“อนุพงษ์” ปฏิเสธข่าวแทรกแซงตั้งรัฐบาล รับมีนักการเมืองขอคำปรึกษา จึงให้ข้อคิดไปว่าทุกคนอยากให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะภาคธุรกิจ พร้อมปัดมีเอี่ยวตั้ง รมว.กลาโหม ด้าน “พล.อ.วินัย” ยันไม่มีใครทาบทามให้ไปนั่ง รมว.กลาโหม ขณะที่รองโฆษกกองทัพอากาศ ระบุ ผบ.ทอ.ไม่มีเจตนาชี้นำการตั้งรัฐบาล แค่เสนอความเห็นในฐานะประชาชน
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยโจมตี กองทัพเข้าไปแทรกแซงในการจัดตั้งรัฐบาลว่า มีนักการเมืองบางท่านโทรศัพท์มาถาม บางส่วนก็มาขอพบ ตนพูดไปในลักษณะที่ว่า อยู่ที่ท่านจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ประเทศชาติมีความเรียบร้อย การเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งตนได้ให้ข้อคิดเห็นเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ทุกคนทราบดีว่า เรามีปัญหาเรื่องความมั่นคง และสถาบันทหารถูกคาดหวังจากสังคมว่า น่าจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม แม้ว่าไม่ใช่เรื่องของทหาร ยังมีการตั้งความหวังไว้กับสถาบันทหาร ตนอยากให้สถาบันบ้านเมือง การเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนตัวมองว่า ปัญหาที่ผ่านมาเกิดจากรัฐบาลพรรคเดียว ที่ทำให้เกิดปัญหาซ้ำซาก ถึงเวลาที่จะสลับขั้วใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ส่วนตัว ไม่ขอพูด แต่โดยส่วนตัวคงจะคิดได้ ทั้งนี้ในฐานะ ผบ.ทบ.คงจะไม่กล่าวในส่วนนี้ แต่ได้เรียนให้กับผู้ที่เข้ามาปรึกษาหารือให้รับทราบไปตามนั้นแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากลัวหรือไม่กองทัพจะถูกมองว่า เลือกข้าง และหากมีการเปลี่ยนอำนาจจะส่งผลกระทบมายังตัวท่าน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ทุกคนหวังให้ประเทศชาติบ้านเมืองได้เดินทางไปด้วยความเรียบร้อย
"ผมยืนยันว่าตอนนี้กระแสของคนทุกคนอยากให้เกิดความเรียบร้อย โดยเฉพาะภาคธุรกิจหรือภาคเอกชนเพื่อต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า"
ผู้สื่อข่าถวามว่าแสดงว่าเท่านมั่นใจ หากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะทำให้ สถานการณ์การเมืองดีขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าการเมืองเดินต่อไปได้ด้วยความ เรียบร้อยจะดีต่อทุกคน รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
ส่วนกระแสข่าวว่า ท่านมีส่วนในการต่อรองจัดโผครม.โดยเฉพาะตำแหน่ง รมว.กลาโหมนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่เคยมีความคิดในการต่อรอง เพราะไม่ใช่เรื่องของตน เมื่อถามว่า คนที่จะมานั่งรมว.กลาโหม ควรมีคุณสมบัติอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า จะต้องให้ฝ่ายนักการเมืองได้พูดคุยกัน ขณะนี้ไม่มีการพูดคุยกับตน เมื่อถามว่า จับตาการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่มีความเห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่าฝ่ายการเมืองตั้งฉายารัฐบาลชุดใหม่ว่า ครม.สีเขียว พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "ผมเรียนแล้วว่า ตอนนี้กระแสสังคมเหมือนกันหมด ผมยืนยัน ท่านเป็นสื่อมวลชนเห็นแล้วว่า กระแสสังคมต้องการอย่างไร เราเห็นไปตามนั้น"
เมื่อถามย้ำว่า มีกระแสข่าวจากพรรคการเมืองระบุว่า ผบ.ทบ. ไปข่มขู่เรื่องคดีความต่างๆ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนเรียนกับนักการเมืองไปว่า จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ให้สถานการณ์บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าอย่างเรียบร้อย มีแค่นั้น
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยโจมตีการหนีทหารของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น พล.อ.อนุพงษ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามพร้อมกับเดินเลี่ยงผู้สื่อข่าวออกไปเพื่อขี้รถเดินทางกลับ
ด้าน พล.อ. วินัย ภัททิยกุล อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่มีข่าวว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้วางตัวให้ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหมว่า ไม่จริง และตนก็ไม่อยากเป็น ข่าวที่ออกมาตนรู้สึกเฉยๆ เพราะเป็นการคาดคะเนกันเท่านั้น ที่ผ่านมาตนไม่เคยพูดคุยกับพรรคประชาธิปัตย์ และไม่มีใครทาบทาม ให้ตนไปนั่งในตำแหน่งดังกล่าว
แหล่งข่าวจากอดีตแกนนำคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึง กรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ออกมาแฉว่า มีอดีตนายทหาร คมช. พยายามโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน เพื่อให้บรรลุแผนบันได 4 ขั้นว่า ภารกิจของ คมช. ได้จบสิ้นไปนานแล้ว แต่การที่นำ คมช.มาพูดในตอนนี้ ก็เพื่อต้องการผูกโยงสถานการณ์การเมือง และคาดคะเนกันไป เพราะมันง่ายดี เพื่อเป็นแนวร่วมต่อต้านเผด็จการ สิ่งที่เขาทำพยายามสร้างความชอบธรรม จริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไร
"ตอนที่ทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ที่ผ่านมา กองทัพทำเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงของประชาชนทั้งสองฝ่ายไม่ให้มาปะทะกัน แต่ข่าวว่าเป็นแผนบันได 4 ขั้นของ คมช.เพื่อล้มล้างพรรคพลังประชาชนนั้นเป็นเพียงจับแพะชนแกะเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ คมช.ยุติบทบาทไปหมดแล้ว"
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยพยายามตีฆ้องร้องเป่าและโยนความผิดให้กับ คมช.นั้น แกนนำคนเดิม บอกว่า ความจริงเราได้กรุณามากแล้ว แต่ทางโน้นเขาไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปสร้างตัวตนขึ้นมาอีก ซึ่งจริง ๆ แล้ว คมช.ไม่มีตัวตนแล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่า คมช. ไม่ได้มีแผนการอะไร แต่ทำเพื่อยุติความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในช่วงนั้นเท่านั้น แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในระยะหลังเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง
ผู้สื่อข่าวถามว่านักการเมืองควรสร้างมิติการเมืองไทยให้พัฒนาก้าวหน้า มากกว่าโยนบาปใส่กันใช่หรือไม่ แกนนำ คมช. กล่าวว่า ตนไม่อยากให้ความเห็น แต่ใครอยากจะเล่นอะไรก็เล่นไป แต่ควรจะมีจิตสำนึกกัน อยากจะให้บ้านเมืองพังไปมากกว่านี้หรือ ดังนั้นประชาชนจะต้องช่วยกันสร้างพลัง สร้างกระแสขึ้นมา เพราะเห็น ๆ อยู่แล้วว่า นักการเมืองเล่นแต่ประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักโดยไม่คิดถึงบ้านเมือง
ต่อข้อถามว่าได้มีการพูดคุยสถานการณ์การเมืองกับ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และ อดีตประธาน คมช. หรือไม่ แกนนำคนเดิม บอกว่า ไม่ได้พูดคุยกันเลย และไม่ได้เจอกัน แต่เรารู้ว่าเมื่อจบบทบาทการทำหน้าที่ตรงนั้นก็จบไป ภารกิจสิ้นสุดหมดแล้ว นักการเมืองไม่น่าจะดึงหรือนำ คมช.มาเชื่อมโยงอีก
น.อ. มณฑล สัชฌุกร รองเจ้ากรมกิจการพลเรือน และรองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวถึง กรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โจมตี พล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ถึงการสัมภาษณ์เป็นการนำกองทัพเข้าแทรกแซงการเมืองว่า ตนได้เรียนถาม พล.อ.อ.อิทธพร ถึงกระแสข่าวดังกล่าวแล้ว โดย ผบ.ทอ. บอกว่าท่านไม่มีเจตนาแทรกแซงการเมือง แต่ท่านซึ่งมีฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่ง เมื่อสื่อมวลชนถาม ท่านก็ตอบตามตรง ท่านยืนยันว่าไม่ได้พูดบนพื้นฐานที่ไม่ชอบพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่คำตอบของท่านทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ ดังนั้น ท่านจึงไม่อยากตอบโต้ แต่ยืนยันว่าท่านไม่ได้มีเจตนาแทรกแซงการเมือง
ส่วนที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยระบุว่า พล.อ.อ.อิทธพร ได้เป็น ผบ.ทอ. แบบข้ามหัวรุ่นพี่นั้น น.อ.มณฑล กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่อยากให้ความเห็น แต่การพิจารณาปรับย้ายนายทหารประจำปี ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการมาอย่างถูกต้อง และผ่านการคัดเลือกพิจารณาตามความเหมาะสม ที่สำคัญ ได้มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแล้ว ดังนั้น จึงไม่เหมาะสมที่จะแสดงความเห็น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ พล.อ.อ.อิทธิพร กำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจร่วมพิธีเปิดการ ฝึกร่วมโครฟไทเกอร์ที่ประเทศสิงคโปร์ และเดินทางกลับในวันที่ 12 ธันวาคมนี้
สำหรับการโจมตีโครงการจัดซื้อเครื่องบินกริพเพนของกองทัพอากาศราคาสูงกว่าประเทศอื่นที่จัดซื้อนั้น น.อ.มณฑล กล่าวว่า ต้องพิจารณาดูตาม เงื่อนไขของการจัดซื้อในแต่ละประเทศ เพราะการจัดซื้อเครื่องบินแต่ละประเทศจะมีส่วนประกอบที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละประเทศจัดซื้อเครื่องบิน โดยมีรายละเอียดส่วนประกอบแตกต่างกัน ซึ่งกองทัพอากาศจัดซื้อเครื่องบินกริพเพน จำนวน 6 เครื่อง ราคา 19,000 ล้านบาท โดยมีของแถมออฟชั่นจากประเทศสวีเดน อาทิ เครื่องบินซาร์ป 340 ซึ่งเป็นเครื่องบินสอดแนมทางอากาศ รวมทั้งสวีเดนมีทุนเรียนต่อปริญญาโทให้กับไทย เพื่อศึกษาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของอากาศยาน
"กองทัพอากาศพิจารณาจัดซื้อทุกขั้นตอน มีการพิจารณาผ่านคณะกรรมการ และมีการตรวจสอบคุณสมบัติ สามารถเปิดเผยและตรวจสอบได้ เพราะทุกอย่างกองทัพอากาศดำเนินการตามขั้นตอน ยืนยันว่ามีความเหมาะสมกับกองทัพอากาศ ดังนั้น หากประเทศที่เขาอ้างว่าซื้อราคาถูกกว่าไทย ต้องดูเงื่อนไขของแต่ละประเทศว่าเป็นอย่างไร หากเขามีรายละเอียดครบตามที่ไทยจัดซื้อ แล้วเราซื้อแพงกว่าประเทศอื่น กองทัพอากาศพร้อมยอมรับและให้ตรวจสอบ"
นายทหาร คนใกล้ชิด พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีต ผบ.ทอ.และอดีตรักษาการประธาน คมช. กล่าวถึงกรณีที่นาย จตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวโจมตีว่านำเงินที่ได้จากการจัดซื้อเครื่องบินกริพเพนของกองทัพอากาศมาสร้างบ้านจำนวน 3 หลังบนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ว่า บ้านพักของ พล.อ.อ.ชลิต ที่สร้างอยู่ในซอยชินเขต จำนวน 3 หลัง ตามที่เป็นข่าวนั้น เป็นการสร้างบ้านหลังใหม่บนพื้นที่เดิมของครอบครัวท่าน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินมรดกของมารดาท่าน และบ้านจำนวน 3 หลังก็เป็นการรวมเงินลงขันกันของพี่น้องท่านไปกู้ธนาคาร มาสร้างร่วมกัน โดยสร้างติดกัน 3 หลัง เพื่อให้พี่น้องได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เป็นการ นำเงินจากการจัดซื้อเครื่องบินของกองทัพอากาศมาสร้างตามที่เป็นข่าว
"บ้านจำนวน 3 หลังนี้ สร้างตั้งแต่สมัยที่ พล.อ.อ.ชลิต ยังดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ทอ. และสร้างให้เสร็จหลังท่านเกษียณ เพื่อจะได้มาพักที่บ้านดังกล่าวหลังเกษียณราชการ เพราะสมัยที่ท่านเป็น ผบ.ทอ. ท่านอยู่บ้านพักราชการ ดังนั้น เมื่อเกษียณจึงต้องสร้างบ้านเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นการลงขันร่วมกันของพี่น้องท่าน”นายทหารคนใกล้ชิดกล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยโจมตี กองทัพเข้าไปแทรกแซงในการจัดตั้งรัฐบาลว่า มีนักการเมืองบางท่านโทรศัพท์มาถาม บางส่วนก็มาขอพบ ตนพูดไปในลักษณะที่ว่า อยู่ที่ท่านจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ประเทศชาติมีความเรียบร้อย การเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งตนได้ให้ข้อคิดเห็นเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ทุกคนทราบดีว่า เรามีปัญหาเรื่องความมั่นคง และสถาบันทหารถูกคาดหวังจากสังคมว่า น่าจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม แม้ว่าไม่ใช่เรื่องของทหาร ยังมีการตั้งความหวังไว้กับสถาบันทหาร ตนอยากให้สถาบันบ้านเมือง การเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนตัวมองว่า ปัญหาที่ผ่านมาเกิดจากรัฐบาลพรรคเดียว ที่ทำให้เกิดปัญหาซ้ำซาก ถึงเวลาที่จะสลับขั้วใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ส่วนตัว ไม่ขอพูด แต่โดยส่วนตัวคงจะคิดได้ ทั้งนี้ในฐานะ ผบ.ทบ.คงจะไม่กล่าวในส่วนนี้ แต่ได้เรียนให้กับผู้ที่เข้ามาปรึกษาหารือให้รับทราบไปตามนั้นแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากลัวหรือไม่กองทัพจะถูกมองว่า เลือกข้าง และหากมีการเปลี่ยนอำนาจจะส่งผลกระทบมายังตัวท่าน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ทุกคนหวังให้ประเทศชาติบ้านเมืองได้เดินทางไปด้วยความเรียบร้อย
"ผมยืนยันว่าตอนนี้กระแสของคนทุกคนอยากให้เกิดความเรียบร้อย โดยเฉพาะภาคธุรกิจหรือภาคเอกชนเพื่อต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า"
ผู้สื่อข่าถวามว่าแสดงว่าเท่านมั่นใจ หากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะทำให้ สถานการณ์การเมืองดีขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าการเมืองเดินต่อไปได้ด้วยความ เรียบร้อยจะดีต่อทุกคน รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
ส่วนกระแสข่าวว่า ท่านมีส่วนในการต่อรองจัดโผครม.โดยเฉพาะตำแหน่ง รมว.กลาโหมนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่เคยมีความคิดในการต่อรอง เพราะไม่ใช่เรื่องของตน เมื่อถามว่า คนที่จะมานั่งรมว.กลาโหม ควรมีคุณสมบัติอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า จะต้องให้ฝ่ายนักการเมืองได้พูดคุยกัน ขณะนี้ไม่มีการพูดคุยกับตน เมื่อถามว่า จับตาการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่มีความเห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่าฝ่ายการเมืองตั้งฉายารัฐบาลชุดใหม่ว่า ครม.สีเขียว พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "ผมเรียนแล้วว่า ตอนนี้กระแสสังคมเหมือนกันหมด ผมยืนยัน ท่านเป็นสื่อมวลชนเห็นแล้วว่า กระแสสังคมต้องการอย่างไร เราเห็นไปตามนั้น"
เมื่อถามย้ำว่า มีกระแสข่าวจากพรรคการเมืองระบุว่า ผบ.ทบ. ไปข่มขู่เรื่องคดีความต่างๆ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนเรียนกับนักการเมืองไปว่า จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ให้สถานการณ์บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าอย่างเรียบร้อย มีแค่นั้น
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยโจมตีการหนีทหารของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น พล.อ.อนุพงษ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามพร้อมกับเดินเลี่ยงผู้สื่อข่าวออกไปเพื่อขี้รถเดินทางกลับ
ด้าน พล.อ. วินัย ภัททิยกุล อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่มีข่าวว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้วางตัวให้ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหมว่า ไม่จริง และตนก็ไม่อยากเป็น ข่าวที่ออกมาตนรู้สึกเฉยๆ เพราะเป็นการคาดคะเนกันเท่านั้น ที่ผ่านมาตนไม่เคยพูดคุยกับพรรคประชาธิปัตย์ และไม่มีใครทาบทาม ให้ตนไปนั่งในตำแหน่งดังกล่าว
แหล่งข่าวจากอดีตแกนนำคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึง กรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ออกมาแฉว่า มีอดีตนายทหาร คมช. พยายามโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน เพื่อให้บรรลุแผนบันได 4 ขั้นว่า ภารกิจของ คมช. ได้จบสิ้นไปนานแล้ว แต่การที่นำ คมช.มาพูดในตอนนี้ ก็เพื่อต้องการผูกโยงสถานการณ์การเมือง และคาดคะเนกันไป เพราะมันง่ายดี เพื่อเป็นแนวร่วมต่อต้านเผด็จการ สิ่งที่เขาทำพยายามสร้างความชอบธรรม จริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไร
"ตอนที่ทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ที่ผ่านมา กองทัพทำเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงของประชาชนทั้งสองฝ่ายไม่ให้มาปะทะกัน แต่ข่าวว่าเป็นแผนบันได 4 ขั้นของ คมช.เพื่อล้มล้างพรรคพลังประชาชนนั้นเป็นเพียงจับแพะชนแกะเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ คมช.ยุติบทบาทไปหมดแล้ว"
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยพยายามตีฆ้องร้องเป่าและโยนความผิดให้กับ คมช.นั้น แกนนำคนเดิม บอกว่า ความจริงเราได้กรุณามากแล้ว แต่ทางโน้นเขาไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปสร้างตัวตนขึ้นมาอีก ซึ่งจริง ๆ แล้ว คมช.ไม่มีตัวตนแล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่า คมช. ไม่ได้มีแผนการอะไร แต่ทำเพื่อยุติความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในช่วงนั้นเท่านั้น แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในระยะหลังเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง
ผู้สื่อข่าวถามว่านักการเมืองควรสร้างมิติการเมืองไทยให้พัฒนาก้าวหน้า มากกว่าโยนบาปใส่กันใช่หรือไม่ แกนนำ คมช. กล่าวว่า ตนไม่อยากให้ความเห็น แต่ใครอยากจะเล่นอะไรก็เล่นไป แต่ควรจะมีจิตสำนึกกัน อยากจะให้บ้านเมืองพังไปมากกว่านี้หรือ ดังนั้นประชาชนจะต้องช่วยกันสร้างพลัง สร้างกระแสขึ้นมา เพราะเห็น ๆ อยู่แล้วว่า นักการเมืองเล่นแต่ประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักโดยไม่คิดถึงบ้านเมือง
ต่อข้อถามว่าได้มีการพูดคุยสถานการณ์การเมืองกับ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และ อดีตประธาน คมช. หรือไม่ แกนนำคนเดิม บอกว่า ไม่ได้พูดคุยกันเลย และไม่ได้เจอกัน แต่เรารู้ว่าเมื่อจบบทบาทการทำหน้าที่ตรงนั้นก็จบไป ภารกิจสิ้นสุดหมดแล้ว นักการเมืองไม่น่าจะดึงหรือนำ คมช.มาเชื่อมโยงอีก
น.อ. มณฑล สัชฌุกร รองเจ้ากรมกิจการพลเรือน และรองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวถึง กรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โจมตี พล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ถึงการสัมภาษณ์เป็นการนำกองทัพเข้าแทรกแซงการเมืองว่า ตนได้เรียนถาม พล.อ.อ.อิทธพร ถึงกระแสข่าวดังกล่าวแล้ว โดย ผบ.ทอ. บอกว่าท่านไม่มีเจตนาแทรกแซงการเมือง แต่ท่านซึ่งมีฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่ง เมื่อสื่อมวลชนถาม ท่านก็ตอบตามตรง ท่านยืนยันว่าไม่ได้พูดบนพื้นฐานที่ไม่ชอบพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่คำตอบของท่านทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ ดังนั้น ท่านจึงไม่อยากตอบโต้ แต่ยืนยันว่าท่านไม่ได้มีเจตนาแทรกแซงการเมือง
ส่วนที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยระบุว่า พล.อ.อ.อิทธพร ได้เป็น ผบ.ทอ. แบบข้ามหัวรุ่นพี่นั้น น.อ.มณฑล กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่อยากให้ความเห็น แต่การพิจารณาปรับย้ายนายทหารประจำปี ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการมาอย่างถูกต้อง และผ่านการคัดเลือกพิจารณาตามความเหมาะสม ที่สำคัญ ได้มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแล้ว ดังนั้น จึงไม่เหมาะสมที่จะแสดงความเห็น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ พล.อ.อ.อิทธิพร กำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจร่วมพิธีเปิดการ ฝึกร่วมโครฟไทเกอร์ที่ประเทศสิงคโปร์ และเดินทางกลับในวันที่ 12 ธันวาคมนี้
สำหรับการโจมตีโครงการจัดซื้อเครื่องบินกริพเพนของกองทัพอากาศราคาสูงกว่าประเทศอื่นที่จัดซื้อนั้น น.อ.มณฑล กล่าวว่า ต้องพิจารณาดูตาม เงื่อนไขของการจัดซื้อในแต่ละประเทศ เพราะการจัดซื้อเครื่องบินแต่ละประเทศจะมีส่วนประกอบที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละประเทศจัดซื้อเครื่องบิน โดยมีรายละเอียดส่วนประกอบแตกต่างกัน ซึ่งกองทัพอากาศจัดซื้อเครื่องบินกริพเพน จำนวน 6 เครื่อง ราคา 19,000 ล้านบาท โดยมีของแถมออฟชั่นจากประเทศสวีเดน อาทิ เครื่องบินซาร์ป 340 ซึ่งเป็นเครื่องบินสอดแนมทางอากาศ รวมทั้งสวีเดนมีทุนเรียนต่อปริญญาโทให้กับไทย เพื่อศึกษาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของอากาศยาน
"กองทัพอากาศพิจารณาจัดซื้อทุกขั้นตอน มีการพิจารณาผ่านคณะกรรมการ และมีการตรวจสอบคุณสมบัติ สามารถเปิดเผยและตรวจสอบได้ เพราะทุกอย่างกองทัพอากาศดำเนินการตามขั้นตอน ยืนยันว่ามีความเหมาะสมกับกองทัพอากาศ ดังนั้น หากประเทศที่เขาอ้างว่าซื้อราคาถูกกว่าไทย ต้องดูเงื่อนไขของแต่ละประเทศว่าเป็นอย่างไร หากเขามีรายละเอียดครบตามที่ไทยจัดซื้อ แล้วเราซื้อแพงกว่าประเทศอื่น กองทัพอากาศพร้อมยอมรับและให้ตรวจสอบ"
นายทหาร คนใกล้ชิด พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีต ผบ.ทอ.และอดีตรักษาการประธาน คมช. กล่าวถึงกรณีที่นาย จตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวโจมตีว่านำเงินที่ได้จากการจัดซื้อเครื่องบินกริพเพนของกองทัพอากาศมาสร้างบ้านจำนวน 3 หลังบนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ว่า บ้านพักของ พล.อ.อ.ชลิต ที่สร้างอยู่ในซอยชินเขต จำนวน 3 หลัง ตามที่เป็นข่าวนั้น เป็นการสร้างบ้านหลังใหม่บนพื้นที่เดิมของครอบครัวท่าน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินมรดกของมารดาท่าน และบ้านจำนวน 3 หลังก็เป็นการรวมเงินลงขันกันของพี่น้องท่านไปกู้ธนาคาร มาสร้างร่วมกัน โดยสร้างติดกัน 3 หลัง เพื่อให้พี่น้องได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เป็นการ นำเงินจากการจัดซื้อเครื่องบินของกองทัพอากาศมาสร้างตามที่เป็นข่าว
"บ้านจำนวน 3 หลังนี้ สร้างตั้งแต่สมัยที่ พล.อ.อ.ชลิต ยังดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ทอ. และสร้างให้เสร็จหลังท่านเกษียณ เพื่อจะได้มาพักที่บ้านดังกล่าวหลังเกษียณราชการ เพราะสมัยที่ท่านเป็น ผบ.ทอ. ท่านอยู่บ้านพักราชการ ดังนั้น เมื่อเกษียณจึงต้องสร้างบ้านเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นการลงขันร่วมกันของพี่น้องท่าน”นายทหารคนใกล้ชิดกล่าว