xs
xsm
sm
md
lg

อภิสิทธิ์จะอยู่ครบเทอม?

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

หลังเสร็จพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวสุนทรพจน์แรกต่อประชาชนชาวไทยทั้งประเทศและชาวต่างประเทศเพียงสั้นๆ แต่ได้ความครบถ้วนครบธรรม และได้ครองใจผู้คนจนเกิดเป็นกระแสนิยมใหญ่ขึ้นในประเทศแล้ว

แสงสว่างแห่งธรรมที่จะกอบกู้คุณงามความดีในแผ่นดินให้ฟื้นคืนมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้ปรากฏขึ้นแล้ว

ความหวังของประชาชนที่จะได้อยู่ในประเทศไทยแบบที่เคยอยู่กันมาปรากฏแสงเรืองรองให้เห็นแล้ว ความหวังของชาวต่างประเทศที่จะได้เห็นประเทศไทยเป็นสยามเมืองยิ้ม น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน ก็ปรากฏแสงเรืองรองให้เห็นแล้วเช่นเดียวกัน

ในขณะนี้แม้ว่าเสียงสนับสนุนรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีเพียง 238 เสียง มากกว่าเสียงของฝ่ายค้านซึ่งมีจำนวน 195 เสียง ไม่มากนักก็ตาม แต่สถานการณ์ก็ปรากฏแนวโน้มให้เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลใหม่จะมีเสถียรภาพและสามารถอยู่ได้ครบเทอม

ทำไมจึงกล่าวว่ารัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะอยู่ครบเทอม ทั้งๆ ที่ในขณะนี้มีผู้คนจำนวนมากวิตกกังวลว่ารัฐบาลใหม่จะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน และจะต้องยุบสภาฯ ในเวลาไม่นานช้าเท่าใดนัก

เหตุที่กล่าวฉะนี้ย่อมมีมาแต่เหตุและผลบางประการ ที่สำคัญคือ

ประการแรก
การบนฟ้าอากาศบ่งบอกว่าฟ้าเป็นใจให้ความเมตตาปรานีแก่ปวงชนชาวไทยที่ต้องประสบภัยยากเข็ญเป็นทุกข์เป็นร้อนมาหลายปีดีดักแล้ว มีปรากฏการณ์ที่สำคัญคือ

(1) ดาวประจำพระองค์พระมหากษัตริย์บนฟากฟ้าข้างทิศอุดรมีความรุ่งเรืองแจ่มใส (ดูจาก www.paisalvision.com) ซึ่งบ่งบอกว่าบ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุข

(2) คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ดาวพฤหัสซึ่งเป็นประธานแห่งศุภเคราะห์เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดีและความเป็นธรรม โคจรเข้าเรือนกัมมะในดวงเมืองอันเป็นตำแหน่งของรัฐบาล ซึ่งเดิมมีราหูโคจรอยู่ในราศีนี้ ทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพโจรครองเมืองและมืดมิด

เมื่อดาวพฤหัสบดีโคจรเข้าไปในเรือนของรัฐบาล แม้จะมีกำลังเป็นนิจ ไม่กล้าแข็งนัก แต่เป็นธรรมชาติของแสงสว่างไม่ว่ามากและน้อยประการใดย่อมสามารถกำจัดความมืดมิดให้คลายสลายไปได้เป็นลำดับๆ ไป ดังที่ปรากฏเคล็ดพยากรณ์ในคัมภีร์จักรทีปนีจรของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีที่ว่า “วิสมห้าประการกล” นั่นแล

(3) เมื่อผลการเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้น มีข่าวว่าประธานรัฐสภาได้ทำเรื่องกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตั้งแต่ตอนบ่ายวันที่ 15 ธันวาคม 2551 แต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประธานรัฐสภาเข้าเฝ้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในช่วงเย็นวันที่ 17 ธันวาคม 2551

วันที่ 15 ธันวาคม 2551 นั้นพระอาทิตย์ยังโคจรอยู่ในราศีพิจิก เป็นมรณะของดวงเมือง วันที่ 16 ธันวาคม 2551 เป็นรอยต่อแห่งการย้ายราศี มิใช่ฤกษ์ดีของการใหญ่ในแผ่นดิน แต่วันเวลาในวันที่ 17 ธันวาคม 2551 นั้น พระอาทิตย์โคจรบริบูรณ์อยู่ในเรือนศุภะของดวงเมือง เป็นเรือนประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ และมีพฤหัสเป็นเจ้าเรือน

พระจันทร์โคจรย้ายเข้าราศีสิงห์อันเป็นเรือนของประชาชน ส่งกระแสตรงไปยังเรือนของพระมหากษัตริย์และลัคนาดวงเมือง เข้าเกณฑ์สุริยันจันทรา และได้เกณฑ์ดิถีราชาโชคซ้ำเข้าไปอีก

แม้ว่าพระจันทร์จะโคจรอยู่ในกลุ่มดาวมาฆะ แต่ก็เป็นฤกษ์อันสมบูรณ์ คือเป็นบูรณฤกษ์ ถึงจะประกอบด้วยทลิทโทแห่งฤกษ์ซึ่งบ่งบอกความหมายที่ต้องทำการงานอันหนักก็เป็นการสมควรแก่ฐานะรัฐบาลใหม่แล้ว ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้แสดงเจตนาว่าพร้อมที่จะทำงานหนักนั้น

การในอากาศดังกล่าวหากได้รับการโปรดเกล้าฯ ในช่วงวันที่ 15 หรือ 16 ธันวาคม 2551 ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่ารัฐบาลใหม่อยู่ได้ถึง 3 เดือนก็แทบรากเลือดแล้ว แต่เมื่อการในอากาศบ่งบอกความหมายว่าฟ้าเมตตาประชาราษฎร์ดังนี้ ก็เห็นทีว่ารัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่อายุสั้นดังที่พวกเขี้ยวลากดินทางการเมืองคะเนการณ์ไว้ และคงจะมีอายุขัยยืนยาวไปจนครบเทอมเสียมากกว่า

ประการที่สอง
การในภาคพื้นดินเป็นใจให้ย่ำแย่ไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ความมืดสุดๆ ความชั่วสุดๆ ความเลวทรามต่ำช้าสุดๆ ความทุกข์เข็ญลำเค็ญสุดๆ เกิดขึ้นมาแล้ว คนไทยได้ประสบพบพานกับมันจนสุดแสนจะเบื่อหน่ายทนทานแล้ว

สภาพเช่นนั้นย่อมเอื้ออาทรต่อการที่มวลมหาประชาชนจะสนับสนุนอุ้มชูและร่วมมือให้รัฐบาลใหม่นำรัฐนาวาไทยฝ่าคลื่นฝืนลมไปได้รอดปลอดภัย

นั่นเป็นสภาพการณ์ข้างภาคพื้นดินและสถานการณ์ที่เป็นจริงที่สำคัญก็ปรากฏว่า

(1) สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศกำลังก่อรูปเป็น 3 ก๊ก คือก๊กอำนาจใหม่ก๊กหนึ่ง ก๊กอำนาจเก่าก๊กหนึ่ง และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกก๊กหนึ่ง

รัฐบาลใหม่มีผลประโยชน์ร่วมกันกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือการกำจัดความเลวร้ายในแผ่นดิน ฟื้นฟูความดีในแผ่นดินให้คืนมาอีกครั้งหนึ่ง และต่างก็มีศัตรูตัวเดียวกันคืออำนาจเก่า ดังนั้นอำนาจรัฐเมื่อบวกกับฐานมวลชนอันกว้างใหญ่ไพศาลของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ย่อมทำให้การสนับสนุนรัฐบาลใหม่ก่อรูปก่อตัวเข้มแข็งอย่างรวดเร็ว สามารถรุกรบได้รวดเร็วทันท่วงที

และที่สำคัญ ทั้งแกนนำรัฐบาลและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างก็มีสุ้มเสียงในทำนองที่เข้าใจในสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงเห็นทีว่าแผนการเสี้ยมและยืมมือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปชนกับรัฐบาลที่วางหมากตั้งกลเกมกันไว้คงไม่ประสบความสำเร็จ

(2) อำนาจเก่ากำลังอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ยุทธการคีมเหล็กที่มีสองขาคือยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศได้ล้มครืนลงไปแล้ว เหลืออยู่แต่ขาเดียวคือยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง ในภาพรวม คีมที่มีขาเดียวจะคีบจะตัดอะไรจะได้หรือ?

แม้ยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองซึ่งประกอบด้วย 4 แนวรบใหญ่ คือแนวรบอำนาจรัฐ แนวรบสื่อมวลชน แนวรบนักวิชาการ และแนวรบมวลชนนั้น บัดนี้ได้เสียแนวรบอำนาจรัฐไปแล้ว เพียงแนวรบเดียวนี้ลางปราชัยก็ปรากฏให้เห็นแล้ว เพราะได้ส่งผลกระทบต่อแนวรบอื่นอย่างหนักหน่วงรุนแรง

ไม่เห็นหรือว่าแนวรบสื่อมวลชนและแนวรบนักวิชาการกำลังรวนเรง่อนแง่นร่อแร่ใกล้พังทลายเต็มที สื่อมวลชนรับจ้างจำนวนหนึ่งได้เปลี่ยนสีแปรธาตุไปแล้ว เช่นเดียวกับนักวิชาการที่เป็นนักวิชากินหรือนักวิชาเกินก็ค่อยๆ สงบปากสงบคำ และได้โผล่หัวออกความคิดเห็นเสนอโน่นเสนอนี่กันเจี๊ยวจ๊าวแล้ว

คงเหลือก็แต่แนวรบด้านมวลชน ซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ในภาคอีสานและภาคเหนือ และได้รับผลกระทบจากความปราชัยในแนวรบอำนาจรัฐด้วยเช่นเดียวกัน

กลุ่มเพื่อนเนวินซึ่งบัดนี้สวมบทใหม่ใส่หัวโขนพิเภก แยกตัวออกจากขุนมารเจ้าลงกาเข้าสวามิภักดิ์กับพระราม รู้ตื้นลึกหนาบางของการข้างลงกาเป็นอย่างดี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้มอบหมายหน้าที่สำคัญนี้ให้ไปทำ จึงมีแนวโน้มว่าฐานใหญ่ในภาคอีสานก็คงจะยืนยงอยู่ดังเดิมไม่ได้อีกแล้ว

ส่วนในภาคเหนือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ขยายตัวเติบใหญ่ก่อเป็นแนวปิดล้อมพื้นที่หลักคือเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และแพร่ ไว้ค่อนข้างแน่นหนา

ที่สำคัญ ความเคลื่อนไหวสุ่มเสี่ยงเอียงซ้ายจัดล่อแหลมในพื้นที่ภาคเหนือกระทบต่อสถาบันหลักอย่างรุนแรง จึงถูกจับตาและตกเป็นเป้าหมายสำคัญของฝ่ายความมั่นคงที่จะต้องดูแลแก้ไขอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ขุนพลฝ่ายเหนือก็ไม่กล้าปรากฏตัวออกเผชิญหน้ากับอำนาจใหม่ ดังนั้นสถานการณ์จึงไม่ต่างอะไรกับฐานมวลชนในภาคอีสาน

สถานการณ์ส่อให้เห็นว่าแนวรบใหญ่ทั้ง 4 นั้น เมื่อสูญเสียแนวรบอำนาจรัฐไปแล้ว แนวรบอื่นก็ยืนอยู่ไม่ได้ เห็นจะค่อยๆ สลายและหมดบทบาทเป็นลำดับๆ ไป

ประการที่สาม พลันที่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่เกิดขึ้น ดุลกำลังทัพของทั้งสองฝ่ายก็ผันแปรไปอย่างสิ้นเชิง

อำนาจรัฐใหม่มีขุนพลระดับมังกรการเมืองถึง 5 คน คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายบรรหาร ศิลปอาชา พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และนายเนวิน ชิดชอบ และยังมียอดคนระดับ “เจี้ยงเล่า” อยู่อีก 2 คน คือนายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน

ความเป็นจริงในวันนี้ก็ต้องยอมรับว่านายเนวิน ชิดชอบ ได้แสดงฐานะให้เห็นเด่นชัดว่าเป็นมังกรการเมืองคนหนึ่งเทียบชั้นกับรุ่นพี่ๆ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ในขณะที่อำนาจเก่าตกอยู่ในฐานะลำบากยิ่ง แม้จะหาคนเป็นผู้นำฝ่ายค้านก็อาจจะหาไม่ได้ เพราะแผนล็อกตัวนายเสนาะ เทียนทอง ล้มเหลวลงไปแล้ว จึงคงเหลือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คนเดียวเท่านั้น ที่พอจะใกล้เคียงกับฐานะที่จะพึงเรียกว่ามังกรการเมือง

จะเป็นมังกรหรือไม่เป็นมังกรการเมืองก็ให้ดูจากการตัดสินใจที่จะเป็นผู้นำฝ่ายค้านหรือไม่ ถ้ารับตำแหน่งนี้ก็ฟันธงไปได้เลยว่านั่นคือมังกือการเมือง หาใช่มังกรไม่

เมื่อเปรียบเทียบด้วยลักษณะขุนพลก็เห็นชัยชนะและปราชัยได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” ซึ่งประจักษ์ชัดเจนแล้ว จากสุนทรพจน์แรกของนายกรัฐมนตรี และเสียงโฟนอินจากต่างประเทศถึงรายการความจริงวันนี้ในค่ำคืนเดียวกัน

ธรรมนี่แหละชี้ขาดชัยชนะหรือปราชัย เป็นสิ่งรวบรวมใจอาณาประชาราษฎร์และผู้นำให้เป็นหนึ่งเดียว.
กำลังโหลดความคิดเห็น