การชุมนุมทางการเมืองของประชาชนที่ยาวนานที่สุดในโลกจบสิ้นลงไปแล้วเมื่อช่วงสายวานนี้ (3 ธ.ค.) ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและรอยยิ้มแห่งชัยชนะของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ทว่า เมื่อกล่าวถึง “ชัยชนะ” ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกนะครับที่ผู้ชุมนุมทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตรฯ กลับไม่ได้เงินทอง หรือทรัพย์สินอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านเลย ตรงกันข้าม ทุกคนมีแต่เสียเงิน เสียแรง เสียเวลา เสียน้ำตา เสียอวัยวะ เสียเลือดเนื้อ เสี่ยงชีวิต เสียค่ารถไปกลับบ้านไม่รู้กี่รอบ ท่ามกลางเสียงก่นด่าของสื่อและคนบางกลุ่มในบ้านเมืองที่โวยวายว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ทำประเทศชาติเสียหายหมดแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯ ทำเศรษฐกิจฉิบหาย ฯลฯ
กระนั้นพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ นับล้านๆ คน ต่างก็รู้ดีว่า สิ่งที่พวกเราเสียไปนั้น คุ้มเกินคุ้มกับสิ่งที่ประเทศชาติได้กลับมา นั่นคือ รัฐบาลทรราชได้ถูกโค่นให้ล้มครืนลงไปอีกครั้ง
เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี ครั้งที่ 3 ในรอบสามปี
ที่สำคัญที่สุด การเคลื่อนไหวยาวนาน 192 วัน ของกลุ่มพันธมิตรฯ ครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า อำนาจในการถ่วงดุลการเมือง การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ของบ้านเมือง ได้กลับมาสู่มือของประชาชนอีกครั้ง และการเคลื่อนไหวอันบริสุทธิ์ของประชาชนสามารถผลักกงล้อประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประเทศไทยให้เดินหน้าไปสู่หนทางที่ถูกต้องได้!
หลายปีที่ผ่านมา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือผู้จัดการและเอเอสทีวี เคยกล่าวกับคนรอบตัวหลายครั้งว่า ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วง 3-4 ปี เปรียบเสมือนเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศชาติ ไม่ว่าจากนี้ไป ระบอบทักษิณจะกำชัยชนะ หรือ ประชาชนผู้รักชาติ ศาสนาและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์จะล้มระบอบทักษิณสำเร็จ หากใครไม่สนใจประวัติศาสตร์ชาติช่วงนี้ไม่แสวงหา “ความจริง” จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็จะไม่มีวันที่จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับประเทศและสังคมไทยได้อีกเลย
...... สื่อสารมวลชน เองก็เช่นกัน
ตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ และการพิสูจน์ตัวอย่างอย่างเข้มข้นของสื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี (Asia Satellite Television) ซึ่งนำมาสู่ฐานผู้ชมขนาดมโหฬารประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรของประเทศไทย หรือกว่า 20 ล้านคน ซึ่งถ้าหากนับรวมเอาสื่อในเครือ ASTV ผู้จัดการ ที่มีเว็บไซต์ที่มีผู้ชมประมาณ 3-5 ล้านเพจวิวต่อวัน จำนวนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน ที่มียอดหลักแสนคนต่อวันแล้ว รวมถึงสื่อโทรทัศน์อย่าง ThaiPBS และ สื่อหนังสือพิมพ์ที่มีจุดยืนอยู่ข้างประชาชนอีก 2-3 ฉบับแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์ให้เห็นชัดว่า สื่อกระแสหลักในบ้านเมืองนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการให้ “ความจริง” กับประชาชน
โทรทัศน์ช่อง 3 5 7 และ 9 กลายเป็นสื่อเชิงพาณิชย์ สื่อมอมเมา สื่อฉาบฉวย ที่ปราศจากบทบาทใดๆ ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาของประเทศ และกำหนดอนาคตของสังคม ทั้งๆ ที่ประเทศชาติกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตจนเกือบถึงขั้นสงครามกลางเมือง สื่อเหล่านี้กลับได้แต่เพียงนำเสนอละครน้ำเน่า เกมโชว์ไร้สาระ รายการบริโภคนิยมไปวันๆ
ทั้งนี้ที่น่าเศร้าใจที่สุดก็คือ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 5 ที่เป็นสื่อโทรทัศน์ในความดูแลของกองทัพบก ซึ่งมีหน้าที่รักษาความมั่นคงและความสงบภายในประเทศกลับประพฤติตัวเยี่ยงสื่อเชิงพาณิชย์ช่องอื่นๆ ทว่าละเลยภารกิจหลักของตัวเองในการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศและปกป้องสถาบันหลักของชาติไปเสียสิ้น
ส่วนช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ หรือเอ็นบีที ก็ประกาศตัวชัดว่าพร้อมจะเป็นเครื่องมือให้กับระบอบทรราช โดยอาศัยทรัพยากรของคนทั้งประเทศ เงินภาษีอากรของคน 63 ล้านคน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยกับฉายา “กรมกร๊วก” ที่หน่วยงานนี้ได้รับการเชิดชู (หรือบางครั้งช่วยจุดไฟฉลองให้ฟรีๆ) มาทุกยุคทุกสมัย
ทางด้านสื่อหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นหัวสี หรือหัวขาวดำ ต่างใช้วิธีท่องคาถา “กูเป็นกลาง กูเป็นกลาง กูเป็นกลาง” เป็นเกราะป้องกันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในทางปฏิบัติหนังสือพิมพ์เหล่านี้กลับประพฤติตนเป็น “ไผ่ลู่ลม” ตลอดเวลา
ทางหนึ่ง คือ คอยกระแหนะกระแหนจับผิดกลุ่มพันธมิตรฯ ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าที่จะไปตรวจสอบการคอร์รัปชันอย่างมโหฬาร การไล่ล่าถามความรับผิดชอบจากรัฐบาลกรณีทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ละเมิดกฎหมายสำคัญอื่นๆ ประพฤติผิดคุณธรรม-จริยธรรม ทำร้าย-เข่นฆ่าประชาชน
อีกทางหนึ่งก็คอยลงข่าวแบบเกรงอกเกรงใจผู้กุมอำนาจรัฐ ตำรวจ ทหาร ทว่ากลับไม่เคยแสดงท่าทีปกป้องสถาบันกษัตริย์ที่ถูกบ่อนทำลาย และจาบจ้วงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจากคนในระบอบทักษิณ
นอกจากนี้ สื่อเหล่านี้ยังไม่เคยปกป้องหรือเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงครอบครัวของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เลย ทั้งยังมองประชาชนในนามกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยว่า เป็นพวกแส่หาเรื่อง รนหาที่เจ็บ/ที่ตายเอง ที่สำคัญสื่อเหล่านี้ยังทำตัวเป็นเครื่องมือชั้นดีในการแพร่กระจายข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวใส่ร้าย ให้กับนักการเมือง/ตำรวจที่เป็นฆาตกรตัวหลักในการเข่นฆ่าและทำร้ายประชาชนอีกด้วย
ทัศนคติในการทำสื่อแบบใส่ร้าย บิดเบือน ฉาบฉวย และเอาตัวกูรอดอย่างเดียวเช่นนี้ ได้รับพิสูจน์จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้แล้วว่า “ผิดพลาด”
ผิดพลาด … ทั้งในฐานะสื่อสารมวลชน
ผิดพลาด ... ทั้งในฐานะของความเป็นคนไทย
และที่สำคัญที่สุด ผิดพลาดในเชิงคุณธรรม จริยธรรม และสำนึกของความเป็นมนุษย์
“สื่อลู่ลม” บางสำนัก-บางค่ายได้รับบทเรียนอย่างเจ็บปวดไปแล้ว จากความผิดพลาดดังกล่าว ทว่า ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดครั้งนี้หรือไม่ ทั้งๆ ที่มันก็เป็นความผิดพลาดแบบเดิมๆ ที่พวกเขาเคยทำมาแล้วเมื่อสมัยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
กระนั้นผมยังเชื่อว่าคนข่าว บุคลากรด้านข่าวส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เป็นคนที่รู้ว่าอะไรถูก-อะไรผิด อะไรชอบธรรม-อะไรไม่ชอบธรรม ทว่า อาจจะยังถูกอิทธิพลและอำนาจของอธรรม ของนักการเมือง ของผู้บริหารองค์กร ของบรรณาธิการ หรืออาจจะเป็นความกลัวส่วนตัว กดเอาไว้อยู่
แต่ทุกท่านได้โปรดเชื่อเถอะครับ เชื่อว่าการเป็นสื่อในอ้อมกอดของประชาชนนั้นอบอุ่นและน่าภาคภูมิใจกว่า การเป็นสื่อที่เลี้ยงชีพด้วยเม็ดเงินที่มาจากความละโมบ โลภมาก หรือนักการเมืองเป็นไหนๆ
ทว่า เมื่อกล่าวถึง “ชัยชนะ” ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกนะครับที่ผู้ชุมนุมทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตรฯ กลับไม่ได้เงินทอง หรือทรัพย์สินอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านเลย ตรงกันข้าม ทุกคนมีแต่เสียเงิน เสียแรง เสียเวลา เสียน้ำตา เสียอวัยวะ เสียเลือดเนื้อ เสี่ยงชีวิต เสียค่ารถไปกลับบ้านไม่รู้กี่รอบ ท่ามกลางเสียงก่นด่าของสื่อและคนบางกลุ่มในบ้านเมืองที่โวยวายว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ทำประเทศชาติเสียหายหมดแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯ ทำเศรษฐกิจฉิบหาย ฯลฯ
กระนั้นพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ นับล้านๆ คน ต่างก็รู้ดีว่า สิ่งที่พวกเราเสียไปนั้น คุ้มเกินคุ้มกับสิ่งที่ประเทศชาติได้กลับมา นั่นคือ รัฐบาลทรราชได้ถูกโค่นให้ล้มครืนลงไปอีกครั้ง
เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี ครั้งที่ 3 ในรอบสามปี
ที่สำคัญที่สุด การเคลื่อนไหวยาวนาน 192 วัน ของกลุ่มพันธมิตรฯ ครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า อำนาจในการถ่วงดุลการเมือง การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ของบ้านเมือง ได้กลับมาสู่มือของประชาชนอีกครั้ง และการเคลื่อนไหวอันบริสุทธิ์ของประชาชนสามารถผลักกงล้อประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประเทศไทยให้เดินหน้าไปสู่หนทางที่ถูกต้องได้!
หลายปีที่ผ่านมา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือผู้จัดการและเอเอสทีวี เคยกล่าวกับคนรอบตัวหลายครั้งว่า ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วง 3-4 ปี เปรียบเสมือนเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศชาติ ไม่ว่าจากนี้ไป ระบอบทักษิณจะกำชัยชนะ หรือ ประชาชนผู้รักชาติ ศาสนาและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์จะล้มระบอบทักษิณสำเร็จ หากใครไม่สนใจประวัติศาสตร์ชาติช่วงนี้ไม่แสวงหา “ความจริง” จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็จะไม่มีวันที่จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับประเทศและสังคมไทยได้อีกเลย
...... สื่อสารมวลชน เองก็เช่นกัน
ตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ และการพิสูจน์ตัวอย่างอย่างเข้มข้นของสื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี (Asia Satellite Television) ซึ่งนำมาสู่ฐานผู้ชมขนาดมโหฬารประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรของประเทศไทย หรือกว่า 20 ล้านคน ซึ่งถ้าหากนับรวมเอาสื่อในเครือ ASTV ผู้จัดการ ที่มีเว็บไซต์ที่มีผู้ชมประมาณ 3-5 ล้านเพจวิวต่อวัน จำนวนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน ที่มียอดหลักแสนคนต่อวันแล้ว รวมถึงสื่อโทรทัศน์อย่าง ThaiPBS และ สื่อหนังสือพิมพ์ที่มีจุดยืนอยู่ข้างประชาชนอีก 2-3 ฉบับแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์ให้เห็นชัดว่า สื่อกระแสหลักในบ้านเมืองนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการให้ “ความจริง” กับประชาชน
โทรทัศน์ช่อง 3 5 7 และ 9 กลายเป็นสื่อเชิงพาณิชย์ สื่อมอมเมา สื่อฉาบฉวย ที่ปราศจากบทบาทใดๆ ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาของประเทศ และกำหนดอนาคตของสังคม ทั้งๆ ที่ประเทศชาติกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตจนเกือบถึงขั้นสงครามกลางเมือง สื่อเหล่านี้กลับได้แต่เพียงนำเสนอละครน้ำเน่า เกมโชว์ไร้สาระ รายการบริโภคนิยมไปวันๆ
ทั้งนี้ที่น่าเศร้าใจที่สุดก็คือ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 5 ที่เป็นสื่อโทรทัศน์ในความดูแลของกองทัพบก ซึ่งมีหน้าที่รักษาความมั่นคงและความสงบภายในประเทศกลับประพฤติตัวเยี่ยงสื่อเชิงพาณิชย์ช่องอื่นๆ ทว่าละเลยภารกิจหลักของตัวเองในการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศและปกป้องสถาบันหลักของชาติไปเสียสิ้น
ส่วนช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ หรือเอ็นบีที ก็ประกาศตัวชัดว่าพร้อมจะเป็นเครื่องมือให้กับระบอบทรราช โดยอาศัยทรัพยากรของคนทั้งประเทศ เงินภาษีอากรของคน 63 ล้านคน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยกับฉายา “กรมกร๊วก” ที่หน่วยงานนี้ได้รับการเชิดชู (หรือบางครั้งช่วยจุดไฟฉลองให้ฟรีๆ) มาทุกยุคทุกสมัย
ทางด้านสื่อหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นหัวสี หรือหัวขาวดำ ต่างใช้วิธีท่องคาถา “กูเป็นกลาง กูเป็นกลาง กูเป็นกลาง” เป็นเกราะป้องกันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในทางปฏิบัติหนังสือพิมพ์เหล่านี้กลับประพฤติตนเป็น “ไผ่ลู่ลม” ตลอดเวลา
ทางหนึ่ง คือ คอยกระแหนะกระแหนจับผิดกลุ่มพันธมิตรฯ ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าที่จะไปตรวจสอบการคอร์รัปชันอย่างมโหฬาร การไล่ล่าถามความรับผิดชอบจากรัฐบาลกรณีทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ละเมิดกฎหมายสำคัญอื่นๆ ประพฤติผิดคุณธรรม-จริยธรรม ทำร้าย-เข่นฆ่าประชาชน
อีกทางหนึ่งก็คอยลงข่าวแบบเกรงอกเกรงใจผู้กุมอำนาจรัฐ ตำรวจ ทหาร ทว่ากลับไม่เคยแสดงท่าทีปกป้องสถาบันกษัตริย์ที่ถูกบ่อนทำลาย และจาบจ้วงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจากคนในระบอบทักษิณ
นอกจากนี้ สื่อเหล่านี้ยังไม่เคยปกป้องหรือเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงครอบครัวของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เลย ทั้งยังมองประชาชนในนามกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยว่า เป็นพวกแส่หาเรื่อง รนหาที่เจ็บ/ที่ตายเอง ที่สำคัญสื่อเหล่านี้ยังทำตัวเป็นเครื่องมือชั้นดีในการแพร่กระจายข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวใส่ร้าย ให้กับนักการเมือง/ตำรวจที่เป็นฆาตกรตัวหลักในการเข่นฆ่าและทำร้ายประชาชนอีกด้วย
ทัศนคติในการทำสื่อแบบใส่ร้าย บิดเบือน ฉาบฉวย และเอาตัวกูรอดอย่างเดียวเช่นนี้ ได้รับพิสูจน์จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้แล้วว่า “ผิดพลาด”
ผิดพลาด … ทั้งในฐานะสื่อสารมวลชน
ผิดพลาด ... ทั้งในฐานะของความเป็นคนไทย
และที่สำคัญที่สุด ผิดพลาดในเชิงคุณธรรม จริยธรรม และสำนึกของความเป็นมนุษย์
“สื่อลู่ลม” บางสำนัก-บางค่ายได้รับบทเรียนอย่างเจ็บปวดไปแล้ว จากความผิดพลาดดังกล่าว ทว่า ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดครั้งนี้หรือไม่ ทั้งๆ ที่มันก็เป็นความผิดพลาดแบบเดิมๆ ที่พวกเขาเคยทำมาแล้วเมื่อสมัยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
กระนั้นผมยังเชื่อว่าคนข่าว บุคลากรด้านข่าวส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เป็นคนที่รู้ว่าอะไรถูก-อะไรผิด อะไรชอบธรรม-อะไรไม่ชอบธรรม ทว่า อาจจะยังถูกอิทธิพลและอำนาจของอธรรม ของนักการเมือง ของผู้บริหารองค์กร ของบรรณาธิการ หรืออาจจะเป็นความกลัวส่วนตัว กดเอาไว้อยู่
แต่ทุกท่านได้โปรดเชื่อเถอะครับ เชื่อว่าการเป็นสื่อในอ้อมกอดของประชาชนนั้นอบอุ่นและน่าภาคภูมิใจกว่า การเป็นสื่อที่เลี้ยงชีพด้วยเม็ดเงินที่มาจากความละโมบ โลภมาก หรือนักการเมืองเป็นไหนๆ