xs
xsm
sm
md
lg

ปีฉลูศก.โคม่าGDPต่ำ2% หวั่นบริษัทปิดหนีลูกจ้าง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์ชาติยอมรับเป็นไปได้ที่จีดีพีปี 52 โตไม่เกิน 2% จากที่เคยคาดการณ์ 3.8-5% ระบุหากเศรษฐกิจโลกถดถอย มีโอกาสที่บางไตรมาสจีดีพีติดลบ เผย 23 ม.ค. ปรับเป้าหมายอีกครั้งโดยนำปัจจัยเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน นโยบายรัฐและดอกเบี้ยมาพิจารณา บิ๊กแบงก์กรุงเทพคาดอาจติดลบตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ กระทรวงแรงงานเผยยอดเลิกจ้างล่าสุดพุ่งแล้ว 4.66 หมื่นคน จับตาเจ้าของปิดกิจการหนีหลังหยุดยาวปีใหม่ ข่าวร้าย 1 ม.ค. ยังไม่ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ

นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2552 อาจจะขยายตัวลดลงกว่าที่ ธปท.ได้ประเมินไว้ คือ 3.8-5.0% มีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวแค่ 2% และหากเศรษฐกิจโลกถดถอยมากขึ้นก็อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในบางไตรมาสขยายตัวติดลบได้ นอกจากนี้หากเศรษฐกิจโลกถดถอยจะมีผลต่ออัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ภาครัฐขาดรายได้และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถึงแม้จะใช้งบประมาณขาดดุลก็อาจจะมีประสิทธิภาพน้อยลง จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ภาครัฐควรเน้นการจ้างงานและการลงทุนให้เกิดขึ้นเป็นหลัก
“แม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้น แต่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ต้องใช้เวลา และมีความไม่แน่นอนสูงว่า งบประมาณก้อนเดิมที่เคยขอไว้จะได้นำมาใช้หรือไม่ หรืออาจนำมาใช้ในปีงบประมาณถัดไป จึงจำเป็นที่นโยบายการคลังต้องมีแรงกระตุ้น แต่ก็ต้องมีกระบวนการเอาเงินเหล่านั้นที่เคยขอเอาไว้มาใช้ด้วยและให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ จึงจำเป็นในช่วงนี้ต้องใช้นโยบายการเงินเป็นทิศทางที่ผ่อนคลายต่อไป” นางอมรากล่าว
ทั้งนี้ ในวันที่ 23 ม.ค.52 ธปท.จะมีการพิจารณาปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจใหม่และเครื่องชี้ต่างๆ โดยเฉพาะจะนำข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงมากหลังจากที่มีการประชุมครั้งก่อนเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง นโยบายภาครัฐ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 1% ในการประชุมครั้งล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาด้านการเมือง ซึ่งในช่วงหลังธปท.ให้น้ำหนักเรื่องนี้มาก เพราะหากปัญหาการเมืองไม่นิ่ง ความเชื่อมั่นที่ภาคธุรกิจหรือเอกชนต้องการที่จะลงทุนหรือบริโภคก็จะลดลงตาม
อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้การส่งออกจะขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากมีการกระจายตลาด แต่หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากการกระจายตลาดอาจส่งผลได้น้อยมาก แต่ต้องติดตามดูต่อไป เนื่องจากค่าเงินบาทในขณะนี้อ่อนค่าลงมาก เมื่อเทียบกับในช่วงต้นปี ส่วนภาคการส่งออกในปีหน้า ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกเป็นตัวแปรสำคัญ
นอกจากนี้ ธปท.ได้ทำการประเมินความสัมพันธ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยกับตลาดแรงงานในปีหน้า โดยตั้งข้อสมมุติฐานเศรษฐกิจไทยเติบโตลดลงหรือเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ระดับ 0% ขณะที่กำลังแรงงานเพิ่มสู่ระบบมากขึ้น ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากำลังแรงงานเข้ามาสู่ระบบโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1.4%ของจีดีพี และปีนี้เพิ่มขึ้น 2%จีดีพี ทำให้ผลที่ได้ คือ กรณีเลวร้ายสุดในปีหน้าอาจจะมีคนตกงานประมาณ 1.2 ล้านคน
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารมองว่าปีหน้าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย จะอยู่ในระดับ 2% สอดคล้องกับประมาณการของหลายสถาบัน โดยจะต้องติดตามการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของทุกประเทศ เพราะมีผลต่อไทย กรณีที่ได้ผลชั่วคราว ก็อาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจของไทยชะลอหรือหดตัว เนื่องจากประเทศไทยต้องพึ่งพิงการส่งออกถึง 70%
เขามองว่า ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้มีความเป็นไปได้ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะติดลบแล้ว และเชื่อว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีหน้า ยังอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง
"การใช้นโยบายการเงินขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมีข้อจำกัดระดับหนึ่ง เช่น หากดอกเบี้ยลดลงมาต่ำมากแล้ว ก็คงไม่สามารถ ลดลงไปได้อีก ขณะที่นโยบายการคลังก็มีความจำเป็นที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน โดยเฉพาะในภาวะที่การเมืองเป็นเช่นนี้ เนื่องจากเอกชนที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจจะมีข้อจำกัดมากขึ้น"นายโฆสิตยังกล่าวถึงปัญหาการเมืองในขณะนี้ ไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ควรที่จะให้กำลังใจและไม่ควรตั้งประเด็นข้อสงสัย โดยต้องร่วมผลักดันให้เกิดการทำงาน และเร่งให้มีรัฐบาลชุดใหม่เร็วที่สุด เพราะยังมีงานหนักรออยู่นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้าในการขยายสินเชื่อปี 52 ไว้ที่ในระดับ 5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 8-9% ขณะนี้ธนาคารกรุงเทพอยู่ระหว่างการติดตามการความเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง และพร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อให้มีวงเงินหมุนุเวียนในธุรกิจได้ เพราะในแต่ละธุรกิจย่อมมีความต้องการแตกต่างกัน.

***ผวานายจ้างส่อปิดกิจการหนี
นายสมชาย ชุ่มรัตน์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์การเมืองที่ผ่านมาส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเศรษฐกิจในประเทศไทย ทำให้แนวโน้มการเลิกจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุดของกระทรวงแรงงาน พบว่า มีสถานประกอบการต้องหยุดกิจการแล้ว 555 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 46,638 คน และมีสถานประกอบการที่มีแนวโน้มจะเลิกกิจการอีก 225 แห่ง ซึ่งมีลูกจ้างกว่า 15,000 คน โดยในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 14 องค์การ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมการค้าภายใน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ เป็นต้น จะประชุมร่วมกันเพื่อหาทางรับมือภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ พร้อมช่วยเหลือลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง

**1 ม.ค.ยังไม่ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
ทั้งนี้ ในวันที่ 1 ม.ค.52 จะยังไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เพราะจากการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการค่าจ้าง ได้ข้อสรุปว่าภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบมาก แต่จะมีการพิจารณาในไตรมาสที่ 2 แทน
นายปัณณพงศ์ อิทธิ์อรรถนนท์ เลขาธิการสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าไทย กล่าวว่า การหยุดติดต่อกันหลายวันในช่วงเทศกาลปีใหม่ กระทรวงแรงงานและลูกจ้างต้องเฝ้าระวังสถานประกอบการเป็นพิเศษ เนื่องจากมีการส่งสัญญาณจากนายจ้างว่าอาจจะมีการปิดกิจการอย่างถาวร โดยเฉพาะสถานประกอบการที่ไม่มีสหภาพแรงงาน
อย่างไรก็ตาม การที่หลายฝ่ายออกมาคาดการณ์สถานการณ์การเลิกจ้างว่าในปี 52 จะมีการเลิกจ้างกว่า 4.5 ล้านคนนั้น จะส่งผลกระทบให้นักลงทุนไม่กล้านำเงินมาลงทุนเพิ่ม แม้เบื้องต้นพบข้อมูลว่าการเลิกจ้างในปี 52 อาจจะถึง 1 ล้านคน แต่คงไม่ถึง 4.5 ล้านคน อย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น