“เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างผมจะพูดให้ประเทศชาติเสียหาย”
นั่นเป็นคำยืนยันของ กษิต ภิรมย์ ที่กำลังถูกคนบางกลุ่มในประเทศนี้ตั้งข้อรังเกียจขัดขวางไม่ให้เข้ามาคุมกระทรวง “บัวแก้ว” อย่างเอาเป็นเอาตาย
เป็นคำตอบโต้สื่อทั้งในและต่างประเทศบางกลุ่มที่เขาบอกว่าเป็นความจงใจบิดเบือนคำพูดเมื่อสัปดาห์ก่อน และเพิ่งนำมาประโคมกล่าวหาทำนองว่า “การยึดสนามบินเป็นเรื่องสนุก”
ดังนั้นหากจะประมวลภาพทั้งหมดพอสรุปให้เห็นว่าเหตุผลที่คนกลุ่มนี้และเครือข่ายยกมาต่อต้านอย่างหนักหน่วงก็คือ กษิต ภิรมย์ เคยเข้าร่วมต่อสู้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อต้าน “ระบอบทักษิณ”
และกระหน่ำซ้ำเติมด้วยข้อหา “ร่วมอยู่ในขบวนไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง” เป็นหลักแต่ก่อนจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาที่ไปในการขับเคลื่อนของกลุ่มพันธมิตรฯและผลกระทบต่อเนื่องไปถึงใครบ้างนั้น ต้องค่อยๆ มาว่ากันทีละเรื่อง
เริ่มต้นโฟกัสกันเฉพาะคุณสมบัติเฉพาะตัว ถือว่า กษิต เพียบพร้อมทุกด้านทั้งชาติตระกูลและการศึกษา และการทำงาน เป็นบุตรของศาตราจารย์ พล.ร.ต.สมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร
ส่วนปูมหลังการรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศนับว่าโดดเด่นชนิดที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี เป็น “ลูกหม้อ” ของจริง
เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศสำคัญ เช่น รัสเซีย อินโดนีเซีย เยอรมันนี ญิปุ่น ก่อนเกษียณอายุราชการก็เป็นเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา
ไม่นับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงทั้งในและต่างประเทศอีกมากมาย เคยเป็นข้าราชการดีเด่น รางวัลครุฑทองคำ ฯลฯ จารนัยกันไม่หมด
นอกเหนือจากนี้มีคนอีกไม่น้อยไม่รู้ข้อมูลว่า กษิตย์ เข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่สมัยรัฐบาล “ชวน 1” และในยุคที่ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ เป็นผู้นำฝ่ายค้านเขาก็เป็นรองนายกฯเงา จนกระทั่งเกือบจะได้เป็นผู้สมัครผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครในนามพรรคอีกด้วย
ด้วยเหตุผลและคุณสมบัติดังกล่าวจึงมองไม่เห็นความไม่เหมาะสมตรงไหนที่จะเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังจะมี “ภารกิจพิเศษ” เร่งด่วนทั้งการเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า และเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในต้นปีอีกด้วย
ส่วนข้อหาที่บอกว่าเข้าร่วมกับพันธมิตรฯ และกล่าวหาว่าเข้ายึดสนามบินนั้น ถ้ามองแบบ “ตัดตอน” มันก็อาจตกเป็นเหยื่อ คล้อยตามได้ไม่ยาก
แต่อีกมุมหนึ่งต้องถามกลับไปว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ เพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีปัญหาเรื่องทุจริต มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ล่าสุดศาลก็ตัดสินจำคุก ส่วนพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาจนถึงพรรคพลังประชาชนก็ทุจริตเลือกตั้งจนถูกสั่งยุบพรรคในที่สุด มันไม่มีความหมายอะไรเลยหรือ!!
ขณะที่ระบุว่าเป็นการปิดล้อมสนามบินก็เป็นผลจากการชุมนุมต่อเนื่องยาวนานถึง 193 วัน และถ้าพิจารณาตามข้อเท็จจริงก็เป็นการประท้วงรัฐบาล “นอมินี” ของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งกำลังจะเดินทางกลับจากการประชุมเอเปค ประเทศเปรู เนื่องจากเห็นว่าขาดความชอบธรรม
ไม่น่าจะเข้าข่ายขบวนการก่อการร้าย ตามที่สื่อบางกลุ่ม และรัฐตำรวจกำลังจงใจโหมกระพือเพื่อใส่ร้าย บิดเบือน เพราะการชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมโดยสงบ และใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นหากพิจารณาทุกด้านด้วยความเป็นธรรม จากผลงาน ด้านการทูตและประวัติส่วนตัว จึงไม่น่าจะมีเหตุผลขัดขวาง กษิต ภิรมย์ นอกจากมีวาระซ่อนเร้น
ขณะเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลกหากฝ่ายระบอบทักษิณจะต้องออกแรงต่อต้านทุกวิถีทาง เพราะ เขาคือคนรู้ทัน และมีข้อมูลด้านต่างประเทศอยู่เต็มมือว่า “คนหน้าเหลี่ยม” ได้ทำร้าย ทำลายประเทศตัวเอง ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปหาประโยชน์ส่วนตัวอย่างไรบ้าง และยังต้องมีผลสะเทือนต่อการหลบหนีคดีในต่างประเทศอีกด้วย
นี่แหละ คือเหตุผลสำคัญต้องสกัดไม่ให้มาคุมกระทรวง “บัวแก้ว” !!
