ท่านผู้อ่านที่เคารพ ถ้าหากหัวข้อข้างบนนี้เป็นคำของผม ผมคงไม่พ้นที่จะถูกยำใหญ่จากองครักษ์พิทักษ์ประชาธิปัตย์เป็นแน่ แต่คำพูดข้างต้นนี้เป็นของ คุณจุติ ไกรฤกษ์ ขุนพลภาคเหนือคนหนึ่งของ พรรคประชาธิปัตย์
ผมขอเสนอภาพของ คุณจุติ และคำบรรยายภาพในเว็บ www. Abhisit .org และผนวกเพื่อน ส.ส.ของคุณจุติเข้าไปอีก 3 คนคือ คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ องอาจ คล้ามไพบูลย์ และ พล.อ.พิชาญเมธ ม่วงมณี ทั้งหมดเป็นรัฐมนตรีเงาของพรรคประชาธิปัตย์
ท่านผู้อ่านที่อยากรู้ว่ารัฐมนตรีเงามีผู้ใดบ้าง โปรดเปิดดู www.abhisit.org ใครได้ตำแหน่งตรงกับกระทรวงที่วางไว้หรือไม่ ส่วนคนที่พลาดเมื่อเทียบกับคนพรรคร่วมแล้วคุณภาพใกล้เคียงหรือแตกต่างกันเพียงใด ทำไมสภาหอการค้าฯ และภาคเอกชนจึงโวยวายยี้กันเป็นการใหญ่ การจัด ครม.ครั้งนี้ อาจทำให้เห็นว่าคำพูดและการกระทำของอภิสิทธิ์ตรงกันหรือไม่ ทำไมไม่จัดการให้เรียบร้อยภายในพรรคเสียก่อน ปล่อยให้ นิพิฏฐ์ กับ จุติ ออกมาสาวไส้ให้กากินทำไม คำแก้ตัวของสุเทพและอภิสิทธิ์ฟังขึ้นหรือไม่
“เปลว สีเงิน” ออกมาสะท้อนเสียงประชาชนว่า “ครม.อภิสิทธิ์จึง “ยี้แตก” กันทั้งเมือง!”
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านช่วยกันคิดว่าจะรับเหตุผลของ คุณเปลว ดีหรือไม่
เรื่องที่ 1 เปลว สีเงิน เขียนว่า แต่ในส่วนตัวผม ไม่ใช่ “ยี้” เพราะประชาธิปัตย์ไปเอาคนนอก 2 คนอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ นายวีรชัย วีระเมธีกุล มาเป็นรัฐมนตรี และก็ไม่ได้ “ยี้” เพราะเห็นว่าคนที่พลาดตำแหน่ง “ดีกว่า” คนนอก 2 คนนั้น! แต่ “ยี้” เพราะพรรคร่วมรัฐบาลที่ นายสุเทพ ยกกระทรวงหลักๆ ให้ไปเป็นของชำร่วยที่มาช่วยงานครั้งนี้ เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่องที่ 2 “แย่งเก้าอี้รัฐมนตรี ไม่น่ารังเกียจ” แต่การไม่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีแล้ว “เผาบ้าน” ตัวเองอย่างนี้ถือว่า “น่ารังเกียจ” ยิ่งเกิดกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ยกตนว่าเป็น “สถาบันการเมือง” “ผมว่าน่าขยะแขยง” คนอย่าง “นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ออกมาด่าประจานพรรคตัวเองอย่างน่าละอาย
ผมเคยพูดเรื่องที่ 1 ไปแล้วในบทความฉบับก่อน ส่วนเรื่องที่ 2 ถึงผมจะเคารพความคิดเห็นของ เปลว สีเงิน ผมก็เห็นใจทั้ง นิพิฏฐ์ และ จุติ และเห็นว่าการที่ทั้งสองออกมาพูดนั้นอาจจะจำเป็น ถ้าหากประชาธิปัตย์อยากจะปฏิรูปพรรคอย่างจริงจัง เพราะก๊วนผู้นำของประชาธิปัตย์กระทำเรื่องเยี่ยงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้ง นิพิฏฐ์ และ จุติ เป็นทรัพยากรชั้นดีของ ประชาธิปัตย์ จุติ นั้นเป็นทายาทรุ่น 3 ของนักการเมืองตัวอย่างของ พิษณุโลก เป็นหลานปู่ของ ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ เป็นลูกชายของ โกศล ไกรฤกษ์ ศิษย์ก้นกุฏิของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อย่างนี้เป็นนักการเมืองพันธุ์แท้ที่ควรสนับสนุน มิใช่จะมัวโอ๋แต่พวก ทายาทอสูร หรือนอมินีผัว-เมีย-ชู้ ผู้มีเงินที่ได้ดีเกร่อในการเมืองไทย
ผมชมเชย องอาจ คล้ามไพบูลย์ บัณฑิตจากสวีเดนและ ส.ส.ยอดขยันหลายสมัย และ พล.อ.พิชาญเมธ ที่มิได้ออกมาส่งเสียงเอะอะ แต่ผมหวังว่าทั้งสองคงจะร่วมขบวนการ “ค้นหาวิญญาณที่แท้จริงของประชาธิปัตย์” เพื่อจะให้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคของสมาชิกและประชาชนอย่างแท้จริง
“เสียใจ ผิดหวัง และเสื่อมศรัทธา” แม้นจะกลั่นออกมาจากใจของ นายจุติ แต่มีประชาธิปัตย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ได้ขานรับคำกล่าวดังกล่าว ด้วยการเดินขบวนออกจากประชาธิปัตย์ไปอย่างไม่ไยดี ไม่ว่าจะเป็น “เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด” ที่ย้ายกันคนละ 4—5 พรรคอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง เชาวรินทร์ ลัทธิศักดิ์ศิริ จาตุรนต์ ฉายแสง หรือพวกอุดมกการณ์กลับอย่าง สมัคร สุนทรเวช นอกจากกลุ่ม 16 มกรา นำด้วยเฉลิมพันธุ์ ศรีวิกรม์ ที่มี วีระ มุสิกพงศ์ ห้อยติ่งมาด้วย ทั้งคู่เป็นอดีตเลขาธิการพรรค เช่นเดียวกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ใช้เลขาธิการเปลืองที่สุดและแตกพรรคมากที่สุด ที่สำคัญประชาธิปัตย์เสียนักการเมืองน้ำดีมากมาย เช่น คึกฤทธิ์ ปราโมช ใหญ่ สวิตชาติ บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ อุทัย พิมพ์ใจชน บุญชู โรจนเสถียร พิจิตต รัตตกุล เป็นต้น
ถ้าประชาธิปัตย์ยัง “ค้นหาวิญญาณที่แท้จริง” ของตนไม่พบ และมีการกระทำที่ไม่ใช่สมาชิกเท่านั้น แต่เป็นประชาชนที่ต้อง “เสียใจ ผิดหวัง และเสื่อมศรัทธา” ครั้งแล้วครั้งเล่า ในไม่ช้าก็จะไม่มีประชาธิปัตย์ในทะเบียนพรรคการเมืองไทย
จุติ ไกรฤกษ์ รมว.(เงา) ช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รมว.(เงา) ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ผมได้รับจดหมายจากท่านผู้อ่าน เขียนมาจากเมืองยูสตัน รัฐเท็กซัส โรงเรียนเก่าของทักษิณ ผมเห็นว่าน่าอ่าน จึงขอคัดมาโดยมิได้ตัดทอน
ตอนนี้ใครๆ ต่างก็ดีใจที่ได้รัฐบาลใหม่แต่คนเดิม มีคนที่ทุกคนตั้งความหวังว่า น่าจะดีอยู่คนเดียว ก็คือ อภิสิทธิ์ และก็คิดว่า บุคคลนี้จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์เป็นผู้มากู้ชาติบ้านเมือง ก็ในเมื่อทุกคนต่างดีใจ ในฐานะคนไทยที่ชื่นชอบนิยมทำกันตามกระแส ผมก็คงบอกว่า ดีใจด้วย อย่างน้อยก็ช่วยผ่อนคลายการนองเลือดไปได้ ส่วนจะหวังการเมืองใหม่ที่ประชาชนจะผ่องใสในระยะยาวคงไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่จะเอาอะไรกับบ้านเมืองนี้ ที่ความคิดส่วนใหญ่ของคนที่อ่อนแอ พร้อมที่จะไหลตามกระแสของความคลั่งไคล้ในตัวบุคคล จนลืมหลักการ
1. ผมไม่เชื่อว่า อภิสิทธิ์จะสามารถทำอะไรภายใต้พรรคการเมืองที่ชื่อว่า “ประชาธิปัตย์” ได้ดีไปกว่านายกฯ คนอื่นเพราะอภิสิทธิ์เองต้องอาศัยคนอื่นหายใจ และอาศัยกำลังของคนอื่น นอกจากอาศัยพวกคนเก่ากินเมืองในพรรค ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังต้องอาศัยคนอื่นที่ร่วมกันโกงกินทำลายบ้านเมืองมาแล้วมาหนุนหลัง โดยสามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้ส่วนตัวและวงศ์ตระกูลว่า เป็นนายกฯ หนุ่มที่สุดในประเทศไทย แต่ประเทศชาติจะได้อะไร คงเป็นคำถามที่รอคำตอบ
ผมเองเป็นคนใต้แต่ไม่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไม่เคยเห็นพรรคพวกดีกว่าชาติบ้านเมือง พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองมานานแต่ก็ไม่ได้พัฒนาอะไร เคยขึ้นมาเป็นรัฐบาลกี่ครั้งส่วนใหญ่ก็ไปเพราะการโกงกินเหมือนกัน และก็ลงคะแนนไม่เลือกใครเกือบทุกครั้ง เนื่องจากยังหาคนดีไม่ได้ ก็ขอไม่ร่วมเลือกคนมาทำลายชาติบ้านเมือง นั่นเป็นทางเลือกเดียวที่ผมทำได้ ช่วยไม่ได้ก็ไม่ขอร่วมทำลายชาติบ้านเมือง มีอยู่เพียงครั้งเดียวที่จำต้องเลือกประชาธิปัตย์ในสมัยของไอ้ทรราชหน้าเหลี่ยม เพราะหวังต้องการเลือกให้หมาต่างกลุ่มมากัดแข้งกัดขากันเอง
2. สำหรับไอ้ห้อยเนวินแล้ว ผมว่า เหตุผลเดียวที่เขาจะช่วยประชาธิปัตย์ทำลายทักษิณ ก็คงเพียงทำลายชื่อของทักษิณให้หมดไปจากคนอีสาน เนื่องจากไม่ต้องการให้มีกำลังกลับมาแก้แค้นได้ในภายหลัง นับจากนี้เราจะเห็นชื่อของทักษิณค่อยๆ หายไปพร้อมกับความเจ็บแค้นข้ามชาติที่ฝังอยู่ในจิตใจของทรราชเอง นี่แหละพิษสงของนักกินเมืองไทย แต่เขาจะใช้วิธีการเดียวกับทักษิณ เพราะเขารู้เหมือนคนไทยทุกคนว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศนี้ ใครก็ซื้อได้ ขอให้เพียงมีเสียงข้างมากจะลากเอาโจรมาเป็นนายกฯ ก็ย่อมได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังซื้อได้ เรื่องของผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างชาวบ้าน หัวคะแนน และนักกินเมืองจึงเป็นเรื่องเดิมๆ เพียงแต่มาเริ่มต้นกับผู้ร้ายคนใหม่จากบุรีรัมย์ ไอ้ห้อยเนวินย่อมรู้ความสามารถของตนเองดีว่า ศักยภาพในเวลานี้ ขอเพียงให้สีดำมันจางเพราะแสงสว่างจ้าของอภิสิทธิ์ มันก็เป็นนายกฯ ประเทศนี้ได้เหมือนกัน
นับจากนี้ไปยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน รอให้นายมาร์คเป็นนายกฯ ขัดตาทัพไปก่อน ส่วนเขาก็ทำงานสร้างเครือข่ายขุมกำลังไปเงียบๆ ในวันข้างหน้าเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ เราจะเห็นถนนทุกสายทั้งอีสาน กลาง เหนือ จะวิ่งเข้าหาไอ้ห้อยเนวิน เพราะนี่เป็นธรรมชาติของสัตว์กินเมืองที่เห็นหน้าก็รู้ใจกันหมด และอำนาจต่อรองของเขาจะมากมายยิ่งใหญ่แน่นอน ซึ่งทางเดียวที่จะดับฝันส่วนตัวของมันได้อยู่ที่ไม่รอดจากคดีที่อยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่นักกินเมืองพวกนี้ก็กลายพันธุ์ได้เหมือนไวรัส เพราะฉะนั้นเราจะเห็นญาติพี่น้องลูกเมียมันเป็นตัวตายตัวแทนขึ้นมามีอำนาจได้เหมือนเดิม
3. และถ้าใครคิดว่า นักกินเมืองพวกนี้จะกลับมาใหญ่ไม่ได้เพราะมีทหารใหญ่คอยขวาง ก็ขอให้คิดดูว่า ครั้งนี้ที่ไอ้ห้อยเข้ามาร่วมรัฐบาลทั้งด้วยเหตุผลที่คนหลับตาเชื่อว่า กลับใจรักชาติ และด้วยเหตุผลของการฮึ่มจากทหารใหญ่ หลังจากที่เสียฟอร์มปฏิวัติเงียบ แต่พวกทรราชไม่สนใจ เลยต้องอาศัยลูกขู่กับพวกที่ยังพอจะตกลงผลประโยชน์ร่วมกันได้แบบเนวินและพวก รัฐบาลครั้งนี้จึงเป็นความร่วมแรงร่วมใจของโจรภายใต้ภาพลักษณ์ของคนดี ในวันข้างหน้าคนอย่างเนวินที่เป็นคนประนีประนอม “ยอมเสียห้าเพื่อได้สิบ” ซึ่งผิดกับทรราชหน้าเหลี่ยม จึงเป็นคนที่ทหารใหญ่ย่อมใช้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์
นี่คืออนาคตการเมืองไทยในวันข้างหน้า ใช่หรือไม่ใช่ให้คอยดูกันต่อไป และสำหรับผมแล้ว ไม่เคยเห็นว่า มีราชสีห์ที่แท้จริงตัวไหนจะยอมลดตัวไปเป็นหัวหน้าของฝูงหมา นอกจากว่า ราชสีห์ตัวนั้นเป็นเพียง “หมาในร่างราชสีห์” ส่วนใครคิดว่า ถ้าเอาใจช่วยแล้ว จะช่วยให้บ้านเมืองมันดีขึ้น ก็เชิญตามสบาย แต่ผมไม่เคยเชื่อ ไม่งั้นคนทั้งโลกคงนั่งสวดมนต์ให้ใจสบาย แล้วขอให้รวย ให้มีความสุข กันได้ทั้งโลกแล้ว
คนผ่านทาง
ผมขอเสนอภาพของ คุณจุติ และคำบรรยายภาพในเว็บ www. Abhisit .org และผนวกเพื่อน ส.ส.ของคุณจุติเข้าไปอีก 3 คนคือ คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ องอาจ คล้ามไพบูลย์ และ พล.อ.พิชาญเมธ ม่วงมณี ทั้งหมดเป็นรัฐมนตรีเงาของพรรคประชาธิปัตย์
ท่านผู้อ่านที่อยากรู้ว่ารัฐมนตรีเงามีผู้ใดบ้าง โปรดเปิดดู www.abhisit.org ใครได้ตำแหน่งตรงกับกระทรวงที่วางไว้หรือไม่ ส่วนคนที่พลาดเมื่อเทียบกับคนพรรคร่วมแล้วคุณภาพใกล้เคียงหรือแตกต่างกันเพียงใด ทำไมสภาหอการค้าฯ และภาคเอกชนจึงโวยวายยี้กันเป็นการใหญ่ การจัด ครม.ครั้งนี้ อาจทำให้เห็นว่าคำพูดและการกระทำของอภิสิทธิ์ตรงกันหรือไม่ ทำไมไม่จัดการให้เรียบร้อยภายในพรรคเสียก่อน ปล่อยให้ นิพิฏฐ์ กับ จุติ ออกมาสาวไส้ให้กากินทำไม คำแก้ตัวของสุเทพและอภิสิทธิ์ฟังขึ้นหรือไม่
“เปลว สีเงิน” ออกมาสะท้อนเสียงประชาชนว่า “ครม.อภิสิทธิ์จึง “ยี้แตก” กันทั้งเมือง!”
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านช่วยกันคิดว่าจะรับเหตุผลของ คุณเปลว ดีหรือไม่
เรื่องที่ 1 เปลว สีเงิน เขียนว่า แต่ในส่วนตัวผม ไม่ใช่ “ยี้” เพราะประชาธิปัตย์ไปเอาคนนอก 2 คนอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ นายวีรชัย วีระเมธีกุล มาเป็นรัฐมนตรี และก็ไม่ได้ “ยี้” เพราะเห็นว่าคนที่พลาดตำแหน่ง “ดีกว่า” คนนอก 2 คนนั้น! แต่ “ยี้” เพราะพรรคร่วมรัฐบาลที่ นายสุเทพ ยกกระทรวงหลักๆ ให้ไปเป็นของชำร่วยที่มาช่วยงานครั้งนี้ เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่องที่ 2 “แย่งเก้าอี้รัฐมนตรี ไม่น่ารังเกียจ” แต่การไม่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีแล้ว “เผาบ้าน” ตัวเองอย่างนี้ถือว่า “น่ารังเกียจ” ยิ่งเกิดกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ยกตนว่าเป็น “สถาบันการเมือง” “ผมว่าน่าขยะแขยง” คนอย่าง “นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ออกมาด่าประจานพรรคตัวเองอย่างน่าละอาย
ผมเคยพูดเรื่องที่ 1 ไปแล้วในบทความฉบับก่อน ส่วนเรื่องที่ 2 ถึงผมจะเคารพความคิดเห็นของ เปลว สีเงิน ผมก็เห็นใจทั้ง นิพิฏฐ์ และ จุติ และเห็นว่าการที่ทั้งสองออกมาพูดนั้นอาจจะจำเป็น ถ้าหากประชาธิปัตย์อยากจะปฏิรูปพรรคอย่างจริงจัง เพราะก๊วนผู้นำของประชาธิปัตย์กระทำเรื่องเยี่ยงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้ง นิพิฏฐ์ และ จุติ เป็นทรัพยากรชั้นดีของ ประชาธิปัตย์ จุติ นั้นเป็นทายาทรุ่น 3 ของนักการเมืองตัวอย่างของ พิษณุโลก เป็นหลานปู่ของ ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ เป็นลูกชายของ โกศล ไกรฤกษ์ ศิษย์ก้นกุฏิของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อย่างนี้เป็นนักการเมืองพันธุ์แท้ที่ควรสนับสนุน มิใช่จะมัวโอ๋แต่พวก ทายาทอสูร หรือนอมินีผัว-เมีย-ชู้ ผู้มีเงินที่ได้ดีเกร่อในการเมืองไทย
ผมชมเชย องอาจ คล้ามไพบูลย์ บัณฑิตจากสวีเดนและ ส.ส.ยอดขยันหลายสมัย และ พล.อ.พิชาญเมธ ที่มิได้ออกมาส่งเสียงเอะอะ แต่ผมหวังว่าทั้งสองคงจะร่วมขบวนการ “ค้นหาวิญญาณที่แท้จริงของประชาธิปัตย์” เพื่อจะให้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคของสมาชิกและประชาชนอย่างแท้จริง
“เสียใจ ผิดหวัง และเสื่อมศรัทธา” แม้นจะกลั่นออกมาจากใจของ นายจุติ แต่มีประชาธิปัตย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ได้ขานรับคำกล่าวดังกล่าว ด้วยการเดินขบวนออกจากประชาธิปัตย์ไปอย่างไม่ไยดี ไม่ว่าจะเป็น “เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด” ที่ย้ายกันคนละ 4—5 พรรคอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง เชาวรินทร์ ลัทธิศักดิ์ศิริ จาตุรนต์ ฉายแสง หรือพวกอุดมกการณ์กลับอย่าง สมัคร สุนทรเวช นอกจากกลุ่ม 16 มกรา นำด้วยเฉลิมพันธุ์ ศรีวิกรม์ ที่มี วีระ มุสิกพงศ์ ห้อยติ่งมาด้วย ทั้งคู่เป็นอดีตเลขาธิการพรรค เช่นเดียวกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ใช้เลขาธิการเปลืองที่สุดและแตกพรรคมากที่สุด ที่สำคัญประชาธิปัตย์เสียนักการเมืองน้ำดีมากมาย เช่น คึกฤทธิ์ ปราโมช ใหญ่ สวิตชาติ บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ อุทัย พิมพ์ใจชน บุญชู โรจนเสถียร พิจิตต รัตตกุล เป็นต้น
ถ้าประชาธิปัตย์ยัง “ค้นหาวิญญาณที่แท้จริง” ของตนไม่พบ และมีการกระทำที่ไม่ใช่สมาชิกเท่านั้น แต่เป็นประชาชนที่ต้อง “เสียใจ ผิดหวัง และเสื่อมศรัทธา” ครั้งแล้วครั้งเล่า ในไม่ช้าก็จะไม่มีประชาธิปัตย์ในทะเบียนพรรคการเมืองไทย
จุติ ไกรฤกษ์ รมว.(เงา) ช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รมว.(เงา) ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ผมได้รับจดหมายจากท่านผู้อ่าน เขียนมาจากเมืองยูสตัน รัฐเท็กซัส โรงเรียนเก่าของทักษิณ ผมเห็นว่าน่าอ่าน จึงขอคัดมาโดยมิได้ตัดทอน
ตอนนี้ใครๆ ต่างก็ดีใจที่ได้รัฐบาลใหม่แต่คนเดิม มีคนที่ทุกคนตั้งความหวังว่า น่าจะดีอยู่คนเดียว ก็คือ อภิสิทธิ์ และก็คิดว่า บุคคลนี้จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์เป็นผู้มากู้ชาติบ้านเมือง ก็ในเมื่อทุกคนต่างดีใจ ในฐานะคนไทยที่ชื่นชอบนิยมทำกันตามกระแส ผมก็คงบอกว่า ดีใจด้วย อย่างน้อยก็ช่วยผ่อนคลายการนองเลือดไปได้ ส่วนจะหวังการเมืองใหม่ที่ประชาชนจะผ่องใสในระยะยาวคงไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่จะเอาอะไรกับบ้านเมืองนี้ ที่ความคิดส่วนใหญ่ของคนที่อ่อนแอ พร้อมที่จะไหลตามกระแสของความคลั่งไคล้ในตัวบุคคล จนลืมหลักการ
1. ผมไม่เชื่อว่า อภิสิทธิ์จะสามารถทำอะไรภายใต้พรรคการเมืองที่ชื่อว่า “ประชาธิปัตย์” ได้ดีไปกว่านายกฯ คนอื่นเพราะอภิสิทธิ์เองต้องอาศัยคนอื่นหายใจ และอาศัยกำลังของคนอื่น นอกจากอาศัยพวกคนเก่ากินเมืองในพรรค ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังต้องอาศัยคนอื่นที่ร่วมกันโกงกินทำลายบ้านเมืองมาแล้วมาหนุนหลัง โดยสามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้ส่วนตัวและวงศ์ตระกูลว่า เป็นนายกฯ หนุ่มที่สุดในประเทศไทย แต่ประเทศชาติจะได้อะไร คงเป็นคำถามที่รอคำตอบ
ผมเองเป็นคนใต้แต่ไม่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไม่เคยเห็นพรรคพวกดีกว่าชาติบ้านเมือง พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองมานานแต่ก็ไม่ได้พัฒนาอะไร เคยขึ้นมาเป็นรัฐบาลกี่ครั้งส่วนใหญ่ก็ไปเพราะการโกงกินเหมือนกัน และก็ลงคะแนนไม่เลือกใครเกือบทุกครั้ง เนื่องจากยังหาคนดีไม่ได้ ก็ขอไม่ร่วมเลือกคนมาทำลายชาติบ้านเมือง นั่นเป็นทางเลือกเดียวที่ผมทำได้ ช่วยไม่ได้ก็ไม่ขอร่วมทำลายชาติบ้านเมือง มีอยู่เพียงครั้งเดียวที่จำต้องเลือกประชาธิปัตย์ในสมัยของไอ้ทรราชหน้าเหลี่ยม เพราะหวังต้องการเลือกให้หมาต่างกลุ่มมากัดแข้งกัดขากันเอง
2. สำหรับไอ้ห้อยเนวินแล้ว ผมว่า เหตุผลเดียวที่เขาจะช่วยประชาธิปัตย์ทำลายทักษิณ ก็คงเพียงทำลายชื่อของทักษิณให้หมดไปจากคนอีสาน เนื่องจากไม่ต้องการให้มีกำลังกลับมาแก้แค้นได้ในภายหลัง นับจากนี้เราจะเห็นชื่อของทักษิณค่อยๆ หายไปพร้อมกับความเจ็บแค้นข้ามชาติที่ฝังอยู่ในจิตใจของทรราชเอง นี่แหละพิษสงของนักกินเมืองไทย แต่เขาจะใช้วิธีการเดียวกับทักษิณ เพราะเขารู้เหมือนคนไทยทุกคนว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศนี้ ใครก็ซื้อได้ ขอให้เพียงมีเสียงข้างมากจะลากเอาโจรมาเป็นนายกฯ ก็ย่อมได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังซื้อได้ เรื่องของผลประโยชน์ต่างตอบแทนระหว่างชาวบ้าน หัวคะแนน และนักกินเมืองจึงเป็นเรื่องเดิมๆ เพียงแต่มาเริ่มต้นกับผู้ร้ายคนใหม่จากบุรีรัมย์ ไอ้ห้อยเนวินย่อมรู้ความสามารถของตนเองดีว่า ศักยภาพในเวลานี้ ขอเพียงให้สีดำมันจางเพราะแสงสว่างจ้าของอภิสิทธิ์ มันก็เป็นนายกฯ ประเทศนี้ได้เหมือนกัน
นับจากนี้ไปยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน รอให้นายมาร์คเป็นนายกฯ ขัดตาทัพไปก่อน ส่วนเขาก็ทำงานสร้างเครือข่ายขุมกำลังไปเงียบๆ ในวันข้างหน้าเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ เราจะเห็นถนนทุกสายทั้งอีสาน กลาง เหนือ จะวิ่งเข้าหาไอ้ห้อยเนวิน เพราะนี่เป็นธรรมชาติของสัตว์กินเมืองที่เห็นหน้าก็รู้ใจกันหมด และอำนาจต่อรองของเขาจะมากมายยิ่งใหญ่แน่นอน ซึ่งทางเดียวที่จะดับฝันส่วนตัวของมันได้อยู่ที่ไม่รอดจากคดีที่อยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่นักกินเมืองพวกนี้ก็กลายพันธุ์ได้เหมือนไวรัส เพราะฉะนั้นเราจะเห็นญาติพี่น้องลูกเมียมันเป็นตัวตายตัวแทนขึ้นมามีอำนาจได้เหมือนเดิม
3. และถ้าใครคิดว่า นักกินเมืองพวกนี้จะกลับมาใหญ่ไม่ได้เพราะมีทหารใหญ่คอยขวาง ก็ขอให้คิดดูว่า ครั้งนี้ที่ไอ้ห้อยเข้ามาร่วมรัฐบาลทั้งด้วยเหตุผลที่คนหลับตาเชื่อว่า กลับใจรักชาติ และด้วยเหตุผลของการฮึ่มจากทหารใหญ่ หลังจากที่เสียฟอร์มปฏิวัติเงียบ แต่พวกทรราชไม่สนใจ เลยต้องอาศัยลูกขู่กับพวกที่ยังพอจะตกลงผลประโยชน์ร่วมกันได้แบบเนวินและพวก รัฐบาลครั้งนี้จึงเป็นความร่วมแรงร่วมใจของโจรภายใต้ภาพลักษณ์ของคนดี ในวันข้างหน้าคนอย่างเนวินที่เป็นคนประนีประนอม “ยอมเสียห้าเพื่อได้สิบ” ซึ่งผิดกับทรราชหน้าเหลี่ยม จึงเป็นคนที่ทหารใหญ่ย่อมใช้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์
นี่คืออนาคตการเมืองไทยในวันข้างหน้า ใช่หรือไม่ใช่ให้คอยดูกันต่อไป และสำหรับผมแล้ว ไม่เคยเห็นว่า มีราชสีห์ที่แท้จริงตัวไหนจะยอมลดตัวไปเป็นหัวหน้าของฝูงหมา นอกจากว่า ราชสีห์ตัวนั้นเป็นเพียง “หมาในร่างราชสีห์” ส่วนใครคิดว่า ถ้าเอาใจช่วยแล้ว จะช่วยให้บ้านเมืองมันดีขึ้น ก็เชิญตามสบาย แต่ผมไม่เคยเชื่อ ไม่งั้นคนทั้งโลกคงนั่งสวดมนต์ให้ใจสบาย แล้วขอให้รวย ให้มีความสุข กันได้ทั้งโลกแล้ว
คนผ่านทาง