ASTV ผู้จัดการรายวัน – “ศุภวุฒิ” คาดการณ์นักลงทุนต่างชาติหยุดขายหุ้นไทยภายในสิ้นปีนี้ ก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วงครึ่งปีแรก พร้อมหนุนให้นักลงทุนทยอยเก็บหุ้นราคาถูก ถือยาว 3-5 ปี ด้าน “นิเวศน์” เผยส่งออกไทยไม่ย่ำแย่อย่างที่คิด เหตุเป็นสินค้าจำเป็น-ราคาถูก ขณะที่ “สมชาย” ชี้ปีหน้าตลาดหุ้นไทยยังผันผวน
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการหัวหน้าสายงานวิจัย บล. ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA กล่าว แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2551 ว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากว่าจีดีพีไทยจะเติบโตเท่าไร จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2% ขณะที่ในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 1 ใน 3 ของปีนี้ โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้น่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกร และผู้ส่งออกเป็นหลัก
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2552 จากวิฤตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประมาณ 2 ปี และคาดว่าแรงเทขายหุ้นน่าจะหมดภายในสิ้นปีนี้ ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ดังนั้นนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวและสามารถถือได้ยาวประมาณ 3-5 ปี ให้เริ่มทยอยเก็บหุ้น โดยเลือกซื้อบริษัทที่ผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ สภาพคล่องที่ดี จ่ายเงินปันผลในอัตราสูง
ด้านนายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ปรึกษาสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกในปี 2552 น่าจะยังพอไปได้ เพราะสินค้าส่งออกเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการบริโภคและมีราคาถูก ทำให้ไม่น่าได้รับความเสียหายมากอย่างที่หลายคนคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าที่ลดลงเป็นเพียงความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2552 คาดยังมีทิศทางที่ไม่สดใสนัก ยกเว้นผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาว 2-3 ปี เพราะปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้ว โดยคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า 7% เทียบกับวิกฤตครั้งก่อนในปี 2540 ที่มีอัตราผลตอบแทนเพียง 6%
“อัตราผลตอบแทนตลาดหุ้นอยู่ในระดับที่ดี โดยปีหน้าอัตราผลตอบแทนน่าจะอยู่ที่ 6-7% แต่หากราคาหุ้นตกไป 5-6% ถือว่าเป็นการเสมอทุน โดยหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงและมีการแข่งขันไม่สูงนัก รวมทั้งยังได้รับผลกระทบจากวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่มากนัก ขณะเดียวกันนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มคอมมูนิตี้ ที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง”
นายสมชาย ภัคภาควิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2552 อยู่ในภาวะที่ไม่น่าไว้วางใจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะติดลบ 3-4% แม้ว่าประเทศจีนจะมีทุนสำรองเยอะ แต่อาจไม่เพียงพอที่จะรับวิกฤตปัญหาการเงินที่เกิดทั่วโลก เว้นแต่ภาครัฐบาลของจีนจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงคาดว่าจีดีพีน่าจะโตที่ 7-8%
“แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะย่ำแย่ แต่ภาพลักษณ์ของประเทศยังคงดีอยู่ และคาดว่าจีดีพีจะโตที่ 1-3% หรืออาจติดลบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ทิศทางเศรษฐกิจโลกและการเมืองภายในประเทศ และภาคการส่งออกน่าจะขยายตัวเพียงตัวเลขหนึ่งหลักหรืออาจติดลบ แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายการคลัง ขณะที่การเมืองในประเทศมองว่าไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็จะมีการออกนโยบายออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ"
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2552 คาดว่ายังเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรุนแรง และราคาหุ้นยังสะท้อนสภาพตลาดที่เป็นจริง โดยดัชนีอาจมีโอกาสปรับลงได้อีก จากการที่ต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยเพื่อนำเงินกลับไปแก้ปัญหาในประเทศของตนเอง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าปัญหาต่างๆไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอที่ยังไม่จบ
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 380 จุด ยังไม่ใช่จุดต่ำสุดและยังมีแนวโน้มร่วงลงอีก ซึ่งจะเป็นไปในลักษณะนี้ประมาณ 1-2 ปี และสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นอย่างเร็วที่สุดประมาณช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 ตลาดหุ้นไทยเป็นทั้งวิกฤตและโอกาสสำหรับการลงทุนเพียงแต่ต้องรอดูจังหวะที่เหมาะสม” นายสมชายกล่าว
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการหัวหน้าสายงานวิจัย บล. ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA กล่าว แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2551 ว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากว่าจีดีพีไทยจะเติบโตเท่าไร จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2% ขณะที่ในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 1 ใน 3 ของปีนี้ โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้น่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกร และผู้ส่งออกเป็นหลัก
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2552 จากวิฤตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประมาณ 2 ปี และคาดว่าแรงเทขายหุ้นน่าจะหมดภายในสิ้นปีนี้ ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ดังนั้นนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวและสามารถถือได้ยาวประมาณ 3-5 ปี ให้เริ่มทยอยเก็บหุ้น โดยเลือกซื้อบริษัทที่ผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ สภาพคล่องที่ดี จ่ายเงินปันผลในอัตราสูง
ด้านนายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ปรึกษาสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกในปี 2552 น่าจะยังพอไปได้ เพราะสินค้าส่งออกเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการบริโภคและมีราคาถูก ทำให้ไม่น่าได้รับความเสียหายมากอย่างที่หลายคนคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าที่ลดลงเป็นเพียงความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2552 คาดยังมีทิศทางที่ไม่สดใสนัก ยกเว้นผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาว 2-3 ปี เพราะปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้ว โดยคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า 7% เทียบกับวิกฤตครั้งก่อนในปี 2540 ที่มีอัตราผลตอบแทนเพียง 6%
“อัตราผลตอบแทนตลาดหุ้นอยู่ในระดับที่ดี โดยปีหน้าอัตราผลตอบแทนน่าจะอยู่ที่ 6-7% แต่หากราคาหุ้นตกไป 5-6% ถือว่าเป็นการเสมอทุน โดยหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงและมีการแข่งขันไม่สูงนัก รวมทั้งยังได้รับผลกระทบจากวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่มากนัก ขณะเดียวกันนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มคอมมูนิตี้ ที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง”
นายสมชาย ภัคภาควิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2552 อยู่ในภาวะที่ไม่น่าไว้วางใจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะติดลบ 3-4% แม้ว่าประเทศจีนจะมีทุนสำรองเยอะ แต่อาจไม่เพียงพอที่จะรับวิกฤตปัญหาการเงินที่เกิดทั่วโลก เว้นแต่ภาครัฐบาลของจีนจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงคาดว่าจีดีพีน่าจะโตที่ 7-8%
“แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะย่ำแย่ แต่ภาพลักษณ์ของประเทศยังคงดีอยู่ และคาดว่าจีดีพีจะโตที่ 1-3% หรืออาจติดลบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ทิศทางเศรษฐกิจโลกและการเมืองภายในประเทศ และภาคการส่งออกน่าจะขยายตัวเพียงตัวเลขหนึ่งหลักหรืออาจติดลบ แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายการคลัง ขณะที่การเมืองในประเทศมองว่าไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็จะมีการออกนโยบายออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ"
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2552 คาดว่ายังเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรุนแรง และราคาหุ้นยังสะท้อนสภาพตลาดที่เป็นจริง โดยดัชนีอาจมีโอกาสปรับลงได้อีก จากการที่ต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยเพื่อนำเงินกลับไปแก้ปัญหาในประเทศของตนเอง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าปัญหาต่างๆไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอที่ยังไม่จบ
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 380 จุด ยังไม่ใช่จุดต่ำสุดและยังมีแนวโน้มร่วงลงอีก ซึ่งจะเป็นไปในลักษณะนี้ประมาณ 1-2 ปี และสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นอย่างเร็วที่สุดประมาณช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 ตลาดหุ้นไทยเป็นทั้งวิกฤตและโอกาสสำหรับการลงทุนเพียงแต่ต้องรอดูจังหวะที่เหมาะสม” นายสมชายกล่าว