xs
xsm
sm
md
lg

เบรกแผนเพิ่มเวลาเทรดหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชะลอแผนขยายช่วงเวลาซื้อขายหุ้นเพิ่ม หลังบอร์ดเสนอให้คณะทำงานกลับไปศึกษาเพิ่มเติม เหตุช่วงจังหวะไม่เหมาะสม อาจทำให้ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนขยายระบบงาน ด้าน “ภัทรียา” เผยอาจนำกลับมาพิจารณาใหม่หากสถานการณ์ตลาดหุ้นเริ่มดีขึ้น ขณะที่โบรกเกอร์ ออกตัวไม่เกี่ยวกับภาวะตลาดหุ้นซบ ส่วนตลาดหุ้นวานนี้ (8 ม.ค.) ยังแกว่งตัวในกรอบแคบตามตลาดหุ้นทั่วโลก พร้อมแนะนำให้จับตาทิศทางราคาน้ำมัน-ตลาดหุ้นทั่วโลก
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้หารือร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เกี่ยวกับเรื่องการเพิ่มช่วงเวลาการซื้อขายหุ้น อีก 1 รอบ จากปกติที่มีการซื้อขาย 2 ช่วงเวลา คือช่วงเช้า 10.00-12.30 และช่วงบ่าย 14.30-16.30น ซึ่งที่ประชุมมีมติยังไม่ให้มีการเพิ่มช่วงเวลาซื้อขาย หลังจากที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (บอร์ด) ให้คณะทำงานแก้ไขหลักเกณฑ์นำกลับไปศึกษาข้อดีข้อเสียให้รอบคอบก่อน
สำหรับสาเหตุที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่เพิ่มช่วงเวลาซื้อขายหลักทรัพย์ เนื่องจากจังหวะในการเปิดช่วงเวลาซื้อขายยังไม่เหมาะสม ซึ่งหากเปิดไปแล้วอาจจะมีปริมาณการซื้อขายไม่มากนัก ซึ่งเดิมที่จะเปิดช่วงเวลาเทรดเพิ่มเพื่อที่จะสร้างปริมาณการซื้อขายให้มากขึ้น ดังนั้นจึงยังไม่คุ้มค่าที่จะมีการลงทุนในเรื่องระบบงานของโบรกเกอร์
นอกจากนี้ ยังประเมินว่าระยะเวลาในการเปิดซื้อขายหุ้นในปัจจุบันมีระยะเวลายาวนานพอและครอบคลุมแล้ว หากสถานการณ์มีการเปลี่ยนไปและเป็นจังหวะที่เหมาะสมตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำเรื่องการเพิ่มช่วงเวลาการซื้อขายหุ้นกลับมาพิจารณาอีกครั้ง
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประชุมเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้ข้อสรุปจะยังไม่มีการเพิ่มช่วงเวลาการซื้อขายหุ้น หลังจากที่ให้คณะทำงานไปศึกษาเพิ่มเติม เพราะมองว่าจังหวะยังไม่เหมาะสม ซึ่งเดิมมีแผนที่จะเพิ่มช่วงเวลาเทรดเพื่อให้เกิดกิจกรรมการซื้อขายมากขึ้น แต่จากหารือกับโบรกเกอร์แล้วเชื่อว่าจะยังไม่คุ้มค่าที่จะมีการทำเรื่องดังกล่าว เพราะโบรกเกอร์อาจจะต้องมีการลงทุนเพิ่ม และมองว่าระยะเวลาการเปิดซื้อขายของตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีระยะเวลาที่นานเหมาะสมแล้ว” นางภัทรียา กล่าว
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พิจารณาในเรื่องการเพิ่มช่วงเวลาเทรดนั้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมีมติให้ทางคณะทำงานแก้ไขกฎเกณฑ์ฯ นำเรื่องดังกล่าวกลับไปศึกษาเพิ่มเติมถึงข้อดีข้อเสียของการดำเนินการดังกล่าวให้รอบคอบก่อนนั้น คณะทำงานดังกล่าวอาจจะประเมินว่าอาจจะยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมในการทำ เพราะการที่จะเพิ่มช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้นอีกช่วงหนึ่งนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ในเรื่องเวลาการเปิดปิด ระบบการซื้อขายหุ้นของโบรกเกอร์ซึ่งอาจจะต้องมีการลงทุนเพิ่ม ระบบงาน และเจ้าหน้าที่ต้องมีการดูแลการซื้อขาย เป็นต้น
“บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้คณะทำงานฯนำเรื่องการเพิ่มช่วงเวลาการซื้อขายไปศึกษาเพิ่มเติมถึงข้อดีข้อเสียของการเปิดเวลาซื้อขายเพิ่ม ซึ่งคงมีผลสรุปออกมาว่ายังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม เพราะการเพิ่มช่วงเวลาการซื้อขายนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่และกระทบต่อภาพรวม ในเรื่อง คนทำงาน เวลาการเปิดปิดตลาด การสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องกับภาวะตลาดหุ้นในปีนี้ที่ไม่ดี จึงต้องให้หยุดแผนการดำเนินการเรื่องนี้ออกไป”
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการศึกษาแก้ไขกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการเสนอเรื่องเพิ่มช่วงเวลาการซื้อขายหุ้นอีก 1 ช่วงเวลาคือตั้งแต่ 19.00-21.00 น แต่จะเปิดให้ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ให้ทางคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ(บอร์ดตลท.)พิจารณาในการประชุมในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดให้มีการซื้อขายหุ้น2 ช่วงเวลา คือช่วงเช้า 10.00-12.30 และช่วงบ่าย 14.30-16.30น. เนื่องจาก เพื่อเป็นการขยายฐานนักลงทุนกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงานเพราะ ในช่วงระหว่างวันไม่สามารถที่จะส่งทำสั่งซื้อขายได้ เพราะ ต้องทำงานประจำ ทำให้ไม่เหมาะสมที่จะส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นในช่วงทำงาน
นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายเวลาให้นักลงทุนต่างประเทศได้เข้ามาซื้อขายตลาดหุ้นได้ ซึ่งจะเป็นการการเพิ่มมูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯมากขึ้น โดยมูลค่าการซื้อขายและดัชนีปิดในช่วง 21.00 น.นั้นจะนับเป็นการซื้อขายของเช้าของวันต่อไป ซึ่งการที่คณะกรรมการเสนอเรื่องการเพิ่มช่วงเวลาซื้อขายหุ้นในช่วงนี้ เพราะ มองว่าปัจจุบันระบบการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตนั้นมีประสิทธิภาพเป็นระบบสากลสะดวกและ ทันสมัยสามารถซื้อขายหุ้นได้ง่ายและไม่เป็นการเพิ่มทุนให้กับโบรกเกอร์ เพราะมีเจ้าหน้าการตลาด (มาร์เกตติ้ง) ที่ประจำสำนักงานเพียง 1-2 คน ก็สามารถที่จะทำหน้าที่ได้แล้ว

***หุ้นไทยแกว่งตัวตามตลาดภูมิภาค
ด้านบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ม.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นลงในแดนลบเกือบตลอดทั้งวันตามปัจจัยต่างประเทศที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง ยกเว้นในช่วงท้ายตลาดที่มีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นและสามารถยืนในแดนบวกได้ โดยมีดัชนีตลาดหุ้นต่ำสุดที่ 455.44 จุด และสูงสุดที่ 465.49 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 465.03 จุด เพิ่มขึ้น 2.07 จุด หรือคิดเป็น 0.45% มูลค่าการซื้อขายรวม 11,062.52 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้ทยอยขายหุ้นไทยออกมา โดยมียอดขายสุทธิอยู่ 24.78 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,524.87 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,549.66 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิดที่ 115 บาท ลดลงจากวันก่อน 1 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,634.73 ล้านบาท บมจ.บ้านปู (BANPU) ราคาปิดที่ 248 บาท ลดลง 2 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,434.31 ล้านบาท และบมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 183 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,042.57 ล้านบาท
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (9 ม.ค.) ดัชนียังคงแกว่งตัวทั้งในแดนลบและแดนบวก โดยช่วงเช้าตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวสอดคล้องกับดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ และตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวลง
ขณะที่ในช่วงบ่ายนักลงทุนเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หลังจากมีการคาดการณ์การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 14 มกราคมนี้จะมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีก
                อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังคงเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน โดยนักลงทุนควรจับตาการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดเสถียรภาพในการบริหารงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดังนั้นจึงแนะนำให้ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 455 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 470 จุด
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวยังคงปรับฐานหลังจากปรับตัวขึ้นแรงในวันเปิดทำการวันแรกหลังเทศกาลปีใหม่ แต่ตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลงประมาณ 1-3%
“การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเป็นการแสดงให้เห็นว่านักลงทุนไม่ค่อยมีความเชื่อมั่น พิจารณาได้จากดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มไป 1 วัน แต่ปรับตัวลดลง 3 วัน นับตั้งแต่เปิดทำการของปี 2552”
สำหรับปัจจัยต่างประเทศนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นนัยสำคัญจึงไม่ได้ส่งผลต่อตลาดหุ้นมากนัก แต่นักลงทุนจะต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นดัชนีที่กำหนดความเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่มพลังงานที่เป็นตัวนำตลาด และมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจจะส่งผลดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มธนาคารได้บ้าง ขณะเดียวกัน จะต้องติดตามสัญญาณการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อหุ้นอยู่หรือไม่ ถ้ายังคงซื้ออยู่ก็จะเป็นผลดี แต่ถ้าเริ่มขายออกมาติดต่อกัน จะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น