xs
xsm
sm
md
lg

2552 ปีทองของผู้บริโภคน้ำมันจี้รัฐเร่งปรับโครงสร้างพลังงาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- ปี 2552 นับเป็นปีทองของผู้บริโภคน้ำมันในรอบ 4-5 ปีคาดน้ำมันดิบเฉลี่ย 50 เหรียญต่อบาร์เรลส่งผลให้ขายปลีกของไทยเฉลี่ย 20-25 บาทต่อลิตร แถมราคาไม่ผันผวนถือเป็นปีที่ราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพ ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นจะเป็นยุคขาลงแต่ไม่เลวร้ายเท่าวิกฤติปี 40 เหตุฐานะการเงินยังดีกว่ามาก มองวิกฤติน้ำมันแพงจะหวนกลับมาอีก 2-3 ปีข้างหน้าจี้รัฐบาลใหม่วางโครงสร้างพลังงานไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับเมื่อวิกฤติกลับมาอีกระลอก ย้ำนิวเคลียร์ยังจำเป็นต้องเดินหน้าศึกษาขณะที่การนำเข้าแอลเอ็นจีเป็นจังหวะราคาต่ำควรเจรจารับซื้อ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพลังานเพื่อสิ่งแวดล้อมในฐานะอดีตรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ปี 2552 จะเป็นปีทองของผู้บริโภคน้ำมันที่จะได้ใช้ในระดับราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับปี 2551 อย่างไรก็ตามอีก 2-3 ปีข้างหน้าราคาน้ำมันตลาดโลกจะกลับมาสู่ระดับราคาใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติอีกครั้งคือระดับประมาณ 70-100 เหรียญต่อบาร์เรลโดยระดับราคา 40 เหรียญฯต่อบาร์เรลจะเป็นราคาระยะสั้นๆ เท่านั้นเนื่องจากจะส่งผลให้การผลิตแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆ โดยเฉพาะในทะเลน้ำลึกคงไม่คุ้มกับการลงทุน ดังนั้นระยะยาวการผลิตจะถูกจำกัดลงขณะที่การใช้จะเริ่มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
“ เวลานี้น้ำมันที่ต่ำกว่า 40 เหรียญต่อบาร์เรลนั้นยอมรับว่าเป็นราคาที่ต่ำผิดปกติเพราะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวหนักแม้ว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันโลกหรือโอเปกจะมีการลดการผลิตลงไปก็ไม่ช่วยให้ราคาฟื้นกลับมาเพราะส่วนหนึ่งราคาที่สูงขึ้นมากนั้นมาจากการเก็งกำไรส่วนหนึ่ง ระยะยาวหากการเงินโลกแก้ไขได้การเก็งกำไรก็อาจจะกลับมาอีกครั้ง”นายปิยสวัสดิ์กล่าว
สำหรับธุรกิจการกลั่นน้ำมันปี 2552 ค่าการกลั่นภาพรวมคงจะต่ำกว่าปี 2551 เนื่องจากส่วนหนึ่งเกิดจากการภูมิภาคเอเชียจะมีโรงกลั่นเกิดเพิ่มขึ้น ดังนั้นโรงกลั่นที่เน้นการผลิตน้ำมันใสค่าการตลาดน่าจะอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร แต่โรงกลั่นที่เป็นระบบเก่าอาจจะเห็นการปิดกิจการลงได้เพราะผลิตมาแล้วไม่คุ้มทุน อย่างไรก็ตามกิจการโรงกลั่นน้ำมันของไทยอาจจะกำลังเดินเข้าสู่ภาวะวิกฤติหลังจากเริ่มขาดทุนสต็อกน้ำมันอย่างมากในช่วงไตรมาส 3-4 ของปี 2551 นั้นแต่ก็ยังมีฐานะการเงินที่ดีมากต่างจากช่วงวิกฤติปี 2540 ที่ฐานะโรงกลั่นประสบปัญหาขาดทุนหนักจนต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ครั้งใหญ่
ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะมีเสถียรภาพและอยู่ในระดับต่ำในรอบ 4-5 ปีถือเป็นโอกาสที่ดีสุดที่รัฐบาลใหม่จะกำหนดโครงสร้างการผลิตและการจำหน่ายในประเทศเอาไว้รองรับกับวิกฤติน้ำมันที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยจะต้องเดินหน้าพลังงานทดแทนทั้งการส่งเสริมการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 เพิ่มขึ้น การจำหน่ายอี 20 ส่วนอี 85 ควรกำหนดกรอบเวลาในการส่งเสริมให้ชัดเจน เร่งบังคับใช้ไบโอดีเซล(บี 3 ) และบี 5 เร็วขึ้น การลอยตัวราคาแอลพีจีด้วยการกำหนดสูตรราคา ณ โรงกลั่นที่ชัดเจน การปรับราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV ฯลฯ
****ย้ำเดินหน้าศึกษานิวเคลียร์-นำเข้าแอลเอ็นจี
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า การศึกษาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังควรที่จะดำเนินการต่อไปแม้ราคาน้ำมันจะลดเพราะในที่สุดการกระจายแหล่งพลังงานมีความสำคัญต่อการลดความเสี่ยงด้านพลังงานของไทยที่ขณะนี้ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเริ่มลดลงในที่สุดจำเป็นจะต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวหรือแอลเอ็นจีมาเสริมการผลิตในประเทศแล้ว ซึ่งจังหวะที่ราคาน้ำมันลดที่จะส่งผลให้ราคาแอลเอ็นจีมีราคาต่ำและเริ่มหาซื้อได้ง่ายขึ้นปตท.ควรเร่งใช้โอกาสนี้รีบเจรจาเพื่อตกลงรับซื้อ
พลังงานนิวเคลียร์นั้นในที่สุดประเทศไทยระยะยาวคงหนีไม่พ้นและกรณีที่รัฐบาลของสหรัฐภายใต้การนำของนายบารัคโอบามา ค่อนข้างชัดเจนถึงนโยบายการเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อดูแลปัญหาภาวะโลกร้อนกว่ารัฐบาลจอร์จ บุช อย่างมากขณะที่คนไทยเองกลับไม่ตระหนักซึ่งหากไทยไม่วางมาตรการรองรับไว้อาจพบกับมาตรการกีดกันทางการค้าได้และนิวเคลียร์จะเป็นคำตอบของการลดปัญหาโลกร้อนได้ดีที่สุด
*******แนะกำกับกิจการก๊าซไม่ให้ปตท.ผูกขาด
นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า กรณีมีการเสนอถึงการเพิกถอนปตท.ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาไปแล้วคือ ให้ปตท.โอนท่อก๊าซฯบนบกในส่วนที่อยู่บนดินที่ได้มาจากการใช้อำนาจรัฐให้แก่กระทรวงการคลัง ซึ่งปตท.ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาฯแล้ว และอำนาจต่างๆ ที่มีอยู่ก็โอนกลับมายังรัฐทั้งหมดเช่นกัน แต่สิ่งที่ยังไม่คืบหน้าและต้องเร่งดำเนินการคือการออกกฏเกณฑ์ และระเบียบต่างๆ ในการกำกับดูแลกิจการก๊าซฯปตท.เพื่อให้การประกอบธุรกิจ การกำหนดราคาและเงื่อนไขการจำหน่ายก๊าซฯมีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นการสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงมาตรการลงโทษเมื่อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ขณะเดียวกันรัฐและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานควรกำหนดเป็นนโยบายและเงื่อนไขการออกใบอนุญาตไม่ให้ผู้ที่ผูกขาดในการจำหน่ายก๊าซฯ ประกอบกิจการไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิง

******ปตท.ชี้น้ำมันดิบปีหน้าเฉลี่ย 50เหรียญฯ
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2552 คาดว่าน้ำมันดิบโลกเฉลี่ยจะอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลซึ่งจะทำให้ระดับราคาน้ำมันขายปลีกของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 20-25 บาทต่อลิตรและปี 2553 จะมีการขยับเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 60-70 เหรียญต่อบาร์เรลเนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะได้รับการแก้ไขได้ในระดับหนึ่งการใช้น้ำมันจะกลับมาอีกครั้ง ขณะที่การผลิตจะไม่เพิ่มขึ้นมากนักโดยเฉพาะในปี 2552 อาจเห็นโรงกลั่นหลายแห่งในโลกนี้มีโอกาสหยุดกิจการ หรือ ปิดฐานการผลิตจากราคาที่ลดต่ำหนักไม่คุ้มกับการผลิต
“การขาดทุนสต็อกน้ำมันในปี 2552 คงจะไม่เกิดขึ้นเหมือนปี 2551 เพราะราคาน้ำมันของปีที่แล้วค่อนข้างผันผวนจากทำสถิติสูงสุดก็ลดต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี แต่ปี 2552 ราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากกว่าการขาดทุนสต็อกน้ำมันจึงมีน้อย”นายประเสริฐกล่าว
*******ค้าปลีกแข่งเดือดแนวโน้มลด แลก แจก แถม
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน กล่าวว่า ปี 2552 คาดว่าธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในไทยจะแข่งขันรุนแรงเนื่องจากจะมีกำลังผลิตเกินความต้องการจากผลพวงของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะทำให้การใช้ในประเทศอาจ ขยายตัวลดลง ประกอบกับโรงกลั่นเกิดใหม่ในจีน อินเดีย และตะวันออกกลางที่ทำให้การผลิตน้ำมันสำเร็จรูปมีเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอีก 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวันทำให้การระบายส่งออกของโรงกลั่นไทยไม่ง่ายนัก ดังนั้นธุรกิจค้าปลีจะมีแนวโน้มที่ใช้นโยบาย ลด แลก แจก แถม มากขึ้น
“จะเห็นว่าช่วงนี้ก็เริ่มมีโปรโมชั่นแถมสินค้าพอสมควรแล้วจากผลพวงที่เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวอย่างหนัก และเมื่อปีหน้ายอดใช้ลดลงแต่การผลิตสูงขึ้นคาดว่าจะทำให้การแข่งขันรุนแรง การลดแลก แจกแถม คงจะกลับมา”นายมนูญกล่าว
สำหรับราคาน้ำมันปี 2552 ที่มีเสถียรภาพและค่าการตลาดจะอยู่ในระดับดีกว่านั้นจะส่งผลให้าผู้ค้าช่วงน้ำมันหรือจ๊อบเบอร์ และปั๊มอิสระจะกลับมาฟื้นตัวหลังจากที่ต้องปิดตัวกันไปพอสมควร ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นจะลำบากเนื่องจากการผลิตในภูมิภาคที่สูงจะทำให้การส่งออกไม่ง่ายและค่าการกลั่นจากปัจจุบันที่อยู่เฉลี่ย 8-9 เหรียญต่อบาร์เรลผลจากกำลังการกลั่นในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจะฉุดให้ค่าการกลั่นลดประมาณ 20% หรือจะลดลงเฉลี่ยเหลือ 6-7 เหรียญต่อบาร์เรล
ทั้งนี้การบริหารจัดการในธุรกิจน้ำมันปี 2552 ของภาครัฐจะมีส่วนสำคัญต่อการวางโครงสร้างพลังงานของประเทศในระยะยาวเนื่องจากมองว่าปีหน้าราคาพลังงานภาพรวมจะทรงตัวในระดับต่ำจะเป็นโอกาสในการตัดสินใจนโยบายเกี่ยวกับราคาก๊าซแอลพีจีและก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ เอ็นจีวี ให้สะท้อนตลาดโลกเพื่อลดภาระของรัฐบาล การยกเลิกนโยบายเก็บเงินภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพราะคาดว่ารายได้จากรัฐจะลดลงเพราะวิกฤติเศรษฐกิจ
****สนพ.มองปี’52การใช้พลังงานโต1.9%
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่า ปี 2552 คาดว่าราคาน้ำมันจะคงอยู่ในระดับต่ำเฉลี่ย 40-50 เหรียญต่อบาร์เรลประกอบกับการขยายตัวเศรษฐกิจไทยจะอยู่ประมาณ 2-3% ส่งผลให้การใช้พลังงานโดยรวมจะเพิ่มขึ้นจากปี 2551ประมาณ 1.9 % โดยเฉพาะแอลพีจีคาดว่าจะขยายตัวประมาณ 6% ไฟฟ้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.2 % และผลพวงจากราคาน้ำมันที่ต่ำคาดว่าจะทำให้มูลค่าการนำเข้าของไทยปี 52 ลดลงกว่าปีนี้
สำหรับปี 2551 การใช้พลังงานขั้นสุดท้ายมีมูลค่า 1,709,340 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 207,326 ล้านบาทหรือคิดเป็น 13.8% โดยมูลค่าการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายทุกชนิดเพิ่มขึ้น ส่วนการนำเข้าพลังงานขั้นสุดท้ายทุกชนิดปี’51 รวม 1,239,314 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 359,236 ล้านบาทหรือคิดเป็น 40.8% โดยมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป และไฟฟ้าลดลง
กำลังโหลดความคิดเห็น