ASTVผู้จัดการรายวัน - "เสี่ยขาว" หุ้นส่วนใหญ่ “ซานติก้าผับ” เข้าให้ปากคำตำรวจ ร่ำไห้ขอโทษญาติเหยื่อ ด้านตำรวจจ่อแจ้ง 2 ข้อหา “กระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการ” เชื่อสาเหตุเกิดจาก "เอฟเฟ็กซ์"บนเวที ส่วนศพผู้เสียชีวิตอีก 11 รายยังไม่ทราบชื่อ ญาติเดินทางมารับศพผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 4 ราย พ่อเหยื่อเผยยอมให้แพทย์ถอดเครื่องหายใจ หลังยื้อชีวิต 3 วัน แต่ไม่มีปาฏิหาริย์จึงไม่อยากให้ลูกเป็นเจ้าหญิงนิทรา ฉะยังไม่มีหน่วยงานใดยื่นมืออย่างจริงจัง
เมื่อเวลา 13.45 น.วานนี้ (4 ม.ค.) นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือ “เสี่ยขาว” อายุ 41 ปี เจ้าของสถานบันเทิง “ซานติก้าผับ” ได้เดินทางมาด้วยรถตู้โฟลค สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ษจ 6167 กทม. พร้อมด้วยนายคงศักดิ์ พูไลเจริญ ทนายความ และลูกน้องอีกนับ 10 คนเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ โดยมี พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.สน.ทองหล่อ ร่วมทำการสอบปากคำนายวิสุข ด้วยตนเอง หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ซานติก้าผับ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมากเมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นคืนส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ 2552
ในการสอบปากคำนายวิสุข ได้กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ขอโทษว่า “ผมรู้สึกเสียใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้และต้องขอโทษญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บทุกคน ผมก็เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมก็ยังรู้สึกช็อกและเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล ถึงผมจะเป็นหุ้นส่วนรายหนึ่ง แต่ก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก โดยในวันเกิดเหตุผมอยู่บริเวณด้านหลังร้าน มีพนักงานเดินมาบอกผมว่าเกิดไฟไหม้ตนจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปภายในผับ และได้รับบาดเจ็บเนื่องจากสูดควันไฟเข้าไปจำนวนมาก จากนั้นก็มีผู้นำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์”
***ช่วยศพละ 2 หมื่นบาดเจ็บ 1 หมื่น
ขณะที่นายคงศักดิ์ พูลเจริญ ทนายความ กล่าวว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการของบริษัทกับหุ้นส่วนทั้ง 31 คนจะกลับมารวมหุ้นกันอีกครั้งและได้จัดตั้งวอร์รูมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ โดยเบื้องต้นรวบรวมเงินได้เป็นจำนวน 2 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถจัดตั้งวอร์รูมได้ภายในวันนี้ (5 ม.ค.) ส่วนจะเป็นสถานที่ใดนั้นคงต้องปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ทางบริษัทไวท์แอนด์บราเทอร์ ได้ให้การช่วยเหลือเหยื่อโดยแยกเป็นผู้เสียชีวิตศพละ 20,000 บาท พร้อมพวงหรีดแสดงความเสียใจ ประกอบด้วย 1.น.ส.มณีวรรณ อุบลมณี 2.นายปุณรัตน์ แสนเมืองชิน 3.นายมงคล วันบันเทิง 4.นางมนัญญา บุญสาร 5.นายเสกสรร กิ่งแก้ว 6.นางแพง อัยรา 7.นายสุรพล เมฆไทย 8.นายทรงพล ธาโพธิ์ 9.นางรุ่งนภา ไทยประเสริฐ ส่วนผู้บาดเจ็บรายละ 10,000 บาท ประกอบด้วย 1.น.ส.นันทพันธุ์ เลิศสกุลธรรม 2. น.ส.นภัส ภูมีราม รวม 11 ราย นอกจากนี้ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตวัฒนา และพนักงานสอบสวน ว่า จะสามารถดำเนินการเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพิ่มเติมได้อย่างไรได้บ้าง
**ยอมรับไม่ได้ต่อสัญญาประกันภัย
นายคงศักดิ์ กล่าวถึงกรณีการทำประกันภัยของซานติก้าผับด้วยว่า ไปตามที่มีการนำเสนอข่าวก่อนหน้านี้โดยหมดสัญญาประกันภัยเมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา และไม่ได้ต่อสัญญาประกันภัยเนื่องจากใกล้จะหมดสัญญาเช่าในวันที่ 31 ธันวาคม 2551 อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้รวบรวมเงินจากหุ้นส่วนทั้งหมด 31 คน ได้จำนวน 2 ล้านบาท เพื่อตั้งเป็นกองทุนมอบให้กับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
**จ่อ2ข้อหา"เสี่ยขาว"กระทำการประมาท
ด้าน พล.ต.อ.จงรัก จุทานนท์ รอง ผบ.ตร.เปิดเผยว่าจากการสอบสวนเสี่ยขาว ทางพนักงานสอบสวนจะพิจารณาดำเนินคดีใน 2 ข้อหา คือ ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการ ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ โดยตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อผู้ประกอบการเป็นบริษัทก็จะพิจารณาดำเนินคดีกับกรรมการผู้จัดการ สำหรับบริษัท ไวท์แอนด์บราเทอร์ จำกัด คือ นายสุริยา ฤทธิ์ระบือ ซึ่งจะต้องเรียกตัวมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
ส่วนการพิจารณาดำเนินคดีข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้นทางพนังกานสอบสวนได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ โดยในวันเดียวกันนี้ยังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับนายวิสุข แต่อย่างใด เป็นเพียงการสอบปากคำเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 100 ปากทำให้ทราบสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้แล้ว สำหรับหุ้นส่วนของบริษัทไวท์แอนด์บราเทอร์นั้น ทราบว่าจะทยอยเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนต่อไป
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวถึงสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้หลังจากสอบปากคำนายวิสุขในเบื้องต้นว่า แนวโน้มน่าจะเกิดจากเอฟเฟ็กซ์บนเวที ซึ่งหากผลสอบพบว่ามีผู้ใดที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในร้าน นักดนตรี รวมทั้งลูกค้าที่มาเที่ยวก็จะพิจารณาดำเนินคดีทั้งหมด
**"เสี่ยขาว"เปิดใจช่วงวินาทีเพลิงพิโรธ
ภายหลังการเข้าให้ปากคำเสี่ยขาว ได้เปิดเผยความรู้สึกอีกครั้งว่า ตนเสียใจที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ต้องขอโทษญาติผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย อยากจะช่วยเหลือและช่วยบรรเทาสิ่งที่เกิดขึ้นกับญาติพี่น้องคนเจ็บ ซึ่งตนก็เจ็บปวดพอๆ กันกับญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ขณะนี้พยายามรวบรวมเงินที่มีอยู่ และของหุ้นส่วน ให้ตัวแทนของซานติก้าเป็นผู้ดูแลมอบให้ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ
"ช่วงที่เกิดเหตุ หลังจากผมทราบว่าไฟไหม้ได้วิ่งเข้าไปภายในร้านก็เห็นกลุ่มควันจำนวนมาก จึงนำถังดับเพลิงที่อยู่ด้านข้างเข้าไปฉีดสกัด แต่ไม่สามารถต้านทานได้ เพราะมีกลุ่มควันจำนวนมาก จากนั้นจึงวิ่งออกมาด้านนอก เอาตัวรอด ก่อนจะโทรแจ้งดับเพลิง ขณะนั้น ผมอยู่ด้านหน้าทางเข้า เห็นไฟลุกโหม นักเที่ยวเบียดเสียดกันหนีตายเอาตัวรอด บางคนช่วยกันดึงมือ ผมก็วิ่งเข้าไปช่วยเท่าที่ทำได้ จังหวะนั้น มีคนตะโกนบอกว่า มีคนติดในห้องน้ำ ผมจึงตั้งสติ นึกถึงแปลนของร้าน เพื่อที่จะช่วยผู้ที่ติดอยู่ข้างในออกมาเป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเดินทางมาถึงพอดี จึงสามารถเข้าไปช่วยออกมาได้ทัน ผมในนามหุ้นส่วน รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง โดยจะช่วยบรรเทา ญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างดีที่สุด"
หุ้นส่วนใหญ่ซานติก้าผับรายนี้ กล่าวต่อว่า ส่วนของเอฟเฟ็กซ์ ที่มีการจัดขึ้นในวันเกิดเหตุนั้น ทางร้านเคยจัดกิจกรรมในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว และไม่เคยเกิดผิดพลาด โดยทีมงานที่ดูแล เป็นทีมงานด้านมาเก็ตติ้งเป็นผู้รับผิดชอบ
อย่างไรก็ตามทางนายวิสุข และทนายความได้ปรึกษากับทางพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับการจัดตั้งวอร์รูม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่เสียชีวิตและบาดเจ็บแล้ว โดยจะใช้ห้องที่ใช้สอบปากคำที่ สน.ทองหล่อ เป็นห้องพบญาติเหยื่อ ซึ่งจะมีการจ่ายค่าชดเชย และพูดคุยขอโทษกับบรรดาญาติพี่น้องของเหยื่อตั้งแต่เวลา 11.00 น. ในวันนี้ (5 ม.ค.) เป็นต้นไป ทั้งนี้ หลังการให้ปากคำกับตำรวจเสร็จสิ้น นายวิสุข ได้เดินทางไปยังซานติก้าผับ โดยนิมนต์พระสงฆ์ 18 รูป สวดพุทธมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์
**เร่งตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์11ศพนิรนาม
ก่อนหน้านี้ วันเดียวกันในเวลา 09.00 น. พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.สน.ทองหล่อ ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ 4 นาย ร่วมกับเจ้าหน้าที่เทศกิจเขตวัฒนา เฝ้าดูแลสถานที่เกิดเหตุเพลิงใหม่ “ซานติก้าผับ” เพื่อไม่ให้บุคคลใดเข้าไปในที่เกิดเหตุเกรงว่าจะทำลายหลักฐานในที่เกิดเหตุ โดยมีประชาชนหลายคนเดินทางเข้าไปบริเวณลานจอดรถหน้าสถานบันเทิง พร้อมทั้งนำโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปไว้ดู นอกจากนี้ ยังมีญาติของผู้เสียชีวิตหลายรายทยอยกันนำอาหาร น้ำดื่ม และดอกไม้ พร้อมจุดธูปเทียน เซ่นไหว้วิญญาณผู้เสียชีวิตญาติ ด้วยการแต่งกายชุดขาว และดำเป็นการไว้อาลัย ซึ่งต่างร่ำไห้ถึงผู้ที่จากไปด้วยความเศร้าสลด
เวลา 12.00 น.ที่ สน.ทองหล่อ พ.ต.อ.นิธิ บิณฑุวงศ์ ผกก.กลุ่มงานพิสูจน์เอกลักษณ์และการส่งกลับ สนว.ตร.ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ไม่มีการประชุม แต่ได้เร่งทำการตรวจพิสูจน์ทั้งดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือ ประวัติการทำฟันและอื่นๆ โดยขณะนี้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจำนวน 63 คน โดยยังมีศพที่ตกค้างและไม่ทราบว่าเป็นของใครทั้งสิ้น 11 ศพ โดยอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ 6 ศพและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 5 ศพ ซึ่งศพที่ตกค้าง เนื่องจากถูกไฟไหม้เกรียมอย่างมาก แม้ญาติจะมาดูในระยะใกล้ห่างกันแต่ 1 ฟุตก็ไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้
“ถึงตรงนี้มีญาติของผู้ที่คาดว่าจะเสียชีวิต นำเอกสาร หลักฐานต่างๆ กว่า 20 คน เข้ามาพบเจ้าหน้าที่ ซึ่งในส่วนนี้เจ้าหน้าที่ก็ได้เร่งดำเนินการอยู่และจะทำให้เสร็จเร็วที่สุด แต่บางคนอาจจะไม่ทราบว่าเป็นใครเนื่องจากญาติอาจอยู่ต่างจังหวัด และไม่ทราบว่ามาเที่ยวที่นี่ อาจมีการแจ้งความตามพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากหายไป จึงไม่ทราบเรื่อง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจพิสูจน์ศพนิรนามที่เหลือทั้งหมดให้ทราบว่าเป็นใคร จึงจะถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจ” พ.ต.อ.นิธิ กล่าว
**ญาติรับศพเพิ่มอีก4ราย!
ส่วนบรรยากาศที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลรามาธิบดี เต็มไปด้วยความโศกเศร้า บรรดาญาติของผู้เสียชีวิตจำนวน 4 รายที่ถูกส่งตัวมาจากศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ประกอบด้วย 1.น.ส.วิราวรรณ ถนอมปัญญาทรัพย์ อายุ 30 ปี 2.นายยุทธนา สินไพบูลย์ผล อายุ 26 ปี 3.นายทรงพล โปธา (ไม่ทราบอายุ) และ น.ส.วิระฉัตร เทียนทอง อายุ 24 ปี ต่างพากันเดินทางมารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลจนแน่นตึกนิติเวช รพ.รามาธิบดี ทำให้ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้วทั้งหมด 62 ราย
ขณะที่นายศักดิ์สิทธิ์ เทียนทอง อายุ 54 ปี นักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้เดินทางมาพร้อมกับนางธัญญาลักษณ์ เทียนทอง ภรรยา และ น.ส.เกศสุรีย์ เทียนทอง บุตรสาวคนโตเพื่อมารับศพ น.ส.วิระฉัตร ซึ่งเป็นบุตรสาวคนเล็ก โดยมีคณาจารย์ และเพื่อนๆ ที่เคยเรียนด้วยกันจากภาควิชาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา มาช่วยกันแต่งหน้าศพเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
นายศักดิ์สิทธิ์ กล่าวว่า ลูกตนเป็นศิลปินชอบถ่ายภาพมาก ทำงานอยู่เบื้องหลังวงการบันเทิงมาตั้งแต่สมัยเรียนยังไม่จบ เคยเดินทางไปออกค่ายช่วยเหลือสังคมตามโครงการของรัฐบาลหลายครั้ง ซึ่งในวันเกิดเหตุก็ได้เดินทางไปใช้กล้องถ่ายรูปเก็บบันทึกภาพการตกแต่งร้านซานติก้าผับ ก่อนเพลิงไหม้ เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการทำงานในอนาคตด้วยไม่คิดว่าจะต้องมาเสียลูกสาวซึ่งกำลังมีอนาคตที่สดใสไปอย่างนี้
นายศักดิ์สิทธิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อวานนี้ตนได้ปรึกษากับแพทย์แล้วว่าหากใช้เครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตลูกสาวต่อไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ เพราะสมองตายไปหมดแล้ว หากมีปาฏิหาริย์ที่ทำให้รอดมาได้ ก็จะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ซึ่งตนไม่อยากให้ลูกทรมานต่อไปอีก จึงตัดสินใจให้แพทย์เอาเครื่องช่วยหายใจออกหลังจากใช้เวลายื้อชีวิตอยู่นาน 3 วัน เบื้องต้นต้องออกค่ารักษาพยาบาลไปก่อนจำนวน 100,000 บาทและต้องเซ็นชื่อยอมรับสภาพหนี้จำนวน 390,000 บาท เอาไว้กับฝ่ายการเงินของศูนย์การแพทย์รพ.กรุงเทพ จึงจะสามารถนำศพลูกสาว ออกมาผ่าชันสูตรได้
“ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสถานบันเทิงไม่ยอมต่อประกันภัย ผมอยากให้ภาครัฐบาลและทางตำรวจช่วยติดตามคดีนี้ให้รวดเร็วที่สุดเพื่อหาคนมารับผิดชอบและอยากให้สถานบันเทิงทุกแห่งวางมาตรการความปลอดภัยให้ดีกว่านี้ ส่วนในตอนนี้ นอกจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่ยื่นมือมาช่วยค่าทำศพรายละ 5,000 บาทแล้ว” นายศักดิ์สิทธิ์ กล่าว
นายศักดิ์สิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า “ผมก็ยังไม่เห็นหน่วยงานใดจะเข้ามาให้การช่วยเหลือบ้างเลย ซึ่งหลังจากรับศพลูกสาวออกไปแล้ว ผมก็จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด ณ บ้านร่องกาศ หมู่ 2 อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่เป็นเวลา 7 วัน ก่อนเคลื่อนย้ายไปเผาที่ฌาปนกิจสถานบ้านร่องกาศต่อไป”
**สธ.ส่งทีมจิตแพทย์เยียวยา
นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศูนย์นเรนทร) กล่าวถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เพลิงไหม้สถานบันเทิงซานติก้าผับเมื่อคืนวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีมจิตแพทย์ เข้ามาให้การเยียวยาสภาพจิตใจกับผู้ประสบเหตุครั้งนี้ โดยจะเริ่มเยียวยาจิตใจญาติผู้ประสบเหตุก่อน
สำหรับผู้บาดเจ็บจนถึงวานนี้ (4 ม.ค.) มีผู้ที่ยังอยู่โรงพยาบาล 73 คนเป็นผู้ป่วยหนักในห้องไอซียู 32 ราย โดยชาวต่างชาติที่อยู่ในโรงพยาบาลมี 18 ราย อาการสาหัสอยู่ไอซียู 18 ราย
ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตล่าสุด 62 รายโดยผู้ที่อยู่ในห้องไอซียูหรือผู้ที่ถูกเพลิงไหม้เกินร้อยละ 20 จนมีอาการสาหัส ต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด โดยนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ โรงพยาบาลคามิลเลียน และโรงพยาบาลรามคำแหง ในเวลา 14.00 น.ตามลำดับเพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป
สำหรับการตรวจสอบสิทธิของผู้บาดเจ็บทั้งหมด พบว่า มีผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) 13 ราย บัตรประกันสังคม 20 ราย ยังไม่ทราบสิทธิรักษาพยาบาลอีก 20 ราย ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มที่มีฐานะและได้นำผู้บาดเจ็บไปรับการรักษาเอง
**สธ.ยันสปสช.ดูแลทุกคน
ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำกระเช้าของขวัญเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุอัคคีภัยสถานบันเทิงซานติก้าผับ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ โรงพยาบาลคามิลเลี่ยน และโรงพยาบาลรามคำแหงโดยยืนยันว่า ผู้บาดเจ็บทุกคนที่ยังไม่ทราบสิทธิในการเบิกค่ารักษาพยาบาล จะได้รับการดูแลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำหรับโรงพยาบาลเอกชน ได้ลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้มากเป็นพิเศษ ดังนั้น จะไม่มีปัญหา แม้ผู้บาดเจ็บที่ไม่มีรายได้ สปสช. ก็จะเข้าไปดูแลให้ในส่วนของผู้ใช้สิทธิประกันสังคม กระทรวงสาธารณสุขจะได้หารือกับกระทรวงแรงงาน ว่ามีส่วนใดที่ไม่ครอบคลุม และต้องการให้ สปสช.เข้าไปช่วยเหลือหรือไม่
สำหรับการเยียวยาผู้บาดเจ็บที่อาจต้องพิการในภายหลัง ผู้ประกอบการจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ทั้งนี้ ผู้บาดเจ็บที่ยังรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพมี 14 คน โรงพยาบาลคามิลเลี่ยน 2 คน และโรงพยาบาลรามคำแหง 1 คน นอกจากนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บกระจายตามโรงพยาบาลต่าง ๆ อีกหลายแห่ง สำหรับผู้เสียชีวิตถึงขณะนี้ ทั้งหมด 62 ราย
ทางด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้เรียกประชุมดีเอสไอ และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในวันนี้ (5 ม.ค.) เวลา 09.30 น. เพื่อหารือแนวทางให้การช่วยเหลือเหยื่อจากเหตุการณ์นี้ โดยอาจมีการพิจารณาขออนุมัติให้เป็นคดีพิเศษ ซึ่งจะให้ดีเอสไอส่งทีมลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
**เหยื่อซานดิก้ารพ.จุฬาฯกลับบ้าน9ราย
ขณะที่ รศ.นพ.สมรัตน์ จารุลักษณานันท์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฝ่ายวิชาการ แจ้งว่า ผู้ป่วยที่มารักษาตัว ที่ รพ.จุฬาฯ ทั้งหมด 15 ราย แพทย์ให้กลับบ้านได้แล้ว 9 ราย ยังคงนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีก 6 ราย โดยผู้ป่วยชาวญี่ปุ่นยังมีปัญหาระบบหายใจ ได้ช่วยเหลือด้วยเครื่องช่วยหายใจความถี่สูง และฟอกเลือดช่วยระบบไต ขณะนี้มีเพียงปัญหาระบบเลือด แพทย์ได้เฝ้าระวังดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องแยกของผู้ป่วยวิกฤติ ตึกสิรินธร
ส่วนผู้ป่วยชายไทยอีก 1 ราย ได้รับการถอดท่อหายใจและย้ายออกจากห้องไอซียูแล้ว สำหรับผู้ป่วยในหน่วยบาดแผลไฟไหม้อีก 2 ราย หายใจดีขึ้นแต่ยังคงใส่ท่อหายใจอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. รศ.นพ.รัฐพลี ภาคอรรถ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้านผู้ป่วยวิกฤติ ได้แจ้งว่า ทางโรงพยาบาลได้รับผู้ป่วยชายชาวไต้หวัน ซึ่งส่งต่อมาจากโรงพยาบาลปิยะเวท เข้ารับรักษาที่ห้องไอซียู ศัลยกรรม ตึกสิรินธร มีบาดแผลจากไฟไหม้บริเวณใบหน้า แขน ขา ประมาณร้อยละ 65 พักรักษาด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจโดยมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน รศ.พญ.นันทนา ศิริทรัพย์ หัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มีญาติมารับศพผู้เสียชีวิตที่พิสูจน์บุคคลเสร็จครบทั้ง 25 รายแล้ว ในส่วนผู้เสียชีวิตที่เป็นหญิงไม่ทราบชื่อ-สกุล จำนวน 5 ราย จากการตรวจสอบสารพันธุกรรมร่วมกับสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการเทียบข้อมูลระหว่างศพผู้เสียชีวิตกับญาติที่มาแจ้งความไว้ที่ สน.ทองหล่อ สามารถยืนยันได้ทั้ง 5 ราย ดังนี้ 1.น.ส.ภัชรีย์ คุ้มผล 2.น.ส.วิไลรัตน์ ยงค์รัมย์ 3.น.ส.อนงรักษณ์ อาจนนลา 4.น.ส.พรพิมล หลำจำนงค์ และ 5.น.ส.พิมพ์ฤดี อินสุข
เมื่อเวลา 13.45 น.วานนี้ (4 ม.ค.) นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือ “เสี่ยขาว” อายุ 41 ปี เจ้าของสถานบันเทิง “ซานติก้าผับ” ได้เดินทางมาด้วยรถตู้โฟลค สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ษจ 6167 กทม. พร้อมด้วยนายคงศักดิ์ พูไลเจริญ ทนายความ และลูกน้องอีกนับ 10 คนเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ โดยมี พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.สน.ทองหล่อ ร่วมทำการสอบปากคำนายวิสุข ด้วยตนเอง หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ซานติก้าผับ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมากเมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นคืนส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ 2552
ในการสอบปากคำนายวิสุข ได้กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ขอโทษว่า “ผมรู้สึกเสียใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้และต้องขอโทษญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บทุกคน ผมก็เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมก็ยังรู้สึกช็อกและเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล ถึงผมจะเป็นหุ้นส่วนรายหนึ่ง แต่ก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก โดยในวันเกิดเหตุผมอยู่บริเวณด้านหลังร้าน มีพนักงานเดินมาบอกผมว่าเกิดไฟไหม้ตนจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปภายในผับ และได้รับบาดเจ็บเนื่องจากสูดควันไฟเข้าไปจำนวนมาก จากนั้นก็มีผู้นำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์”
***ช่วยศพละ 2 หมื่นบาดเจ็บ 1 หมื่น
ขณะที่นายคงศักดิ์ พูลเจริญ ทนายความ กล่าวว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการของบริษัทกับหุ้นส่วนทั้ง 31 คนจะกลับมารวมหุ้นกันอีกครั้งและได้จัดตั้งวอร์รูมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ โดยเบื้องต้นรวบรวมเงินได้เป็นจำนวน 2 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถจัดตั้งวอร์รูมได้ภายในวันนี้ (5 ม.ค.) ส่วนจะเป็นสถานที่ใดนั้นคงต้องปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ทางบริษัทไวท์แอนด์บราเทอร์ ได้ให้การช่วยเหลือเหยื่อโดยแยกเป็นผู้เสียชีวิตศพละ 20,000 บาท พร้อมพวงหรีดแสดงความเสียใจ ประกอบด้วย 1.น.ส.มณีวรรณ อุบลมณี 2.นายปุณรัตน์ แสนเมืองชิน 3.นายมงคล วันบันเทิง 4.นางมนัญญา บุญสาร 5.นายเสกสรร กิ่งแก้ว 6.นางแพง อัยรา 7.นายสุรพล เมฆไทย 8.นายทรงพล ธาโพธิ์ 9.นางรุ่งนภา ไทยประเสริฐ ส่วนผู้บาดเจ็บรายละ 10,000 บาท ประกอบด้วย 1.น.ส.นันทพันธุ์ เลิศสกุลธรรม 2. น.ส.นภัส ภูมีราม รวม 11 ราย นอกจากนี้ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตวัฒนา และพนักงานสอบสวน ว่า จะสามารถดำเนินการเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพิ่มเติมได้อย่างไรได้บ้าง
**ยอมรับไม่ได้ต่อสัญญาประกันภัย
นายคงศักดิ์ กล่าวถึงกรณีการทำประกันภัยของซานติก้าผับด้วยว่า ไปตามที่มีการนำเสนอข่าวก่อนหน้านี้โดยหมดสัญญาประกันภัยเมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา และไม่ได้ต่อสัญญาประกันภัยเนื่องจากใกล้จะหมดสัญญาเช่าในวันที่ 31 ธันวาคม 2551 อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้รวบรวมเงินจากหุ้นส่วนทั้งหมด 31 คน ได้จำนวน 2 ล้านบาท เพื่อตั้งเป็นกองทุนมอบให้กับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
**จ่อ2ข้อหา"เสี่ยขาว"กระทำการประมาท
ด้าน พล.ต.อ.จงรัก จุทานนท์ รอง ผบ.ตร.เปิดเผยว่าจากการสอบสวนเสี่ยขาว ทางพนักงานสอบสวนจะพิจารณาดำเนินคดีใน 2 ข้อหา คือ ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการ ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ โดยตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อผู้ประกอบการเป็นบริษัทก็จะพิจารณาดำเนินคดีกับกรรมการผู้จัดการ สำหรับบริษัท ไวท์แอนด์บราเทอร์ จำกัด คือ นายสุริยา ฤทธิ์ระบือ ซึ่งจะต้องเรียกตัวมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
ส่วนการพิจารณาดำเนินคดีข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้นทางพนังกานสอบสวนได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ โดยในวันเดียวกันนี้ยังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับนายวิสุข แต่อย่างใด เป็นเพียงการสอบปากคำเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 100 ปากทำให้ทราบสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้แล้ว สำหรับหุ้นส่วนของบริษัทไวท์แอนด์บราเทอร์นั้น ทราบว่าจะทยอยเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนต่อไป
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวถึงสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้หลังจากสอบปากคำนายวิสุขในเบื้องต้นว่า แนวโน้มน่าจะเกิดจากเอฟเฟ็กซ์บนเวที ซึ่งหากผลสอบพบว่ามีผู้ใดที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในร้าน นักดนตรี รวมทั้งลูกค้าที่มาเที่ยวก็จะพิจารณาดำเนินคดีทั้งหมด
**"เสี่ยขาว"เปิดใจช่วงวินาทีเพลิงพิโรธ
ภายหลังการเข้าให้ปากคำเสี่ยขาว ได้เปิดเผยความรู้สึกอีกครั้งว่า ตนเสียใจที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ต้องขอโทษญาติผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บด้วย อยากจะช่วยเหลือและช่วยบรรเทาสิ่งที่เกิดขึ้นกับญาติพี่น้องคนเจ็บ ซึ่งตนก็เจ็บปวดพอๆ กันกับญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ขณะนี้พยายามรวบรวมเงินที่มีอยู่ และของหุ้นส่วน ให้ตัวแทนของซานติก้าเป็นผู้ดูแลมอบให้ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ
"ช่วงที่เกิดเหตุ หลังจากผมทราบว่าไฟไหม้ได้วิ่งเข้าไปภายในร้านก็เห็นกลุ่มควันจำนวนมาก จึงนำถังดับเพลิงที่อยู่ด้านข้างเข้าไปฉีดสกัด แต่ไม่สามารถต้านทานได้ เพราะมีกลุ่มควันจำนวนมาก จากนั้นจึงวิ่งออกมาด้านนอก เอาตัวรอด ก่อนจะโทรแจ้งดับเพลิง ขณะนั้น ผมอยู่ด้านหน้าทางเข้า เห็นไฟลุกโหม นักเที่ยวเบียดเสียดกันหนีตายเอาตัวรอด บางคนช่วยกันดึงมือ ผมก็วิ่งเข้าไปช่วยเท่าที่ทำได้ จังหวะนั้น มีคนตะโกนบอกว่า มีคนติดในห้องน้ำ ผมจึงตั้งสติ นึกถึงแปลนของร้าน เพื่อที่จะช่วยผู้ที่ติดอยู่ข้างในออกมาเป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเดินทางมาถึงพอดี จึงสามารถเข้าไปช่วยออกมาได้ทัน ผมในนามหุ้นส่วน รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง โดยจะช่วยบรรเทา ญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างดีที่สุด"
หุ้นส่วนใหญ่ซานติก้าผับรายนี้ กล่าวต่อว่า ส่วนของเอฟเฟ็กซ์ ที่มีการจัดขึ้นในวันเกิดเหตุนั้น ทางร้านเคยจัดกิจกรรมในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว และไม่เคยเกิดผิดพลาด โดยทีมงานที่ดูแล เป็นทีมงานด้านมาเก็ตติ้งเป็นผู้รับผิดชอบ
อย่างไรก็ตามทางนายวิสุข และทนายความได้ปรึกษากับทางพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับการจัดตั้งวอร์รูม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่เสียชีวิตและบาดเจ็บแล้ว โดยจะใช้ห้องที่ใช้สอบปากคำที่ สน.ทองหล่อ เป็นห้องพบญาติเหยื่อ ซึ่งจะมีการจ่ายค่าชดเชย และพูดคุยขอโทษกับบรรดาญาติพี่น้องของเหยื่อตั้งแต่เวลา 11.00 น. ในวันนี้ (5 ม.ค.) เป็นต้นไป ทั้งนี้ หลังการให้ปากคำกับตำรวจเสร็จสิ้น นายวิสุข ได้เดินทางไปยังซานติก้าผับ โดยนิมนต์พระสงฆ์ 18 รูป สวดพุทธมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์
**เร่งตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์11ศพนิรนาม
ก่อนหน้านี้ วันเดียวกันในเวลา 09.00 น. พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.สน.ทองหล่อ ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ 4 นาย ร่วมกับเจ้าหน้าที่เทศกิจเขตวัฒนา เฝ้าดูแลสถานที่เกิดเหตุเพลิงใหม่ “ซานติก้าผับ” เพื่อไม่ให้บุคคลใดเข้าไปในที่เกิดเหตุเกรงว่าจะทำลายหลักฐานในที่เกิดเหตุ โดยมีประชาชนหลายคนเดินทางเข้าไปบริเวณลานจอดรถหน้าสถานบันเทิง พร้อมทั้งนำโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปไว้ดู นอกจากนี้ ยังมีญาติของผู้เสียชีวิตหลายรายทยอยกันนำอาหาร น้ำดื่ม และดอกไม้ พร้อมจุดธูปเทียน เซ่นไหว้วิญญาณผู้เสียชีวิตญาติ ด้วยการแต่งกายชุดขาว และดำเป็นการไว้อาลัย ซึ่งต่างร่ำไห้ถึงผู้ที่จากไปด้วยความเศร้าสลด
เวลา 12.00 น.ที่ สน.ทองหล่อ พ.ต.อ.นิธิ บิณฑุวงศ์ ผกก.กลุ่มงานพิสูจน์เอกลักษณ์และการส่งกลับ สนว.ตร.ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ไม่มีการประชุม แต่ได้เร่งทำการตรวจพิสูจน์ทั้งดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือ ประวัติการทำฟันและอื่นๆ โดยขณะนี้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจำนวน 63 คน โดยยังมีศพที่ตกค้างและไม่ทราบว่าเป็นของใครทั้งสิ้น 11 ศพ โดยอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ 6 ศพและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 5 ศพ ซึ่งศพที่ตกค้าง เนื่องจากถูกไฟไหม้เกรียมอย่างมาก แม้ญาติจะมาดูในระยะใกล้ห่างกันแต่ 1 ฟุตก็ไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้
“ถึงตรงนี้มีญาติของผู้ที่คาดว่าจะเสียชีวิต นำเอกสาร หลักฐานต่างๆ กว่า 20 คน เข้ามาพบเจ้าหน้าที่ ซึ่งในส่วนนี้เจ้าหน้าที่ก็ได้เร่งดำเนินการอยู่และจะทำให้เสร็จเร็วที่สุด แต่บางคนอาจจะไม่ทราบว่าเป็นใครเนื่องจากญาติอาจอยู่ต่างจังหวัด และไม่ทราบว่ามาเที่ยวที่นี่ อาจมีการแจ้งความตามพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากหายไป จึงไม่ทราบเรื่อง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจพิสูจน์ศพนิรนามที่เหลือทั้งหมดให้ทราบว่าเป็นใคร จึงจะถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจ” พ.ต.อ.นิธิ กล่าว
**ญาติรับศพเพิ่มอีก4ราย!
ส่วนบรรยากาศที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลรามาธิบดี เต็มไปด้วยความโศกเศร้า บรรดาญาติของผู้เสียชีวิตจำนวน 4 รายที่ถูกส่งตัวมาจากศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ประกอบด้วย 1.น.ส.วิราวรรณ ถนอมปัญญาทรัพย์ อายุ 30 ปี 2.นายยุทธนา สินไพบูลย์ผล อายุ 26 ปี 3.นายทรงพล โปธา (ไม่ทราบอายุ) และ น.ส.วิระฉัตร เทียนทอง อายุ 24 ปี ต่างพากันเดินทางมารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลจนแน่นตึกนิติเวช รพ.รามาธิบดี ทำให้ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้วทั้งหมด 62 ราย
ขณะที่นายศักดิ์สิทธิ์ เทียนทอง อายุ 54 ปี นักวิชาการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้เดินทางมาพร้อมกับนางธัญญาลักษณ์ เทียนทอง ภรรยา และ น.ส.เกศสุรีย์ เทียนทอง บุตรสาวคนโตเพื่อมารับศพ น.ส.วิระฉัตร ซึ่งเป็นบุตรสาวคนเล็ก โดยมีคณาจารย์ และเพื่อนๆ ที่เคยเรียนด้วยกันจากภาควิชาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา มาช่วยกันแต่งหน้าศพเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
นายศักดิ์สิทธิ์ กล่าวว่า ลูกตนเป็นศิลปินชอบถ่ายภาพมาก ทำงานอยู่เบื้องหลังวงการบันเทิงมาตั้งแต่สมัยเรียนยังไม่จบ เคยเดินทางไปออกค่ายช่วยเหลือสังคมตามโครงการของรัฐบาลหลายครั้ง ซึ่งในวันเกิดเหตุก็ได้เดินทางไปใช้กล้องถ่ายรูปเก็บบันทึกภาพการตกแต่งร้านซานติก้าผับ ก่อนเพลิงไหม้ เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการทำงานในอนาคตด้วยไม่คิดว่าจะต้องมาเสียลูกสาวซึ่งกำลังมีอนาคตที่สดใสไปอย่างนี้
นายศักดิ์สิทธิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อวานนี้ตนได้ปรึกษากับแพทย์แล้วว่าหากใช้เครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตลูกสาวต่อไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ เพราะสมองตายไปหมดแล้ว หากมีปาฏิหาริย์ที่ทำให้รอดมาได้ ก็จะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ซึ่งตนไม่อยากให้ลูกทรมานต่อไปอีก จึงตัดสินใจให้แพทย์เอาเครื่องช่วยหายใจออกหลังจากใช้เวลายื้อชีวิตอยู่นาน 3 วัน เบื้องต้นต้องออกค่ารักษาพยาบาลไปก่อนจำนวน 100,000 บาทและต้องเซ็นชื่อยอมรับสภาพหนี้จำนวน 390,000 บาท เอาไว้กับฝ่ายการเงินของศูนย์การแพทย์รพ.กรุงเทพ จึงจะสามารถนำศพลูกสาว ออกมาผ่าชันสูตรได้
“ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสถานบันเทิงไม่ยอมต่อประกันภัย ผมอยากให้ภาครัฐบาลและทางตำรวจช่วยติดตามคดีนี้ให้รวดเร็วที่สุดเพื่อหาคนมารับผิดชอบและอยากให้สถานบันเทิงทุกแห่งวางมาตรการความปลอดภัยให้ดีกว่านี้ ส่วนในตอนนี้ นอกจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่ยื่นมือมาช่วยค่าทำศพรายละ 5,000 บาทแล้ว” นายศักดิ์สิทธิ์ กล่าว
นายศักดิ์สิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า “ผมก็ยังไม่เห็นหน่วยงานใดจะเข้ามาให้การช่วยเหลือบ้างเลย ซึ่งหลังจากรับศพลูกสาวออกไปแล้ว ผมก็จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด ณ บ้านร่องกาศ หมู่ 2 อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่เป็นเวลา 7 วัน ก่อนเคลื่อนย้ายไปเผาที่ฌาปนกิจสถานบ้านร่องกาศต่อไป”
**สธ.ส่งทีมจิตแพทย์เยียวยา
นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศูนย์นเรนทร) กล่าวถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เพลิงไหม้สถานบันเทิงซานติก้าผับเมื่อคืนวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีมจิตแพทย์ เข้ามาให้การเยียวยาสภาพจิตใจกับผู้ประสบเหตุครั้งนี้ โดยจะเริ่มเยียวยาจิตใจญาติผู้ประสบเหตุก่อน
สำหรับผู้บาดเจ็บจนถึงวานนี้ (4 ม.ค.) มีผู้ที่ยังอยู่โรงพยาบาล 73 คนเป็นผู้ป่วยหนักในห้องไอซียู 32 ราย โดยชาวต่างชาติที่อยู่ในโรงพยาบาลมี 18 ราย อาการสาหัสอยู่ไอซียู 18 ราย
ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตล่าสุด 62 รายโดยผู้ที่อยู่ในห้องไอซียูหรือผู้ที่ถูกเพลิงไหม้เกินร้อยละ 20 จนมีอาการสาหัส ต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด โดยนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ โรงพยาบาลคามิลเลียน และโรงพยาบาลรามคำแหง ในเวลา 14.00 น.ตามลำดับเพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป
สำหรับการตรวจสอบสิทธิของผู้บาดเจ็บทั้งหมด พบว่า มีผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) 13 ราย บัตรประกันสังคม 20 ราย ยังไม่ทราบสิทธิรักษาพยาบาลอีก 20 ราย ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มที่มีฐานะและได้นำผู้บาดเจ็บไปรับการรักษาเอง
**สธ.ยันสปสช.ดูแลทุกคน
ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำกระเช้าของขวัญเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุอัคคีภัยสถานบันเทิงซานติก้าผับ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ โรงพยาบาลคามิลเลี่ยน และโรงพยาบาลรามคำแหงโดยยืนยันว่า ผู้บาดเจ็บทุกคนที่ยังไม่ทราบสิทธิในการเบิกค่ารักษาพยาบาล จะได้รับการดูแลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำหรับโรงพยาบาลเอกชน ได้ลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้มากเป็นพิเศษ ดังนั้น จะไม่มีปัญหา แม้ผู้บาดเจ็บที่ไม่มีรายได้ สปสช. ก็จะเข้าไปดูแลให้ในส่วนของผู้ใช้สิทธิประกันสังคม กระทรวงสาธารณสุขจะได้หารือกับกระทรวงแรงงาน ว่ามีส่วนใดที่ไม่ครอบคลุม และต้องการให้ สปสช.เข้าไปช่วยเหลือหรือไม่
สำหรับการเยียวยาผู้บาดเจ็บที่อาจต้องพิการในภายหลัง ผู้ประกอบการจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ทั้งนี้ ผู้บาดเจ็บที่ยังรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพมี 14 คน โรงพยาบาลคามิลเลี่ยน 2 คน และโรงพยาบาลรามคำแหง 1 คน นอกจากนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บกระจายตามโรงพยาบาลต่าง ๆ อีกหลายแห่ง สำหรับผู้เสียชีวิตถึงขณะนี้ ทั้งหมด 62 ราย
ทางด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้เรียกประชุมดีเอสไอ และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในวันนี้ (5 ม.ค.) เวลา 09.30 น. เพื่อหารือแนวทางให้การช่วยเหลือเหยื่อจากเหตุการณ์นี้ โดยอาจมีการพิจารณาขออนุมัติให้เป็นคดีพิเศษ ซึ่งจะให้ดีเอสไอส่งทีมลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
**เหยื่อซานดิก้ารพ.จุฬาฯกลับบ้าน9ราย
ขณะที่ รศ.นพ.สมรัตน์ จารุลักษณานันท์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฝ่ายวิชาการ แจ้งว่า ผู้ป่วยที่มารักษาตัว ที่ รพ.จุฬาฯ ทั้งหมด 15 ราย แพทย์ให้กลับบ้านได้แล้ว 9 ราย ยังคงนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีก 6 ราย โดยผู้ป่วยชาวญี่ปุ่นยังมีปัญหาระบบหายใจ ได้ช่วยเหลือด้วยเครื่องช่วยหายใจความถี่สูง และฟอกเลือดช่วยระบบไต ขณะนี้มีเพียงปัญหาระบบเลือด แพทย์ได้เฝ้าระวังดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องแยกของผู้ป่วยวิกฤติ ตึกสิรินธร
ส่วนผู้ป่วยชายไทยอีก 1 ราย ได้รับการถอดท่อหายใจและย้ายออกจากห้องไอซียูแล้ว สำหรับผู้ป่วยในหน่วยบาดแผลไฟไหม้อีก 2 ราย หายใจดีขึ้นแต่ยังคงใส่ท่อหายใจอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. รศ.นพ.รัฐพลี ภาคอรรถ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้านผู้ป่วยวิกฤติ ได้แจ้งว่า ทางโรงพยาบาลได้รับผู้ป่วยชายชาวไต้หวัน ซึ่งส่งต่อมาจากโรงพยาบาลปิยะเวท เข้ารับรักษาที่ห้องไอซียู ศัลยกรรม ตึกสิรินธร มีบาดแผลจากไฟไหม้บริเวณใบหน้า แขน ขา ประมาณร้อยละ 65 พักรักษาด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจโดยมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน รศ.พญ.นันทนา ศิริทรัพย์ หัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มีญาติมารับศพผู้เสียชีวิตที่พิสูจน์บุคคลเสร็จครบทั้ง 25 รายแล้ว ในส่วนผู้เสียชีวิตที่เป็นหญิงไม่ทราบชื่อ-สกุล จำนวน 5 ราย จากการตรวจสอบสารพันธุกรรมร่วมกับสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการเทียบข้อมูลระหว่างศพผู้เสียชีวิตกับญาติที่มาแจ้งความไว้ที่ สน.ทองหล่อ สามารถยืนยันได้ทั้ง 5 ราย ดังนี้ 1.น.ส.ภัชรีย์ คุ้มผล 2.น.ส.วิไลรัตน์ ยงค์รัมย์ 3.น.ส.อนงรักษณ์ อาจนนลา 4.น.ส.พรพิมล หลำจำนงค์ และ 5.น.ส.พิมพ์ฤดี อินสุข