xs
xsm
sm
md
lg

ปีใหม่ไม่มี มีแต่สมมติ

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

      วันปีใหม่ โอ้ปีใหม่ ใครสมมติ       จึงมนุษย์ ยุดยื้อ ถือเป็นหลัก
      ประกอบกิจ สารพัน สำคัญนัก      ฉลองวัน สัญลักษณ์ ประจักษ์จริง
      สาธุชน คนฟังธรรม คำสั่งสอน     เร่งสังวร กาลหมุนเวียน เปลี่ยนทุกสิ่ง
      สร้างกุศล ทุกเวลา อย่าประวิง     จะปลอดทุกข์ สุขยิ่ง ทุกคืนวัน


ท่านผู้อ่านที่เคารพ มีควันหลงปีใหม่ที่ผมยังอยากพูด ขอบคุณท่านที่โพสต์มา บางท่านผมไม่เห็นด้วย เช่น คุณพยัคฆ์ซ่อนคม โพสต์มาถึงผมความว่า

"ท่านอาจารย์ครับ ญาติผู้ใหญ่ของท่านอาจารย์ที่ชื่อ นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ดูน่าจะแก่แบบอายุอานามมากกว่าแก่คุณวุฒิ เพราะดูจะหลงใหลชื่นชมกับไอ้โจรหน้าเหลี่ยมเสียเหลือเกิน ในขณะที่คนรุ่นหลังอย่างท่านอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ แบบท่านอาจารย์ประเสริฐ นาสกุล ที่ท่านรู้ท่านเห็นธาตุแท้ของไอ้เหลี่ยมจนทะลุปรุโปร่ง

นี่แหละเขาว่า อายุบางทีก็เป็นแค่ตัวเลข ไม่ได้บ่งบอกถึงปัญญา ก็ถ้าขนาดยังหน้ามืดเชื่อว่า ไอ้นักโทษอดีตนายกฯ มันเป็นคนดีอยู่ได้ 2 ปี แล้วถึงดีแตก ช่วยบอกหน่อยว่า ตอนที่มันซุกหุ้นนะมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะเท่าที่ตรวจสอบดูแล้ว มันซุกหุ้นให้คนใช้ คนขับรถ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่มันมาเป็นรองนายกฯ สรุปคือ มันเลวมาตลอด และไปศึกษาดูเรื่องคดีความต่างๆ เกี่ยวกับการโยกย้ายหุ้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนมันเป็นนายกฯ และก็ยังทำอยู่ตลอดในสมัยที่มันมีอำนาจ ไม่มีช่วงไหนที่มันละเว้นที่จะประพฤติชั่ว ก็น่าแปลกที่คนอย่างนายแพทย์เสม กลับไม่รู้เรื่อง น่าสงสารประเทศไทยจริงๆ"


ผมใคร่อธิบายบ้างว่า การที่คุณหมอเสม คุณหมอประเวศเชียร์ทักษิณ น่าจะเป็นเพราะความหวังดีต่อคนไข้และคนยากจน ที่ไม่เคยได้รับความเหลียวแลเพียงพอในระบบรักษาพยาบาลของไทยมากกว่าโรงพยาบาลเอกชนและยาราคาแพงลิบลิ่ว ไม่เห็นมีรัฐบาลไหนแก้ไขได้ พอดีนายแพทย์สงวน นิตยารัมภาพงศ์ กัลยาณศิษย์ของคุณหมอเสม ผู้นำมหิดลประชาธิปไตยคิดสูตร 30 บาทรักษาทุกโรคขึ้น ทักษิณฉวยเอาไปใช้เป็นนโยบาย คุณหมอจึงปลื้มใจ อยากให้โอกาสกับคนจน

สำหรับประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล นั้น เป็นผู้กล้าหาญและเคารพวิชาชีพของตนอย่างแท้จริง น่าจะนำคำวินิจฉัยของท่านไปสอนตามโรงเรียนกฎหมาย ที่ผมสังเกตว่าทั้งมาตรฐานความรู้และจริยธรรมต่ำลงทุกที ทั้งครูและนักเรียน

ผมเคยเห็นทักษิณมาตั้งแต่เป็นตำรวจติดตาม รมต.ปรีดา พัฒนถาบุตร รัฐบาลคึกฤทธิ์ และไม่เคยเลื่อมใสวิธีหาความร่ำรวยแบบของทักษิณ ประเด็นที่ผมคัดค้านทักษิณมาแต่ต้นเป็นเรื่องง่ายๆ นั่นก็คือหลักนิติธรรมหรือ Rule of Law หรือการปกครองโดยกฎหมาย ซึ่งทักษิณและบริวารชอบอ้างดีนัก แต่ไม่เคยปฏิบัติตามเลย ผมอาจจะไม่ชอบกฎหมายบางฉบับ เช่น กฎหมายบังคับให้ ส.ส.สังกัดพรรคหรือยุบพรรค แต่ตราบใดที่กฎหมายยังมีอยู่ ก็จำจะต้องบังคับใช้ทุกคนเท่าเทียมกันไม่มียกเว้น เช่นกฎหมายซุกหุ้น เมื่อมีกฎหมายบัญญัติอยู่อย่างโจ่งแจ้งเป็นตัวหนังสือ ว่าถ้ากระทำอย่างนี้ถือว่าผิด จะวินิจฉัยหรือตีความเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร ดังนั้น ทักษิณจึงผิดและหมดสิทธิเป็นนายกฯ มาตั้งแต่คราวซุกหุ้นแล้ว ยิ่งอยู่ในตำแหน่งนานความชอบธรรมของทักษิณก็ยิ่งหมดไป

ข้อวิพากษ์เรื่องอายุ-อาชีพแพทย์กับวุฒิภาวะของคุณหมอที่ทำให้คุณพยัคฆ์ซ่อนคมสงสารเมืองไทยนั้น ผมเห็นว่าสำคัญยิ่ง แต่จะเจาะจงใช้กับกรณีของคุณหมอเสมหาได้ไม่ เพราะคุณหมอและกลุ่มกัลยาณมิตรที่ท่านเป็นผู้นำ รับใช้สังคมไทยเป็นกลุ่ม "ผู้ตื่น-ผู้รู้-ผู้เบิกบาน" อย่างยิ่ง แต่อาจจะขาดข้อมูลการเมือง ผมกับพลโทฤกษ์ดี ชาติอุทิศ พากันสรุปว่า ทหาร อาจารย์สอนกฎหมายและรัฐศาสตร์ ขาดข้อมูลและโง่การเมืองพอกัน จะโทษหมอกระไรได้ สื่อและมหาวิทยาลัยไม่มีปัญญาทำหน้าที่รับผิดชอบให้ความรู้ที่จำเป็นแก่สังคม ความรู้และสำนึกทางการเมืองนั้นไม่จำเป็นว่ามีการศึกษาสูงหรืออายุมากจะต้องวิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไป

ชนชั้นนำและบุคคลทั่วไปมีอวิชชาทางการเมืองสูง อวิชชานี้ทางพุทธ แปลว่าไม่รู้จักความเชื่อมโยงระหว่างเหตุปัจจัยต่างๆ ในอดีต ไม่รู้จักความเชื่อมโยงระหว่างเหตุปัจจัยต่างๆ ในปัจจุบัน และไม่รู้จักความเชื่อมโยงระหว่างเหตุปัจจัยต่างๆ ในอนาคต ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรในปัจจุบัน และมองไม่เห็นอะไรในอนาคต

กล่าวกันว่าปีใหม่เป็นวันเหมาะจะเริ่มต้นอนาคต

เรามักจะตั้งปณิธานในวันปีใหม่หรือมี New Year Resolution ว่าปีนี้ตั้งใจจะทำอะไร แต่ปีใหม่มีจริงๆ หรือ หรือว่าเป็นแต่เพียงสมมติ

ตอนที่ผมเกิดปีใหม่ปฏิทินของเมืองไทยคือวันที่ 1 เมษายน แต่ปีใหม่จริงๆ ในทัศนะไทยก็คือวันสงกรานต์ ประเทศไทยเริ่มนับวันที่ 1 มกราคมเป็นปีใหม่ในปี 2484 เมื่อเรามาใช้ศักราชหรือปฏิทิน Gregorian Calendar เหมือนกับนานาชาติส่วนใหญ่ ถึงแม้จะยังมีปฏิทินหรือศักราชและศาสนาอื่นอยู่บ้าง ก็ต้องนับว่าปฏิทินหรือศักราชเกรกอเรียนนี้เป็นปฏิทินทางการของโลก กิจกรรมหรือนัดหมายต่างๆ ของเกือบทุกประเทศต้องพากันใช้วันเดือนปีตามปฏิทินนี้ มิฉะนั้นทุกอย่างในโลกคงจะสับสนวุ่นวายกันไปหมด

ท่านผู้อ่านคุ้นกับ 60 นาที 24 ชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน และ 365 วันของปีแบบเกรกอเรียนดีแล้ว ผมขอเล่าเพิ่มแต่เพียงว่า Gregorian แบ่งศักราชเป็น 2 ช่วงคือ BC หรือ Before Christ แปลว่าก่อนพระเยซูเกิด กับ AD หรือ Anno Domini แปลว่าปีที่พระเยซูเกิดและแบ่ง 10 ปีเป็น 1 Decadeหรือ ทศวรรษ 100 ปีเป็น 1 Century หรือ ศตวรรษ และ 1,000 ปีเป็น 1 Millennium หรือสหัสสวรรษ การวางแผนชีวิตและกิจกรรมของมนุษย์ ของสังคม และของประเทศ ไม่ว่าอยู่บนซีกไหนของโลก ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้ปฏิทินที่เริ่มด้วยวันที่ 1 มกราคม นี้ได้เลย

ขณะนี้เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 หรือสหัสสวรรษที่ 3 ผมฉลองวันขึ้นสหัสสวรรษคือวันที่ 31 ธันวาคม 2000 ด้วยการมองดูหอนาฬิกา Big Ben และการนับถอยหลังหรือ เคานต์ดาวน์ที่จัตุรัสPiccadelly จากหน้าต่างอพาร์ตเมนต์เช่าของเรากลางกรุงลอนดอน เป็นภาพและความรู้สึกที่มหัศจรรย์ยิ่ง แต่ก็อดคิดถึงเมืองไทยมิได้ กรุงเทพฯ เคานต์ดาวน์หลังโตเกียวแต่ก่อนลอนดอน ลอนดอนก่อนนิวยอร์ก นิวยอร์กก่อนซานฟรานซิสโก ผมเคยนับถอยหลังมาแล้วทุกแห่ง ทุกแห่งนับถึง 00.00 น.เวลาเดียวกันทั้งสิ้น แต่ในความเป็นจริงนั้นห่างกันหลายชั่วโมงแล้วแต่ที่ตั้งของประเทศ

อังกฤษซึ่งเคยมีสมญาว่าจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่รู้จักตก เพราะมีเมืองขึ้นอยู่ทั่วโลก เป็นผู้ออกกฎหมายในปี 1751 ให้ทุกประเทศในเครือจักรภพรวมทั้งอเมริกาใช้ปฏิทินเกรกอเรียน หลังจากนั้นทั้งโลกก็ค่อยๆ พากันคล้อยตาม

ผมอยากจะเรียนท่านผู้อ่านว่า นี่เป็นประดิษฐกรรมที่มหัศจรรย์ยิ่ง ปราศจากประดิษฐกรรมเรื่องเวลา ความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็จะเกิดขึ้นมิได้เลยความคิดมนุษย์ที่สร้างศาสนา ปรัชญา และวัฒนธรรมทางความคิดและการเมือง เฉกเช่นปฏิทินที่ว่ามานี้เป็นตัวอย่างที่บรรยายความยากไม่ได้ กว่าปฏิทินนี้จะถูกค้นคิดขึ้นมาต้องผ่านการต่อสู้ ทั้งรุกรับและรอคอย ทั้งในแง่ศาสนา ดาราศาสตร์ การเมือง และการเมืองระหว่างประเทศอย่างพิลึกกึกกือ เล่าเป็นเดือนก็ไม่จบ และกว่าปฏิทินนี้จะชนะปฏิทินอื่นๆ ได้ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์พอๆ กัน

ครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสมมติ

และก็เป็นสมมติบนสมมติที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นก็คือเรื่อง เวลา

ใครเคยเห็นเวลาบ้าง รูปร่างหน้าตาของเวลาเป็นอย่างไร สูงต่ำดำขาว อ้วนผอมกลมเหลี่ยม น่ารักน่าชังแบบไหน มีกลิ่น มีรส มีเสียง มีน้ำหนักหรือไม่ บ้านช่องอยู่แห่งหนตำบลใด ใครสามารถจับเวลามาให้ดูหรือขังไว้ได้บ้าง จับนาฬิกาแล้วมาเหมาว่าจับเวลาไม่เอานะ

ผลที่สุดก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะเวลาต่างกับแสงหรือเสียงซึ่งเคลื่อนไหวได้และเป็นพลังงาน แต่เวลาคือความว่างเปล่า ความเงียบเฉย หรือสุญตา สิ่งต่างๆ เกิด เติบโต และแตกดับไปตามวัฏสังสารหรือความหมุนเวียนของสิ่งนั้นๆ ต่างหาก เวลานิ่งเงียบเฉยอยู่

ใครที่ว่าเวลาผ่านไปเหมือนมีปีกบิน ผิดทั้งเพ หรือว่าวัฏสงสารคือกาลเวลา จึงได้กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครเข้าใจไม่มีใครพิสูจน์เรื่องกาลเวลาได้ ผมสงสัยอยู่แต่ก็ค่อนข้างจะเชื่อว่าความคิดทางพุทธเรื่องชาติภพและการเกิดใหม่อาจจะเป็นกุญแจลูกเดียวที่เหลืออยู่ที่อาจช่วยให้มนุษบ์เข้าใจกาลเวลาได้

ดังนั้น ในวาระดิถีปีใหม่นี้ ผมจึงขอพูดอย่างพุทธว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงอย่าตั้งอยู่บนความประมาท อย่ามัวรอดวงดาวหรือฤกษ์ยามอยู่เลย เห็นความชั่วอะไรในตัวเราเอง ในสังคมของเรา ในบ้านเมืองของเรา ก็รีบกำจัดมันเสีย แล้วเราก็จะเป็นสุขทุกเวลา ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม

ปีใหม่หรือไม่ปีใหม่ก็ช่างหัวมัน

สวัสดีปีใหม่สมมติอีกครั้งครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น