วิกฤตนมดิบในประเทศจ่อคิวล้นตลาดลากยาว 6 เดือน หลังราคานมผงนำเข้าราคาวูบกว่า 50% เหลือ 2,200 เหรียญสหรัฐต่อตัน ผู้ประกอบการแห่ออร์เดอร์โควต้านำเข้าพุ่ง 80-90% อ.ส.ค.เล็งชงภาครัฐเพิ่มงบอีก 500 ล้านบาท ขยายโครงการนมโรงเรียนเพิ่ม ด้านไทย-เดนมาร์ค ปีหน้าเท 60 ล้านบาท เพิ่มความถี่จัดแคมเปญกระตุ้นยอด แก้เกี้ยวตลาดนม 3.3 หมื่นล้านบาท โตน้อย
นายอำนาจ ธีระวนิช ประธานกรรมการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งชาติไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมพร้อมดื่มไทย-เดนมาร์ค เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดนมดิบภายในประเทศเริ่มประสบกับปัญหาภาวะล้นตลาดประมาณ 200 ตันต่อวัน มาได้ 1 เดือนแล้ว จากกำลังการผลิตนมดิบโดยรวม 2,200-2,300 ตันต่อวัน และคาดว่าปัญหานมดิบล้นตลาดระยะยาวถึง 6 เดือน เนื่องจากช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานมผงจากต่างประเทศราคาลดลงจาก 4,700-4,800 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาเป็น 2,200 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือคิดเป็นราคา10.50 บาทต่อลิตร ถูกกว่านมดิบซึ่งมีราคา 18 บาทต่อลิตร ทำให้ผู้ประกอบการนำเข้านมผงปีนี้ถึง 5.7 หมื่นตันต่อปี ซึ่งเท่ากับใช้โควต้านำเข้านมผงถึง 80-90% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาใช้โควต้า 40%
“ภาวะตลาดนมเปลี่ยนแปลงไว ปี 2549-2550 ช่วงที่ภาวะโลกร้อนทำให้นมผงมีราคาสูงขึ้นและขาดแคลน แต่พอปลายปี 51 นมผงราคาถูกลงกว่า 50% ส่วนหนึ่งเพราะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนมนำเข้านมจากประเทศจีน ทำให้สต็อกนมผงในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีมากขึ้นและปัญหาสารเมลามีน ส่งผลให้อุตสาหกรรมนมชะงักมาระยะหนึ่ง”
ทั้งนี้ในวันที่ 22 ธันวาคม นี้ ทางองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งชาติไทย ร่วมกับคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม เพื่อหาแนวทางให้ทางภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันช่วยเหลือเกษตรกรที่เลี้ยงโคนม โดยแนวทางขยายโครงการนมโรงเรียนเพิ่มจาก 230 วัน เป็น 250 วัน ซึ่งจะมีผลทำให้ภาครัฐต้องเพิ่มงบประมาณในส่วนโครงการนมโรงเรียน 500 ล้านบาท จากปัจจุบัน 6,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 700 ตันต่อวัน และขอความร่วมมือภาคเอกชนหันมาใช้นมดิบในอุตสาหกรรม
ล่าสุดได้ดำเนินกิจกรรมเทศกาลของขวัญ มอบความรัก ความห่วงใย โดยเชิญชวนให้คนไทยซื้อนมไทย-เดนมาร์ค เป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่ เป็นต้น เพื่อลดปัญหานมดิบล้นตลาด จากปัจจุบันไทย-เดนมาร์ค ใช้นมดิบ 1.2-1.3 แสนตันต่อปี และปีหน้าตั้งเป้าเพิ่มเป็น 1.4 แสนตันต่อปี
**ปี52อุตฯนมผจญเศรษฐกิจตลาดไม่โต**
นายอำนาจ กล่าวเพิ่มว่า แนวโน้มตลาดนมพร้อมดื่มมูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท ในปีหน้าเติบโต 2-3% เมื่อเทียบกับปีนี้โต 2.8% เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แผนการตลาดในปีหน้านี้ได้ทุ่มงบ 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ใช้ราว 30-40 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยการเพิ่มความถี่ในการทำตลาด อาทิ แคมเปญชิงโชค และกิจกรรมต่างๆ ในเชิงรุก
พร้อมกันนี้ปีหน้ายังได้เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่นมพร้อมดื่มพร่องมันเนยลงสู่ตลาดในเดือนมกราคม นี้ ส่วนในปี 2553 วางแผนเปิดตัวนมพาสเจอร์ไรซ์ ออร์แกนิกค์ นมพรีเมียมเจาะตลาดนิชมาร์เก็ต ขณะที่ปีหน้านี้ได้เตรียมปรับปรุงบรรจุภัณฑ์รูปแบบสลิมมากขึ้น เพื่อให้ความทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันฐานลูกค้าเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ 60% คนรุ่นใหม่ 40%
ขณะเดียวกันเน้นขยายตัวแทนจำหน่ายในส่วนภาคกลาง จากปัจจุบันนมไทย-เดนมาร์ค มีความแข็งแกร่งในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยล่าสุดได้เพิ่มตัวแทนจำหน่ายภาคกลางฝั่งธน จากปัจจุบันมีเพียง 1 ราย เพื่อให้การกระจายสินค้าครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้จากการเปิดตัวนมพร่องมันเนย ตั้งเป้ามียอดขายเพิ่มขึ้น 500 ล้านบาท
“ปีหน้าเร่งทำการสื่อสารถึงการดื่มนมพร้อมดื่ม ที่มาจากนมดิบ 100% มีโภชนาการมากกว่านมผง โดยเฉพาะคุณประโยชน์ในเรื่องของแคลเซียม ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นของนมพร้อมดื่มไทย-เดนมาร์ค”
สำหรับสิ้นปีนี้ไทย-เดนมาร์ค ตั้งเป้า 4,000 ล้านบาท หรือโต 7-10% ส่วนปีหน้าตั้งเป้ารายได้ 4,700-5,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 32-33% เป็น 35% รั้งอันดับ 2 รองจากโฟร์โมสต์ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 53-54% หนองโพ 9-10% จากมูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท โดยผลประกอบการช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ไทย-เดนมาร์ค เติบโต 5.2% ส่วนหนึ่งเพราะการปนเปื้อนสารเมลามีนในนมผง ทำให้ผู้บริโภคหันมาดื่มนมพร้อมดื่มที่ผลิตจากนมดิบ 100% และจากการทำตลาดสร้างการรับรู้ว่าไทย-เดนมาร์คไม่มีสารเมลานีน
นายอำนาจ ธีระวนิช ประธานกรรมการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งชาติไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมพร้อมดื่มไทย-เดนมาร์ค เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดนมดิบภายในประเทศเริ่มประสบกับปัญหาภาวะล้นตลาดประมาณ 200 ตันต่อวัน มาได้ 1 เดือนแล้ว จากกำลังการผลิตนมดิบโดยรวม 2,200-2,300 ตันต่อวัน และคาดว่าปัญหานมดิบล้นตลาดระยะยาวถึง 6 เดือน เนื่องจากช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานมผงจากต่างประเทศราคาลดลงจาก 4,700-4,800 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาเป็น 2,200 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือคิดเป็นราคา10.50 บาทต่อลิตร ถูกกว่านมดิบซึ่งมีราคา 18 บาทต่อลิตร ทำให้ผู้ประกอบการนำเข้านมผงปีนี้ถึง 5.7 หมื่นตันต่อปี ซึ่งเท่ากับใช้โควต้านำเข้านมผงถึง 80-90% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาใช้โควต้า 40%
“ภาวะตลาดนมเปลี่ยนแปลงไว ปี 2549-2550 ช่วงที่ภาวะโลกร้อนทำให้นมผงมีราคาสูงขึ้นและขาดแคลน แต่พอปลายปี 51 นมผงราคาถูกลงกว่า 50% ส่วนหนึ่งเพราะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนมนำเข้านมจากประเทศจีน ทำให้สต็อกนมผงในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีมากขึ้นและปัญหาสารเมลามีน ส่งผลให้อุตสาหกรรมนมชะงักมาระยะหนึ่ง”
ทั้งนี้ในวันที่ 22 ธันวาคม นี้ ทางองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งชาติไทย ร่วมกับคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม เพื่อหาแนวทางให้ทางภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันช่วยเหลือเกษตรกรที่เลี้ยงโคนม โดยแนวทางขยายโครงการนมโรงเรียนเพิ่มจาก 230 วัน เป็น 250 วัน ซึ่งจะมีผลทำให้ภาครัฐต้องเพิ่มงบประมาณในส่วนโครงการนมโรงเรียน 500 ล้านบาท จากปัจจุบัน 6,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 700 ตันต่อวัน และขอความร่วมมือภาคเอกชนหันมาใช้นมดิบในอุตสาหกรรม
ล่าสุดได้ดำเนินกิจกรรมเทศกาลของขวัญ มอบความรัก ความห่วงใย โดยเชิญชวนให้คนไทยซื้อนมไทย-เดนมาร์ค เป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่ เป็นต้น เพื่อลดปัญหานมดิบล้นตลาด จากปัจจุบันไทย-เดนมาร์ค ใช้นมดิบ 1.2-1.3 แสนตันต่อปี และปีหน้าตั้งเป้าเพิ่มเป็น 1.4 แสนตันต่อปี
**ปี52อุตฯนมผจญเศรษฐกิจตลาดไม่โต**
นายอำนาจ กล่าวเพิ่มว่า แนวโน้มตลาดนมพร้อมดื่มมูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท ในปีหน้าเติบโต 2-3% เมื่อเทียบกับปีนี้โต 2.8% เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แผนการตลาดในปีหน้านี้ได้ทุ่มงบ 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ใช้ราว 30-40 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยการเพิ่มความถี่ในการทำตลาด อาทิ แคมเปญชิงโชค และกิจกรรมต่างๆ ในเชิงรุก
พร้อมกันนี้ปีหน้ายังได้เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่นมพร้อมดื่มพร่องมันเนยลงสู่ตลาดในเดือนมกราคม นี้ ส่วนในปี 2553 วางแผนเปิดตัวนมพาสเจอร์ไรซ์ ออร์แกนิกค์ นมพรีเมียมเจาะตลาดนิชมาร์เก็ต ขณะที่ปีหน้านี้ได้เตรียมปรับปรุงบรรจุภัณฑ์รูปแบบสลิมมากขึ้น เพื่อให้ความทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันฐานลูกค้าเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ 60% คนรุ่นใหม่ 40%
ขณะเดียวกันเน้นขยายตัวแทนจำหน่ายในส่วนภาคกลาง จากปัจจุบันนมไทย-เดนมาร์ค มีความแข็งแกร่งในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยล่าสุดได้เพิ่มตัวแทนจำหน่ายภาคกลางฝั่งธน จากปัจจุบันมีเพียง 1 ราย เพื่อให้การกระจายสินค้าครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้จากการเปิดตัวนมพร่องมันเนย ตั้งเป้ามียอดขายเพิ่มขึ้น 500 ล้านบาท
“ปีหน้าเร่งทำการสื่อสารถึงการดื่มนมพร้อมดื่ม ที่มาจากนมดิบ 100% มีโภชนาการมากกว่านมผง โดยเฉพาะคุณประโยชน์ในเรื่องของแคลเซียม ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นของนมพร้อมดื่มไทย-เดนมาร์ค”
สำหรับสิ้นปีนี้ไทย-เดนมาร์ค ตั้งเป้า 4,000 ล้านบาท หรือโต 7-10% ส่วนปีหน้าตั้งเป้ารายได้ 4,700-5,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 32-33% เป็น 35% รั้งอันดับ 2 รองจากโฟร์โมสต์ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 53-54% หนองโพ 9-10% จากมูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท โดยผลประกอบการช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ไทย-เดนมาร์ค เติบโต 5.2% ส่วนหนึ่งเพราะการปนเปื้อนสารเมลามีนในนมผง ทำให้ผู้บริโภคหันมาดื่มนมพร้อมดื่มที่ผลิตจากนมดิบ 100% และจากการทำตลาดสร้างการรับรู้ว่าไทย-เดนมาร์คไม่มีสารเมลานีน