xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโผ10ตลาดดาวรุ่งปีวัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - เปิดโผ 10 สินค้าและบริการดาวรุ่งในปี 2552 ที่จะมียอดขายและการเติบโตเด่นชัดในปีวัวฉลุย

ปี 2552 ยังคงเป็นอีกปีที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังไม่อยู่ในขั้นที่เรียกว่ารอดพ้นจากปากเหว แม้ว่าจะมีรัฐบาลใหม่เรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่ใช่ว่าจะเป็นหลักประกันถึงการทำธุรกิจในปีวัว 2552 นี้
ปัจจัยลบต่างๆยังคงกระหน่ำไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหรือ อารมณ์ในการจับจ่าย หรือปัญหาการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ตลอดจนการแกว่งตัวของเศรษฐกิจโลกที่ย่อมมีผลกระทบต่อประเทศไทยแน่นอน
ทว่ายังมีบางธุรกิจ บางสินค้าที่ยังคงเป็นธุรกิจที่มีโอกาสและเป็นดาวรุ่ง ในภาวการณ์เช่นนี้ ซึ่ง "ASTVผู้จัดการรายวัน" จะขอนำเสนอถึง 10 สินค้าและบริการดาวรุ่งที่จะยังคงมาแรงในปี 2522 ถึงเทรนด์ต่างๆ (ไม่ได้เรียงตามลำดับ)
**คอมมูนิตี้มอลล์
ค้าปลีกรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทว่าช่วง 1-2 ปีนี้ เริ่มเห็นกระแสการเติบโตและความต้องการของตลาดมากมาย ว่ากันว่าในปี 2552 นี้ คอมมูนิตี้มอลล์จะป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มาแรง ค่ายยักษ์ค้าปลีกต่างๆเริ่มหันเหหัวรบมาทางนี้แจ่มชัดขึ้น ทั้ง เทสโก้โลตัสที่เปิดตัว พลัส สาขาศรีนครินทร์ไปแล้วเป็นแม่แบบ และเทสโก้โลตัสยังมีอีกหลายแบรนด์เนมที่กรำศึกนี้ เช่น โอเอซิสที่รังสิต เป็นต้น
ทางด้านคาร์ฟูร์ก็เปิดตัวแล้วที่อุดมสุขและเชียงใหม่ กลุ่มเซ็นทรัลก็ปักธงสาขาแรกที่อุดมสุข ขณะที่เซ็นทรัลพัฒนาในเครือเซ็นทรัลก็มองย่านศรีนครินทร์พร้อมที่จะเปิดตัวในปี 2552 นี้ ส่วนกลุ่มทุนอื่นก็มีแผนเข้าสู่สมรภูมินี้มากมายซึ่งมีทั้งที่เริ่มชิมลางไปแล้วในปี 2551 ซึ่งจะมาหนักแน่นมากขึ้นในปีนี้ เช่น กลุ่มมั่งมีศรีสุข
นายธนภณ ตังคณานันท์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ประเมินไว้ว่า ตลาดค้าปลีกประเภทคอมมูนิตี้มอลล์ปี 2552 จะเติบโตอย่างมาก ทั้งจำนวนโครงการที่จะเกิดขึ้น และพื้นที่รวมที่จะมีเพิ่มขึ้นด้วย เพราะขณะนี้มีผู้ประกอบการทั้งในวงการและนอกวงการค้าปลีกหรือแม้แต่บิ๊กทรีอย่างเทสโก้โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ ต่างก็สนใจคอมมูนิตี้มอลล์อย่างชัดเจนแล้ว เพราะรูปแบบนี้ใช้พื้นที่ไม่มากเท่ากับการเปิดดิสเคานต์สโตร์ และเงินลงทุนก็น้อยกว่าด้วย ง่ายและรวดเร็วต่อการลงทุน
คอมมูนิตี้มอลล์เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันที่ชีวิตผู้บริโภคเร่งรีบ และต้องการสินค้าและบริการที่ตอบสนองได้ตรงจุด อีกทั้งยังสอดคล้องกับปัจจุบันที่ผู้ประกอบการหาทำเลที่ดีขนาดใหญ่ลำบากมากขึ้น จึงต้องย่อมาทำคอมมูนิตี้มอลล์ ที่มีพื้นที่ไม่มากนัก แต่ตอบสนองผู้ต้องการได้ตรงตามเป้าหมายในแต่ละทำเล และมีร้านค้าสินค้าและบริการที่ตรงตามการใช้ชีวิตประจำวัน
**ฟังชันนัลดริ้งค์
แทบจะกล่าวได้ว่าเป็นสินค้าดาวรุ่งทุกปีก็ว่าได้ สำหรับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพนี้ และที่ผ่านมาผู้ประกอบการรายใหญ่ก็มักจะส่งสินค้าใหม่ลงตลาดพร้อมกับการแข่งขันที่รุนแรงทุกปี ปี 2552 นี้ก็จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่รวมทั้งแบรนด์ใหม่จากค่ายยักษ์ทั้งหลาย ซึ่งปี 2551 ก็มีการโหมโรงไปบ้างสำหรับแบรนด์ใหม่และจะเปิดเกมรุกหนักในปี 2552 นี้
ปี 2551 ถือว่ามีความเคลื่อนไหวกันอย่างมาก สินค้าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพวางตลาดกันเป็นทิวแถว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสหพัฒน์ที่ได้ร่วมกับ บริษัท ไรซิโอ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพเบเนคอลจากประเทศฟินแลนด์ เปิดตัวเครื่องดื่มเสริมอาหารภายใต้แบรนด์ "ฮาร์ทติ เบเนคอล" ลงสู่ตลาดฟังก์ชันนัล ซึ่งเป็นอีกก้าวในการเข้าสู่ตลาดเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง หลังจากที่เริ่มชิมลางไปแล้วกับการเปิดตัวเครื่องดื่มแบรนด์ไอเฮล์ทตี้คิวเท็น
ค่ายโออิชิเองก็เพิ่งปั้นเครื่องดื่มกาแฟเมื่อปีที่แล้ว "คอฟฟิโอ" หรือแม้แต่ ตัวเดิมคือ อะมิโนโอเค ก็เป็นอีกตัวที่จะออกแรงมากขึ้นปี 2552 ขณะที่ค่ายเครื่องดื่มชูกำลังอย่างกระทิงแดงก็มีเพียวริคุเป็นตัวเอก และมี ซันสแน็คเป็นอาหารประเภทสแน็คอีกแบรนด์หนึ่ง ล่าสุดค่ายเบียร์สิงห์ก็เปิดตัวสแน็คเพื่อสุขภาพชื่อว่า เอนจอย ออกมาประเดิมตลาด หลังจากที่ส่งเครื่องดื่มสุขภาพแบรนด์บีอิ้งออกมาแล้ว
หรือแม้แต่ค่ายไทยเบฟเองก็สนใจกาารทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะ ค่ายไทยเบฟเองก็เริ่มซุ่มเข้าสู่ตลาดสุขภาพแล้วเพราะไม่อาจสวนกระแสได้ มีการเตรียมบุคลากรมืออาชีพมากมาย เช่นเดียวกับค่ายน้ำอัดลมทั้งเป๊ปซี่และโค้ก ที่จะมีการทยอยเปิดตัวเครื่องดื่มสุขภาพออกมาอีก
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการโออิชิกรุ๊ป เคยกล่าวไว้ว่า ตลาดเพื่อสุขภาพไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือสินค้าบริการเพื่อสุขภาพ เป็นตลาดที่ไม่มีวันตาย แม้ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีอย่างก็ตาม แต่เรื่องของสุขภาพต้องมาก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า เครื่องดื่มสุขภาพอย่างเช่น น้ำผลไม้ นั้นกลับเป็นตลาดที่เติบโตปรกติ ไม่หวือหวาแต่อย่างใด
**ขายตรง
ผู้บริหารค่ายขายตรงมักจะกล่าวในทำนองเหมือนกันว่า เมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจขายตรงจะรุ่ง เนื่องจากผู้คนจะหันมาทำอาชีพขายตรงด้วยการสมัครเป็นนักขายอิสระมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีหน้า จะเห็นชัดเจน เนื่องจากว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่คาดกันว่า จะมีคนตกงานมากกว่า 1 ล้านคนตามตัวเลขที่ภาครัฐได้ประเมินเอาไว้ เนื่องจากหลายบริษัทหลายโรงงานได้ปิดกิจการลงเพราะภัยทางเศรษฐกิจ
นายดนัย ดีโรจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรง มิสทิน ประเมิน ปี 2552 ธุรกิจขายตรงคาดว่าจะเติบโต 5-10% และย้ำว่าปัจจัยลบต่างๆไม่ได้ระทบตลาดขายตรงเท่าใดนัก แต่จะเป็นผลดีต่างหาก เพราะคนจะหันมาหาอาชีพขายตรงเพราะเป็นอาชีพอิสระ และทำรายได้ได้ดี
โดยเมื่อปี 2551 มิสทินมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากเกือบ 7 แสนราย จากเดิมมีประมาณ 6 แสนราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่นายดนัยถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯมาเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุผลที่เกื้อหนุนคือ ภาหวะการทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี คนเลยหาทางออกด้วยการทำธุรกิจขางตรงมากขึ้น
ตอกย้ำด้วยคำกล่าวของแพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงกิฟฟารีน ที่เผยว่า ที่ผ่านมาจากวิกฤติเศรษฐกิจมีผู้ที่สนใจเป็นนักธุรกิจขายตรงมากขึ้น เพราะเป็นอาชีพที่ทำง่ายและอิสระ ใครก็ทำได้ ส่งผลให้ปี 2552 ธุรกิจขายตรงจะยังคงดีอยู่
**เฮ้าส์แบรนด์
เศรษฐกิจที่ยังตกสะเก็ดต่อเนื่องมาถึงปี 2552 กำลังซื้อลดลง แน่นอนว่า สินค้าเฮาส์แบรนด์จะเป็นอีกดาวรุ่งที่ตลาดต้องการโดยเฉพาะกลุ่มคนระดับที่มีกำลังซื้อน้อย จะหันมาหาสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้น เพราะมีราคาต่ำกว่าสินค้าแบรน์เนมทั่วไปเฉลี่ย 20-30% และประเด็นนี้เองทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกทั้งหลายต่างหันมาให้ความสำคัญกับเฮาส์แบรนด์มากขึ้น ด้วยการเพิ่มจำนวนสินค้ามากขึ้นรวมทั้งการขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมมากขึ้นด้วย
ปี 2552 จะเห็นการทำตลาดสินค้าเฮาส์แบรนด์ที่ชัดเจนของผู้ประกอบการค้าปลีกมากกว่าปี 2551 ทั้งการสร้างแบรนด์ การสร้างาภาพลักษณ์ และการพัฒนาสินค้าให้ดีมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
เมื่อช่วงกลางปี 2551 ที่ราคาน้ำมันขยับขึ้นแบบวันต่อวัน กระทั่งสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคกันถ้วนหน้า เพราะราคาสินค้า อาหาร ค่าโดยสาร ปรับตัวสูงขึ้นเป็นทิวแถว จะเห็นได้ว่า สินค้าเฮาส์แบรนด์ เป็นที่ต้องการของผู้คน โดยเฉพาะร้านค้าที่ทำธุรกิจประเภทเอสเอ็มอี ที่จะหาซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์มาใช้ในธุรกิจ ยอดขายของค้าปลีกในกลุ่มเฮาส์แบรนด์เติบโตค่อนข้างดี
อีกทั้งสินค้าเฮาส์แบรนด์นั้น ก็จะมีความได้เปรียบเสียเปรียบไม่แพ้กับแบรนด์เนมทั่วไป โดยเฉพาะในสินค้าคอนซูเมอร์แบรนด์ของบรรดาค้าปลีกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น บิ๊กซี แม็คโคร เทสโก้โลตัส คาร์ฟูร์ เพราะในเมื่อเป็นเจ้าของสินค้าเองและเจ้าของสถานที่เองแล้ว จึงสามารถที่จะนำสินค้าเฮาส์แบรนด์ไปวางในตำแหน่งที่ดีๆบนเชลฟ์เทียบเคียงกับแบรนด์เนมได้
**แฟรนไชส์
ธุรกิจแฟรนไชส์จะมีการเติบโตที่ดีเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10-20% เพราะสอดรับกับสถานการณ์ที่คนจะว่างงานมากขึ้น ดังนั้นกลุ่มที่มีเงินเก็บและมีทุนก้อนหนึ่งก็จะหันมาเอาดีทางด้านการซื้อธุรกิจแฟรนไชส์ไปลงทุน ซึ่งจะเป็นทิศทางเดียวกับธุรกิจขายตรง โดยข้อดีของการซื้อแฟรนไชส์นั้นก็คือ การที่ไม่ต้องเสียเวลาเรียนถูกเรียนผิด เพราะมีแม่แบบไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชื่อของแบรนด์เองก็เป็นที่รู้จักในท้องตลาดไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่
โดยที่แฟรนไชส์ที่จะเป็นดาวรุ่งนั้นก็ยังคงเป็นแฟรนไชส์ด้านอาหาร และบริการ ที่แปลกๆโดยเฉพาะแบรนด์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นไม่ปีนี้
หากมองให้ดีคอนวีเนียนสโตร์ก็ยังเป็นแฟรนไชส์ที่มาแรงทุกปี โดยมีเซเว่นอีเลฟเว่นเป็นตัวเอกและตัวหลักตัวเดียวในวงการนี้ และตามแผนงานที่จะเปิดปีหน้ามากกว่า 400 สาขา ก็จะเป็นอีกแรงเสริมหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์นั้นเฟื่องฟูปี 2552 ผนวกกับกลุ่มธุรกิจอาหารที่จะมีแฟรนไชส์ฟาสต์ฟู้ดใหม่ๆเปิดเพิ่ม เช่น ค่ายจีเอฟเอที่อยู่ระหว่างการปั้นแบรนด์ใหม่ "โคนนิซซ่า" หรือโกลเด้นเพรทเซล เป็นต้น ที่จะมีบทบาทมากขึ้นในปี 2552
**นิวมีเดีย-ทีวีดาวเทียม-คอนเท้นต์
ดาวรุ่งกลุ่มนี้หมายความรวมถึงทั้งสื่อใหม่ๆทั้งที่เป็นดิจิตอลและไม่ใช่ดิจิตอล ทีวีดาวเทียม เคเบิ้ลทีวี และผู้ผลิตคอนเท้นต์ทั้งหลาย
สื่อโฆษณาหลักๆคือ ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร กลายเป็นสื่อที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมา ยอดการใช้จ่ายทรงตัว บางเดือนของปี 2551 ก็ติดลบด้วยซ้ำไป สื่อเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แม้ว่าจะเข้าถึงคนในวงกว้างก็ตาม จึงเป็นโอกาสและช่องทางที่ทำให้สื่อใหม่ๆมีโอกาสขยายตลาดมากขึ้น เช่น สื่ออินสโตร์ สื่อดิจิตอล สื่อแอลอีดี สื่อเคลื่อนที่ ที่มาแรงเหลือเกินในปี 2551
แม้กระทั่งสื่อเคเบิ้ลทีวี ทีวีดาวเทียม สามารถโฆษณาได้แล้วก็จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ตลาดรุ่งแน่นอน ซึ่งปีที่แล้วถือว่าเป็นปีของกาวงรากฐานของผู้ประกอบการหลายราย ที่จะพร้อมบุกและรุกหนักในปี 2552 นี้ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องถึงธุรกิจคอนเท้นต์หรือผู้ผลิตรายการที่จะมีช่องว่างในการสร้างตลาดได้มากขึ้น จากเดิมที่มีแต่เพียงสื่อฟรีทีวีเท่านั้น ดังนั้นผู้ผลิตคอนเท้นต์จะมีการขยายตัวอย่างมากในปี 2552 ซึ่งจะมีมาจาก 2 ทางหลักคือ การเป็นผู้ผลิตรายการเอง กับการที่ไปซื้อลิขสิทธิ์รายการหรือคอนเท้นต์จากต่างประเทศเข้ามาขายต่อ
นายเกษม อินทร์แก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย กล่าวไว้ว่า เคเบิ้ลทีวีและทีวีดาวเทียมจะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วในปี 2552 เพราะมีปัจจัยเอื้อหลายอย่างทั้ง การที่ได้ประกาศใช้พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 และความพร้อมของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เห็นโอกาสจึงเข้าสู่ธุรกิจนี้มากขึ้น
**บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ติดโผสินค้าขายดีทุกปีเลยสำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งมีแบรนด์ มาม่า เป็นเจ้าตลาดในสินค้ากลุ่มนี้และแทบจะกลายเป็นเจนเนอริกเนมของสินคานี้ไปแล้ว โดยมีอีก 2 แบรนด์ เป็นคู่แข่งคือ ไวไว ยำยำ
นักธุรกิจหลายสำนักประเมินกันว่า ปีหน้าเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี แน่นอนว่า ย่อมส่งผลต่อ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่จะเติบโตอย่างดี ด้วยข้อได้เปรียบด้านราคาที่ต่ำ เฉลี่ย 5-6 บาทต่อซอง แถมยังมีรสชาติให้เลือกหลายรสชาติอีกด้วย สะดวกต่อการทาน อย่างไรก็ดีแม้ว่าที่ผ่านมาราคาของบะหมี่กี่งสำเร็จรูปจะมีการปรับขึ้นมาบ้างก็ตาม ก็ถือว่าเล็กน้อยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริภคระดับล่างมากนัก
ปี 2552 ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ยังคงเติบโตดี ซึ่งเป็นไปในแนวเดียวกับธุรกิจขายตรงและแฟรนไชส์ รวมทั้งเหตุผลที่ว่า เมื่อกำลังซื้อลดลง สินค้าที่ราคาถูกและอิ่มท้องก็ย่อมที่จะยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอยู่ดี
แนวโน้มการแข่งขันปี 2552 ผู้ประกอบการก็ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนารสชาติใหม่ออกมาตอบสนองตลาดเพื่อสร้างสีสัน รวมทั้งการการแข่งขันทางด้านโปรโมชันและพรีเซ็นเตอร์สินค้า รวมทั้งการพัฒนาแพคเกจจิ้งให้มีความทันสมัยและแตกต่างจากคู่แข่ง
**ธุรกิจอีเว้นต์
หลายคนมองว่า ธุรกิจอีเว้นต์จะแย่ถูกกระทบเมื่อมีเหตุการณ์วุ่นวายของบ้านเมือง รวมทั้ง เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ หลายองค์กรต่างก็หันมาตัดงบกิจกรรม งบอีเว้นต์กันมาก เพื่อจะได้ควบคุมต้นทุนให้อยู่
ทว่าในปี 2552 ที่มีรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว หลายองค์กรที่เคยชะลองบการจัดกิจกรรมตลาดหรืออีเว้นต์มาก่อน ก็ถึงเวลาที่จะนำมาใช้ และเปิดตัวโครงการ อีเว้นต์ต่างๆมาโชว์ตลาด เพื่อที่จะได้สร้างแรงกระตุ้น สร้างสีสัน สร้างเอกลักษณ์ ให้กับสินค้าและที่สำคัญ ผลสุดท้ายก็คือ การสร้างยอดขายนั่นเอง
ปีที่แล้วอีเว้นต์ใหญ่ๆอาจจะได้รับผลกระทบเนื่องจากเกรงความปลอดภัยที่อาจจะลามมาถึง เนื่องจากความขัดแย้งด้านการเมืองเป็นเหตุสำคัญ บิ๊กอีเว้นต์ต้องเลื่อนหรือยกเลิกกะทันหันมากมาย แต่เชื่อแน่ว่าปี 2552 จะเป็นปีทองปีหนึ่งของอีเว้นต์ เพราะแม้แต่ นายเสริมคุณ คุณาวงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มาหชน) ยังย้ำว่า ปี 2552 ธุรกิจอีเว้นต์ จะดีเพราะภาครัฐจะผ่านงบประมาณออกมามาก โดยเฉพาะเรื่องท่องเที่ยวที่จะมาฟื้นฟูภาพลักษณ์ และเรื่องของโครงการของรัฐที่ปีที่แล้วไม่ได้ทำ เช่น โอทอป แฟชั่น ปีนี้ก็อาจจะมีงบตรงนี้ออกมา
โดยรวมแล้วอีเว้นต์ในปี 2552 ธุรกิจยังสดใสคึกคัก
**สินค้าคลายเครียด
ความเครียดของคนไทยคาดว่าจะยังคงมีต่อเนื่องจากปี 2551 ไปจนถึงปี 2552
ต้นเหตุของความเครียดก็มาจากหลายปัจจัยลบที่ไม่ต่างจากผลกระทบต่อธุรกิจอื่นคือ ปัญหาการเมืองที่วุ่นวายแบ่งฝ่ายกันชัดเจน ความไม่มั่นคงทางด้านการเมืองของไทย เครียดจากภาวะเศรษฐกิจเช่นตกงาน เงินเดือนไม่ขึ้น โบนัสไม่มี กำลังซื้อลดลง รายจ่ายเพิ่มขึ้น เป็นต้น
สินค้าคลายเครียด หากมองผิวเผินแล้วค่อนข้างจะเป็นนามธรรมพอสมควร แต่พิจารณาให้ดีแล้วก็มีหลายสินค้าที่คลายเครียดได้อย่างที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ น้ำมันนวด โลชั่น เธอราปี หรือของเล่น
ในปี 2551 หลายสำนักพิมพ์ได้ผลิตหนังสือคลายเครียดออกมามากจำหน่ายมาก ซึ่งหนังสือที่ว่านั้นก็จะเป็นแนวธรรมะ แนวสนุกสนาน เป็นต้น โดยเฉพาะหนังสือแนวธรรมะนั้นชัดเจนอย่างมาก เพราะคนต้องการหาที่สงบ ที่พึ่งทางจิตใจ หลังจากเผชิญกับปัญหาบ้านเมืองความขัดแย้งที่รุนแรงของผู้คนในชาติ แม้แต่งานมหกรรมหนังสือที่ผ่านมาก็มียอดขายของหนังสือแนวธรรมที่ติดอันดับต้นๆด้วย
ส่วนสินค้าคลายเครียดรูปแบบอื่นเช่น สินค้าสบู่ โลชั่น หรือสินค้าเกี่ยวกับสปา เธอราปีทั้งหลาย เป็นสินค้าที่เรียกว่าธรรมชาติบำบัด ซึ่งจะช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลายความเครียดได้บ้าง ปีหน้าจะขายดี แต่ก็ยังไม่ได้เป็นสินค้าที่อยู่ในวงกว้าง เพราะคนยังรู้จักน้อย ส่วนปี 2552 จะเห็นการทำตลาดที่เข้มข้นของผู้ประกอบการสินค้าเหล่านี้แน่นอน เพราะในเมื่อตลาดเปิดทางแล้ว การไขว่คว้าและเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดเป็นเรื่องที่คู่กันอยู่แล้ว
**พีอาร์-เอาท์ซอร์ส
ภายใต้วิกฤติการทางการเงินและเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยกดดันอย่างหนักที่ทำให้ทุกองค์กรต้องหันมาควบคุมต้นทุนและลดค่าใช้จ่าย หรือที่เรียกกันว่า รีดไขมัน กันอย่างทุกประตู เพื่อให้องค์กรอยู่รอด ท่ามกลางความผันผวนต่างๆ
องค์กรขนาดเล็กๆอาจจะจำเป็นที่ต้องพึ่งพาธุรกิจที่ปรึกษา ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เป็นเสมือน ผู้ช่วยทางด้านความคิดให้กับงานแต่ธุรกิจพีอาร์เองก็ต้องมีการปรับตัวมากขึ้น โดยเฉพาะรูปแบบการทำงานต้องมีความเข้มข้นขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีองค์ประกอบมากขึ้น วัดผลได้
ขณะที่ธุรกิจเอาท์ซอร์สนั้นจะรุ่งเรืองอีกปีหนึ่ง ในปี 2552 เพราะองค์กรขนาดใหญ่ก็ยังต้องควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอยู่เช่นเดียวกับปี 2551 การใช้เม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์ต้องมั่นใจแล้วว่า คุ้มค่า
เอาท์ซอร์สเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะใช้กันมาก โดยจ้างบริษัทอื่นเป็นผู้ที่ทำงานให้ในสายงานต่างๆที่คิดว่าควรจะแยกออกไป ซึ่งแนวทางนี้หลายองค์กรใช้มาแล้วได้ผลดี เพราะไม่ต้องเหนื่อยในการบริหารคน หรือบริหารจัดการเรื่องราวปัญหาต่างๆ แต่เป็นการว่าจ้างให้บริษัทมืออาชีพรับไปจัดการเลย เช่น ฝ่ายบริหารคลังสินค้า ฝ่ายขาย ฝ่ายลอจิสติกส์ เป็นต้น เพราะการที่จะให้บริษัทผู้เชี่ยวชาญทำนั้นเขามีพร้อมทุกอย่างอยู่แล้ว บริษัทใหญ่ๆก็มีการทำเอาท์ซอร์ส เช่น การบินไทย เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น