เมื่อเวลา 08.30 น. วานนี้ (24ธ.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้เดินทางเข้าสักการะองค์พระหลักเมือง โดยมี พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ
หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร เดินทางเข้ากระทรวงกลาโหม ในเวลา 09.09 น. พร้อมกับสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม รวม 5 จุด ก่อนที่จะลงมารับการตรวจแถว ที่ทาง 3 เหล่าทัพ จัดกำลังทหารกองเกียรติยศจำนวน 3 กองร้อย เพื่อเป็นเกียรติภายหลังเข้ามารับตำแหน่งรมว.กลาโหม โดยมี พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ และพล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เข้าร่วมในพิธีดังกล่าวด้วย
หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายให้กับเหล่าบรรดา ผบ.เหล่าทัพ รวมถึงการบรรยายสรุปภารกิจของกระทรวงกลาโหม ที่ห้องสุรศักดิ์มนตรี
พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ว่า ทางกระทรวงกลาโหม ได้บรรยายสรุปภารกิจของกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพให้ทราบ และพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรให้เกิดสมานฉันท์ในชาติ สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ถือเป็นนโยบายสำคัญ และนโยบายหลักมีอยู่ เพราะเป็นยุทธศาสตร์ที่เหล่าทัพดำเนินการ ซึ่งจะพูดคุยกับผบ.เหล่าทัพ อีกครั้ง
ทั้งนี้ ยังไม่มีนโยบายเรื่องยุทโธปกรณ์ ขณะนี้เหล่าทัพมีการดำเนินการในส่วนเขาอยู่แล้ว
พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีที่ทหารไปยุ่งเกี่ยว และแทรกแซงการเมืองมากเกินไปว่า ทหารไม่ได้ยุ่ง เป็นเรื่องของการเมืองเอง แต่ถ้าทหารรู้จักกับนักการเมืองก็สามารถพูดคุยกันได้ แต่ยืนยันว่าการเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ไม่ได้เกี่ยวกับกับกองทัพ ส่วนที่มองว่ากองทัพแทรกแซงการเมืองในการตั้งรัฐบาลนั้น เป็นการพูดไปเอง เพราะการจัดตั้งรัฐบาล เป็นเรื่องของส.ส. ดำเนินการ ต้องมีเสียงข้างมากจัดตั้ง ใครไปชี้นำไม่ได้
"ไม่ทราบว่าแทรกแซงวิธีไหน แต่ที่เห็นผบ.ทบ. ออกมาในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) และไม่ได้ออกมาพูดเองได้รับฉันทานุมัติจากที่ประชุมว่า คตร. มีความเห็นเช่นนี้ สื่อถามท่านก็ตอบ ผมอยากให้สร้างความสามัคคีดีกว่าจับมาเป็นประเด็น จนทำงานกันไม่ได้ กองทัพมีหน้าที่ให้เกิดความรักสามัคคี ต้องช่วยกันอย่าเอาเรื่องเล็กน้อยมาทำ เรามีเรื่องเศรษฐกิจต้องทำ"
เมื่อถามถึงกระแสข่าวนักการเมืองมาหารือกับท่านที่บ้านพัก ในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่มีบ้านใน ร.1 รอ. มีแต่มูลนิธิปลูกป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน จะมาประชุมได้อย่างไร ทั้งนี้ ตนไม่เกี่ยวกับการตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องส.ส.และพรรคการเมืองดำเนินการ
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านจะอภิปรายท่านถึงกรณี ผบ.เหล่าทัพ แทรกแซงทางการเมือง กลัวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า " กลัวอะไร ก่อนรับตำแหน่งเป็นนายทหารนอกราชการ เหมือนประชาชน เอาอำนาจอะไรไปแทรกแซง ผมสามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง"
ส่วนกรณีที่กรรมาธิการทหารจะตรวจสอบการแสดงท่าทีของ ผบ.เหล่าทัพ ต่อการเมืองนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด และยังไม่ได้รับหนังสือ เมื่อถามว่า จะตั้งกรรมการสอบ ผบ.เหล่าทัพ หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า
"ยังไม่รู้ว่าจะตั้งกรรมการสอบเรื่องอะไร ไม่ทราบ ไม่รู้ ไม่เห็นเรื่องรายละเอียด ทั้งนี้ คงไม่เรียกใครมาชี้แจง แต่คงรายงานให้ปลัดกระทรวงกลาโหมแล้วมาชี้แจงผม ขณะนี้การเมืองกับกองทัพ แยกกันอยู่แล้ว คงไม่มีอะไร เดิมแยกกันอยู่แต่สื่อดึงมาเกี่ยวข้องกัน เขาไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย ผมยืนยันได้"
เมื่อถามว่า มีการมองว่าท่านมารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม ได้เพราะพล.อ. อนุพงษ์ ผลักดัน พล.อ.ประวิตร กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า
"ผมบอกแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.อนุพงษ์ ถามว่าสนิทกับ พล.อ. อนุพงษ์หรือไม่ ผมสนิทและสนิทกับหลายคนในกองทัพ เพราะทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ระดับผู้บังคับหมวดจนเกษียณอายุ ทำงานมา 30 กว่าปี จะให้ไม่สนิทกับใครไม่ได้"
เมื่อถามถึงการกลับมารับตำแหน่งของพล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มองอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวพร้อมชี้ไปที่ผู้สื่อข่าวคนที่ถาม ว่า "ไม่เกี่ยวกับผม นั่นเรื่องน้องชาย คนละประเด็น"
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หนีทหาร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่รู้เรื่อง แต่ชายไทยอายุ 21 ปี ต้องเป็นทหาร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เขาสมัครเป็นทหาร ก็ชัดเจนว่าท่านเป็นทหาร ก็จบ
เมื่อถามว่า สังคมมองว่าทหารเข้าข้างพรรคการเมืองหนึ่ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี คิดไปเอง
เมื่อถามถึงการแก้ปัญหากลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มีเสื้อแดง คนไทยด้วยกันทั้งนั้น มีอะไรต้องคุยกัน ทั้งนี้ยังไม่ทราบการที่รัฐสภาจะขอกำลังทหารไปดูแลรัฐสภา เป็นเรื่องประธานรัฐสภา รับผิดชอบ
เมื่อถามถึงการเข้าพบพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ได้เข้าพบใคร ทั้งนี้ ตนจะเดินทางไปพบอดีตนายทหารผู้ใหญ่ทุกคนในกองทัพ รวมทั้งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ และจะให้นโยบายกระทรวงกลาโหมในวันประชุมสภากลาโหมวันที่ 31 ธ.ค.นี้
พล.อ. ประวิตร ยังกล่าวถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เป็นเรื่องของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เพราะมี พ.ร.บ.ความมั่นคง อยู่ ซึ่งกำหนดชัดเจนว่า มีนายกรัฐมนตรีเป็น ผอ.รมน. มีผู้บัญชาการทหารบกเป็น รอง ผอ.รมน. ส่วนกระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ให้การสนับสนุนในเรื่องที่กองทัพขอมา ขณะนี้ยังไม่ทราบกรณีที่รัฐบาลสั่งให้ยุบศูนย์อำนวยการบริหารจัดการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แต่ทางปฏิบัติไม่สามารถยุบได้ เพราะเป็นกฎหมาย
ทั้งนี้ การทำงานภาคใต้มี กอ.รมน.ภาค 4 ดูแลทั้ง ศอ.บต. และกองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) มีความชัดเจนในการทำงาน ซึ่ง ศอ.บต. ทำงานด้านการสนับสนุนเข้าถึง เข้าใจ พัฒนา ส่วนทหารทำเรื่องยุทธวิธี ทั้งนี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงนโยบายแนวคิดของรัฐบาลที่ต้องทำและสนับสนุนทุกฝ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร เดินทางเข้ากระทรวงกลาโหม ในเวลา 09.09 น. พร้อมกับสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม รวม 5 จุด ก่อนที่จะลงมารับการตรวจแถว ที่ทาง 3 เหล่าทัพ จัดกำลังทหารกองเกียรติยศจำนวน 3 กองร้อย เพื่อเป็นเกียรติภายหลังเข้ามารับตำแหน่งรมว.กลาโหม โดยมี พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ และพล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เข้าร่วมในพิธีดังกล่าวด้วย
หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายให้กับเหล่าบรรดา ผบ.เหล่าทัพ รวมถึงการบรรยายสรุปภารกิจของกระทรวงกลาโหม ที่ห้องสุรศักดิ์มนตรี
พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ว่า ทางกระทรวงกลาโหม ได้บรรยายสรุปภารกิจของกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพให้ทราบ และพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรให้เกิดสมานฉันท์ในชาติ สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ถือเป็นนโยบายสำคัญ และนโยบายหลักมีอยู่ เพราะเป็นยุทธศาสตร์ที่เหล่าทัพดำเนินการ ซึ่งจะพูดคุยกับผบ.เหล่าทัพ อีกครั้ง
ทั้งนี้ ยังไม่มีนโยบายเรื่องยุทโธปกรณ์ ขณะนี้เหล่าทัพมีการดำเนินการในส่วนเขาอยู่แล้ว
พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีที่ทหารไปยุ่งเกี่ยว และแทรกแซงการเมืองมากเกินไปว่า ทหารไม่ได้ยุ่ง เป็นเรื่องของการเมืองเอง แต่ถ้าทหารรู้จักกับนักการเมืองก็สามารถพูดคุยกันได้ แต่ยืนยันว่าการเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ไม่ได้เกี่ยวกับกับกองทัพ ส่วนที่มองว่ากองทัพแทรกแซงการเมืองในการตั้งรัฐบาลนั้น เป็นการพูดไปเอง เพราะการจัดตั้งรัฐบาล เป็นเรื่องของส.ส. ดำเนินการ ต้องมีเสียงข้างมากจัดตั้ง ใครไปชี้นำไม่ได้
"ไม่ทราบว่าแทรกแซงวิธีไหน แต่ที่เห็นผบ.ทบ. ออกมาในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) และไม่ได้ออกมาพูดเองได้รับฉันทานุมัติจากที่ประชุมว่า คตร. มีความเห็นเช่นนี้ สื่อถามท่านก็ตอบ ผมอยากให้สร้างความสามัคคีดีกว่าจับมาเป็นประเด็น จนทำงานกันไม่ได้ กองทัพมีหน้าที่ให้เกิดความรักสามัคคี ต้องช่วยกันอย่าเอาเรื่องเล็กน้อยมาทำ เรามีเรื่องเศรษฐกิจต้องทำ"
เมื่อถามถึงกระแสข่าวนักการเมืองมาหารือกับท่านที่บ้านพัก ในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่มีบ้านใน ร.1 รอ. มีแต่มูลนิธิปลูกป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน จะมาประชุมได้อย่างไร ทั้งนี้ ตนไม่เกี่ยวกับการตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องส.ส.และพรรคการเมืองดำเนินการ
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านจะอภิปรายท่านถึงกรณี ผบ.เหล่าทัพ แทรกแซงทางการเมือง กลัวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า " กลัวอะไร ก่อนรับตำแหน่งเป็นนายทหารนอกราชการ เหมือนประชาชน เอาอำนาจอะไรไปแทรกแซง ผมสามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง"
ส่วนกรณีที่กรรมาธิการทหารจะตรวจสอบการแสดงท่าทีของ ผบ.เหล่าทัพ ต่อการเมืองนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด และยังไม่ได้รับหนังสือ เมื่อถามว่า จะตั้งกรรมการสอบ ผบ.เหล่าทัพ หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า
"ยังไม่รู้ว่าจะตั้งกรรมการสอบเรื่องอะไร ไม่ทราบ ไม่รู้ ไม่เห็นเรื่องรายละเอียด ทั้งนี้ คงไม่เรียกใครมาชี้แจง แต่คงรายงานให้ปลัดกระทรวงกลาโหมแล้วมาชี้แจงผม ขณะนี้การเมืองกับกองทัพ แยกกันอยู่แล้ว คงไม่มีอะไร เดิมแยกกันอยู่แต่สื่อดึงมาเกี่ยวข้องกัน เขาไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย ผมยืนยันได้"
เมื่อถามว่า มีการมองว่าท่านมารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม ได้เพราะพล.อ. อนุพงษ์ ผลักดัน พล.อ.ประวิตร กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า
"ผมบอกแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.อนุพงษ์ ถามว่าสนิทกับ พล.อ. อนุพงษ์หรือไม่ ผมสนิทและสนิทกับหลายคนในกองทัพ เพราะทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ระดับผู้บังคับหมวดจนเกษียณอายุ ทำงานมา 30 กว่าปี จะให้ไม่สนิทกับใครไม่ได้"
เมื่อถามถึงการกลับมารับตำแหน่งของพล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มองอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวพร้อมชี้ไปที่ผู้สื่อข่าวคนที่ถาม ว่า "ไม่เกี่ยวกับผม นั่นเรื่องน้องชาย คนละประเด็น"
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หนีทหาร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่รู้เรื่อง แต่ชายไทยอายุ 21 ปี ต้องเป็นทหาร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เขาสมัครเป็นทหาร ก็ชัดเจนว่าท่านเป็นทหาร ก็จบ
เมื่อถามว่า สังคมมองว่าทหารเข้าข้างพรรคการเมืองหนึ่ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี คิดไปเอง
เมื่อถามถึงการแก้ปัญหากลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มีเสื้อแดง คนไทยด้วยกันทั้งนั้น มีอะไรต้องคุยกัน ทั้งนี้ยังไม่ทราบการที่รัฐสภาจะขอกำลังทหารไปดูแลรัฐสภา เป็นเรื่องประธานรัฐสภา รับผิดชอบ
เมื่อถามถึงการเข้าพบพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ได้เข้าพบใคร ทั้งนี้ ตนจะเดินทางไปพบอดีตนายทหารผู้ใหญ่ทุกคนในกองทัพ รวมทั้งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ และจะให้นโยบายกระทรวงกลาโหมในวันประชุมสภากลาโหมวันที่ 31 ธ.ค.นี้
พล.อ. ประวิตร ยังกล่าวถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เป็นเรื่องของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เพราะมี พ.ร.บ.ความมั่นคง อยู่ ซึ่งกำหนดชัดเจนว่า มีนายกรัฐมนตรีเป็น ผอ.รมน. มีผู้บัญชาการทหารบกเป็น รอง ผอ.รมน. ส่วนกระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ให้การสนับสนุนในเรื่องที่กองทัพขอมา ขณะนี้ยังไม่ทราบกรณีที่รัฐบาลสั่งให้ยุบศูนย์อำนวยการบริหารจัดการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แต่ทางปฏิบัติไม่สามารถยุบได้ เพราะเป็นกฎหมาย
ทั้งนี้ การทำงานภาคใต้มี กอ.รมน.ภาค 4 ดูแลทั้ง ศอ.บต. และกองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) มีความชัดเจนในการทำงาน ซึ่ง ศอ.บต. ทำงานด้านการสนับสนุนเข้าถึง เข้าใจ พัฒนา ส่วนทหารทำเรื่องยุทธวิธี ทั้งนี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงนโยบายแนวคิดของรัฐบาลที่ต้องทำและสนับสนุนทุกฝ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
