xs
xsm
sm
md
lg

พึงรู้โดยธรรมว่า “เหตุวิกฤตชาติยังไม่ได้รับการแก้ไข”

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

คาดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ในท่ามกลางตลาดมืดซื้อตัว ส.ส.ขายตัวกันยิ่งกว่าโสเภณี “สภาแห่งไหนเล่า กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนสาบผี สภาโสเภณีชั่วอัปรีย์เอาไว้ไย” ขอเตือนว่าในท่ามกลางวิกฤตของประเทศชาติ ทั้งนี้เพราะความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงของผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างก็สืบทอดแนวทางการเมืองวิบัติ แต่กลับเข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย จึงไม่เห็นทางว่าจะมีใครแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ ในสภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อไม่มีสถาบันใด หรือพรรคการเมืองในระบอบการเมืองปัจจุบัน จะใช้ความสามารถแก้เหตุวิกฤตชาติให้ผ่านพ้นไปได้ ทุกรัฐบาลล้วนแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เข้าทำนองยิ่งบริหาร ก็ยิ่งล้มเหลวมากขึ้นเท่านั้น

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในหมู่เหล่าพสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศว่าพระมหากษัตริย์ ของประเทศไทยนั้นยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพและพระบารมีเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศทั้งปวง เพราะหลักสาระสำคัญแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย คือ จักรวรรดิวัตร (ธรรมาธิปไตย), ทศพิธราชธรรม ฯลฯ ซึ่งสืบทอดมาแต่บรรพกาลนับแต่พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดีย เรื่อยมา

สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันแห่งธรรม และเป็นสถาบันอันเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันทรงความยุติธรรม

การที่นักวิชาการและนักการเมืองบางคน มีความเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง และเป็นกลางทางการเมือง แนวคิดดังกล่าวนี้ เป็นการพูดและเขียนที่ไม่ถูกหลักวิชารัฐศาสตร์ และเป็นการบั่นทอนพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์

ความเป็นกลางนั้น เป็นกลางระหว่างอะไรก็ได้ เช่น เป็นกลางระหว่างความถูกกับความผิดก็ได้ แต่ทรงความยุติธรรมย่อมอยู่ฝ่ายถูกเสมอไป

ส่วนคำว่า “กลาง” ซึ่งมีแต่ส่วนดีไม่มีส่วนเสีย คือทางสายกลางหรือทางปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางตรงกับมัชฌิมาปฏิปทา คือ การปฏิบัติสายกลาง ประกอบด้วยมรรคมีองค์ 8 มี สัมมาทิฐิ คือเมื่อมีความเห็นถูกต้อง ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้คิดถูกต้อง เมื่อคิดถูก ก็จะเป็นปัจจัยให้พูดถูกต้อง ทำถูกต้อง… เป็นลำดับไป

ฉะนั้นขอยืนยันว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จึงไม่เป็นกลางทางการเมือง แต่เป็นสถาบันทรงความยุติธรรมทางการเมือง จึงเป็นสถาบันที่อยู่ฝ่ายถูกต้องเสมอไป
สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นองค์อธิปัตย์
จึงไม่อยู่เหนือการเมือง เพราะเป็นสถาบันที่ใช้อำนาจอธิปไตย ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องเป็นธรรมและทรงความยุติธรรมต่อปวงชนในแผ่นดิน และเป็นสถาบันกำกับการเมืองให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องโดยธรรม

ในอดีตประเทศที่พระมหากษัตริย์ทรงนำการแก้ปัญหาวิกฤตของชาติโดยการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่งยวดของพระมหากษัตริย์ โดยพระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจซึ่งเป็นของพระองค์อยู่เดิมให้แก่ประชาชน

แต่หากว่าพระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจไม่สำเร็จไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม การสร้างประชาธิปไตยย่อมล้มเหลว เพราะไม่มีวิธีการอื่นๆ ที่จะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้

ในสภาพการณ์ปัจจุบันการแก้ปัญหาเหตุวิกฤตของชาติและเป็นการแก้ปัญหาพื้นฐานของประเทศชาติให้ตกไปได้นั้น คือวิธีการที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาการปกครองแบบธรรมาธิปไตยขึ้นเท่านั้น

ในอดีตวิธีการสร้างประชาธิปไตยในประเทศเอกราชในเอเชียนั้น แตกต่างกันกับในประเทศยุโรปซึ่งมีคณะพรรค, ประชาชนลุกขึ้นช่วงชิงอำนาจจากพระมหากษัตริย์มาเป็นของตน

แต่ในประเทศเอเชียที่เป็นเอกราชการสร้างประชาธิปไตยเป็นพระราชกรณียกิจ ตัวอย่าง คือ พระจักรพรรดิมัตสุฮิโตแห่งญี่ปุ่น ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมอบอำนาจให้แก่ประชาชนสำเร็จ การสร้างประชาธิปไตยในญี่ปุ่นจึงสำเร็จ และกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่ร่ำรวยของโลก

พระมหากษัตริย์ไทย ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจสร้างประชาธิปไตยมาพร้อมๆ กับพระจักรพรรดิญี่ปุ่น โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินการเปลี่ยนแปลงสร้างประชาธิปไตยเป็นลำดับมา ซึ่งสืบทอดโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และกำลังใกล้จะสำเร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โดยพระองค์ทรงกำหนดจะมอบอำนาจให้แก่ประชาชนในเดือนเมษายน พ.ศ. 2475 แต่ถูกยึดอำนาจชิงอำนาจไปสร้างระบอบปริมิตาญาสิทธิราชย์ (Limited Monarchy) ขึ้นในแผ่นดิน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 สร้างระบอบมิจฉาทิฐิฝังหัวคนไทย ให้ตกเป็นทาสทางความคิดจนยากที่จะแก้ไข คือ “ให้เข้าใจผิดอย่างร้ายกาจที่สุดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” เรื่อยมาจนบัดนี้

ประเทศไทยจึงล้มเหลวตลอดมากว่า 76 ปีแล้ว และจะไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้เลย นอกจากวิธีการเดิมที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบไทย แต่ในสภาพการณ์ปัจจุบันการสร้างประชาธิปไตยแบบตะวันตก ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในสถานการณ์ปัจจุบัน

จึงมีวิธีการเดียวที่ยิ่งใหญ่ของโลก คือการที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาการปกครองแบบธรรมาธิปไตย โดยมีหลักธรรมเป็นหลักการปกครอง เป็นระบอบการเมืองที่ก้าวหน้ากว่าระบอบอื่นใดๆ ในโลก และสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวไทย ดังคำกล่าวที่ว่า “ทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์ สู่การสร้างสรรค์รัฐธรรมาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ของชาติ”

การนำกฎเกณฑ์แห่งธรรมมาพิจารณาประกอบ จะเห็นว่าสัมพันธภาพรัฐธรรมนูญไทยทั้งอดีตและปัจจุบันรวม 18 ฉบับ ไม่มีหลักการปกครองแม้แต่ฉบับเดียว มีแต่หมวด กับ มาตราต่างๆ จึงเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการปกครอง จึงเป็นการกระทำที่สืบทอดความเป็นมิจฉาทิฐิมาอย่างร้ายแรงยาวนาน สามารถแสดงภาพประกอบการจัดความสัมพันธ์รัฐธรรมนูญไทยทั้ง 18 ฉบับ ดังนี้

ผู้เขียนเสนอ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 โดยย่อที่สุดได้แก่ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาค (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม

จากนั้นจึงปรับปรุงหมวดและมาตราต่างๆ ให้สอดคล้อง ไม่ขัดกับหลักการปกครองทั้ง 9
หมายความว่า หมวดและมาตราต่างๆ จะต้องขึ้นต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เสมอไป

เมื่อทำสำเร็จในขั้นตอนนี้แล้ว จึงจะไปดำเนินการในขั้นตอนปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่าไม่ยากเลย ทำสำเร็จจะสามารถขจัดเงื่อนไขอันเลวร้ายต่างๆ ได้อย่างมากมายหลายประการ ทั้งยังส่งเสริมพระบรมเดชานุภาพแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ บนฐานแห่งอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้มั่นคงยั่งยืนสืบไป

ทั้งจะบรรลุพระราชภารกิจพระมหากษัตริย์บรมราชจักรีวงศ์ รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และบรรลุพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ว่า “...ข้าพเจ้าสมัครใจจะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป...” และในท้ายที่สุดบรรลุพระปฐมบรมราชโองการของ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลปัจจุบัน “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

ผลสำฤทธิ์จากการที่องค์พระมหากษัตริย์ ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย นอกจากเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่อย่างมั่นคงยั่งยืนแก่พระราชอาณาจักรไทยและปวงชนไทยแล้ว ยังจะก่อให้เกิดจุดเริ่มต้นแห่งอารยธรรมใหม่ของโลก เป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันโดยไม่เบียดเบียน ได้กระจายแผ่ไปสู่มวลมนุษยชาติเพื่อสันติภาพโลกถาวรต่อไป

กำลังโหลดความคิดเห็น