง แยกกันไม่ออก
ต่อมาในช่วงที่ ชวน หลีกภัย ขึ้นเหนือไปช่วยผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์หาเสียง ก็โดนไล่ล่าข้ามจังหวัด ปาไข่เข้าใส่อย่างป่าเถื่อน
พฤติกรรมซ้ำๆแบบเดียวกันนี้ก็มีมาอย่างต่อเนื่องทั้งที่จังหวัดสมุทรปราการ ทำเนียบรัฐบาล และล่าสุดก็เกิดขึ้นกับแกนนำคนสำคัญอีกคนอย่าง บัญญัติ บรรทัดฐาน ก็โดนปาไข่ใส่รถ และตามรังควาญขณะไปช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดปทุมธานี
นี่ยังไม่นับกรณี “ยายเนียม” ที่จังหวัดอุบลราชธานี ที่กลุ่มเสื้อแดงยกขบวนไปข่มขู่ถึงหน้าโรงพยาบาล
แม้ว่าที่ผ่านมา มีเสียงเข้มออกมาจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคงและได้รับมอบอำนาจนายกรัฐมนตรีเข้ามาคุมตำรวจโดยตรงว่าจะจัดการกับตำรวจ “เกียร์ว่าง” ให้เด็ดขาดหากไม่รักษากฎหมาย
แต่ล่าสุดก็มีนายตำรวจระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ลุกขึ้น ถามนายกรัฐมนตรีขณะไปบรรยายพิเศษให้กับผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง กรณีสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ในทำนองว่า ตำรวจได้ทำตามหน้าที่ ทำตามนโยบายรัฐบาล แต่กำลังจะถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด
พูดราวกับว่าตำรวจกำลังตกเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ แล้วตั้งคำถามใส่หน้านายกรัฐมนตรีว่า จะอำนวยความยุติธรรมอย่างไร
ฉีกหน้ากลางวงกันเลยทีเดียว !!
พฤติกรรมในลักษณะดังกล่าว ถ้าเกิดขึ้นในแวดวงการเมือง หรือวงสัมมนาเอกชนอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับข้าราชการตำรวจที่ลุกขึ้นฉีกหน้าผู้บังคับบัญชา และยิ่งกับนายกรัฐมนตรี ถือว่าไม่ธรรมดาแน่นอน
อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งเมื่อกล้าแสดงออกก็ย่อมมีความมั่นใจ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาถึงการอ่านเกม หรือ“เล่นเกมอำนาจ” แล้วย่อมเข้าใจกันดีว่า “วงการตำรวจ” ย่อมไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว
และยิ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลยังไม่นิ่ง อำนาจแท้จริงยังกระจัดกระจายอยู่ในมือหลายคน เท่าที่เห็นหลักๆน่าจะหนีไม่พ้น อภิสิทธิ์ เวชาชีวะในฐานะนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และอีกคนที่ต้องจับตาไม่แพ้กันคือ เนวิน ชิดชอบ ที่ถือดุลสำคัญ
เพราะหากพลิกดูแบ็กกราวด์ก็อย่าได้แปลกใจ เมื่อใน“วงการ”รู้กันดีว่า พล.ต.ท.สมยศ กับ เนวิน เขาปึ๊กกันขนาดไหน และที่ผ่านมาในยุครัฐบาล สมัคร สุนทรเวช มาจนถึง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่ากันว่าคนชื่อ เนวินนี่แหละ ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดโผตำรวจ
นี่แหละถึงบอกว่า ถ้าไม่เจ๋งจริงก็คงไม่กล้าโชว์ออฟแบบนี้หรอก
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากต้องการลองของ พิสูจน์อำนาจของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ว่ามีอำนาจแค่ไหน ขณะเดียวกันหากมีอำนาจแล้วไม่กล้าใช้ มันก็ป่วยการที่จะฝันว่าบริหารอย่างราบรื่น
ไม่เชื่อลองย้อนกลับไปดูบทเรียนในยุคของ คมช.เรื่อยมาจนถึงยุครัฐบาล “ขิงแก่” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มัวแต่เงื้อง่าราคาแพง ไม่กล้าลงมือ จนกระทั่งหมดเวลา ทุกอย่างสายไปแล้ว