ASTVผู้จัดการรายวัน -อดีตทูต "สุรพงษ์ ชัยนาม" จวกคำแถลงทูตอียู ส่งสัญญาณ“สมชาย”ปราบพันธมิตรฯ หวังประโยชน์ประเทศตัวเองเป็นหลัก สวนกลับทีประท้วง-เผาสนามบินในยุโรป ทำไมไม่ประณาม ด้าน "พล.อ.อ.เทิดศักดิ์" อดีตผู้ว่าการท่าฯ จวกรัฐบาลจงใจปั่นตัวเลขความเสียหายเกินความจริง “ปราโมทย์” สับเละ อเมริกา-อียูแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย
วานนี้ (30 พ.ย.) นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และคณะทูตจากประเทศในสหภาพยุโรปออกแถลงการณ์ตำหนิพันธมิตรฯ ว่าสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเป็นอย่างมากกรณีปิดสนามสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองนั้น สหรัฐฯและอียูดำเนินการอย่างไม่มีเหตุผล โดยไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุว่าเพราะอะไรพันธมิตรฯ จึงต้องไปทำการปิดสนามบิน
ทั้งนี้ อยากจะถามกลับไปยังคณะทูตเหล่านั้นว่า การกระทำครั้งนี้ไม่เหมาะสมอย่างไร เพราะถึงแม้การปิดสนามบินอาจจะเป็นเรื่องใหม่ เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย แต่สำหรับในต่างประเทศ รวมถึงในประเทศยุโรปทั้ง 25 ประเทศนั้น เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาเป็น 10 ปีแล้ว จนเรียกได้ว่าประเทศเหล่านี้เป็นต้นแบบของการชุมนุมปิดสนามบินด้วยซ้ำ ตนจึงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยบ้างคณะทูตเหล่านี้จึงมองเป็นเรื่องแปลก ถึงขนาดที่จะต้องออกแถลงการณ์มาประณามกัน
ที่สำคัญคือการปิดสนามบินของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้อาจเรียกได้ว่าดีกว่าที่เกิดขึ้นกับหลายประเทศด้วยซ้ำ เพราะเป็นการชุมนุมและเข้าไปปิดล้อมด้วยความ สันติและอหิงสา ไม่ได้ใช้ความรุนแรงถึงขนาดเผาหรือทำลายสนามบินอย่างในต่างประเทศ
นายสุรพงษ์กล่าวต่อว่า เนื้อหาในแถลงการณ์ดังกล่าวที่เรียกร้องให้พันธมิตรฯ สลายการชุมนุมแล้วออกจากสนามบินสุวรรณภูมินั้น ตนก็อยากจะตั้งคำถามว่า เหตุใดคณะทูต จึงได้กล่าวหาว่าพันธมิตรฯ เป็นฝ่ายผิดแล้วก็มาเรียกร้องให้ฝ่ายพันธมิตรฯ ดำเนินการแก้ไขเหตุการณ์อยู่เพียงฝ่ายเดียว ทำไมจึงไม่ไปเรียกร้องกับรัฐบาลให้ดำเนินการแก้ไขบ้าง เพราะทั้งที่จริงแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้ง 7 เดือนนั้น จนถึงเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากการกระทำของฝ่ายรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะพันธมิตรฯ เลย
ทั้งนี้ในเรื่องของการปิดสนามบินนั้น รัฐบาลทั่วโลกก็รู้ดีว่า แท้จริงแล้วเมื่อเกิดการปิดสนามบินขึ้น รัฐบาลจะต้องมีการเตรียมการและแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ได้ อย่างในประเทศไทยก็เช่นกัน เมื่อมีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว หากรัฐบาลจะดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการสั่งการขนย้ายผู้โดยสารที่ตกค้าง และให้สายการบินต่าง ๆ ไปขึ้นและลงที่สนามบินอื่น เช่น สนามบินอู่ตะเภา ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ซึ่งหากทำเช่นนั้นประชาชนและภาคธุรกิจทั่วไปก็แทบจะไม่ได้รับความเสียหายเลย หากแต่ในครั้งนี้รัฐบาลเลือกที่จะใช้วิธีไม่ประสานงาน และไม่ดำเนินการแก้ปัญหาใด ๆ ปล่อยให้เกิดความเสียหายขึ้น เพื่อหวังนำประเด็นดังกล่าว มาโจมตีพันธมิตรฯ ว่าสร้างความเสียหายต่อประเทศ เรียกได้ว่ารัฐบาลได้นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง โดยให้พันธมิตรฯ เป็นแพะรับบาปทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ส่วนในแถลงการณ์ข้อที่ระบุว่า ขอให้พันธมิตรฯ ร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีเพื่อยุติความรุนแรงนั้น ตนมองว่า เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ว่าเหตุใด แถลงการณ์ดังกล่าวจึงไม่กล่าวถึงเลย ว่าแท้จริงแล้วความรุนแรงที่เกิดนั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดขึ้นจากฝ่ายใด นี้จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าคณะทูตเหล่านี้ จงใจที่จะปิดหูปิดตา ไม่รับรู้ความจริงของเรื่องนี้ แล้วจงใจจะกล่าวหาพันธมิตรฯ ต่าง ๆ นานา เห็นได้จากในต่างประเทศเมื่อมีการเรียกร้องโดยปิดสนามบินนั้น จะมีการชี้แจงจากรัฐบาลออกมาว่า เป็นเรื่องธรรมดาของการใช้สิทธิเรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อเป็นในประเทศไทยคนเหล่านี้ กลับบอกว่า นี่คือสิ่งที่ผิดรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมาย หรือเข้าข่ายการก่อการร้าย
นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า การที่แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ต้องการให้มีการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อให้การค้าการลงทุนไม่ชะงักนั้น ก็เป็นการบ่งบอกได้เลยว่า คนเหล่านี้นึกถึงแต่ผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศตนเองเป็นหลัก โดยไม่ได้มองผลที่เกิดขึ้นกับคนในประเทศไทยเลยว่า หากมีการเปิดสนามบินแล้ว รัฐบาลกระทำการแก้รัฐธรรมนูญ ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม หรือแม้แต่ความขัดแย้งรุนแรงยังมีอยู่ต่อไป จะส่งผลเสียกับคนไทยและประเทศไทยมากเพียงใด
ดังนั้นตนจึงมองว่า เนื้อหาของแถลงการณ์ดังกล่าว และการกระทำของของคณะทูตในครั้งนี้ เป็นการเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในประเทศไทยเป็นอย่างมาก รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาลว่า ให้รีบดำเนินการสลายการชุมนุมโดยเร็ว จะใช้ความรุนแรงก็ได้ ขอเพียงให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว เพื่อที่ประเทศของเขาจะได้ไม่สูญเสียผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ฉะนั้นหากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขั้วอำนาจในการบริหารประเทศยังไม่ได้ตกมาอยู่ในมือประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนและประเทศของเราคงต้องอยู่อย่างยากลำบาก
**อดีตผู้ว่าฯการท่าซัดรบ.ปั่นความเสียหายเกินจริง
พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจารักษ์ อดีตผู้ว่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย และอดีตเสนาธิการทหารอากาศ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่รัฐบาล และทูตประเทศต่าง ๆ กล่าวหาและโจมตีว่า การยึดสนามบินของพันธมิตรฯ สร้างความเสียหายต่อประเทศเป็นจำนวนมหาศาลนั้น ตนในฐานะที่คุ้นเคยกับการท่าอากาศยานมานาน ก็ยอมรับว่า การปิดสนามบินนั้นได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติจริง แต่ตัวเลขความเสียหายนั้น ไม่ได้มากมายอย่างที่รัฐบาลและการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย แถลงข่าวออกมาใส่ร้ายพันธมิตรฯ
ทั้งนี้จากเหตุการณ์วันแรก ตั้งแต่พันธมิตรฯ เข้าไปปิดล้อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมินั้น เที่ยวบินต่าง ๆ ในคืนวันนั้นจนถึง 10.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ก็ยังสามารถขึ้นลงได้ตามปกติ และยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงที่จะแจ้งข่าวไปยังผู้โดยสาร และหน่วยงานต่าง ๆ แต่รัฐบาลและ การท่าอากาศยาน ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ แต่กลับเอาเที่ยวบินที่ไม่ได้รับความเสียหายนั้นมาบวกรวมเป็นค่าเสียหายเข้าไปด้วย ตลอดจนอ้างว่าผู้โดยสารและ หน่วยงานต่าง ๆ ต้องเสียเวลาเนื่องจากไม่ทราบมาก่อนว่าจะปิดการบิน ซึ่งแท้จริงแล้วหากรัฐบาล กรมขนส่งทางอากาศ และการท่าอากาศยานดำเนินการไปตามขั้นตอนตามปกติของการบิน นั่นคือในการดำเนินการของท่าอากาศยานของทุกประเทศทั่วโลก ในการบินแต่ละเที่ยวของทุกสายการจะต้องมีการเตรียมสนามบินสำรองเอาไว้เสมอ ซึ่งสนามบินสำรองของเมืองไทย ก็มีอยู่หลายแห่ง ที่ยังสามารถรองรับการบินได้อยู่ แต่ด้วยความที่รัฐบาลและ ผู้ว่าการท่าอากาศยาน หมกเม็ด และขาดความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหา จึงทำให้รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาใด ๆ ได้เลย จนเกิดความเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็นเช่นนี้
ดังนั้นเรื่องความเสียหายนี้ เป็นแผนการที่รัฐบาลวางแผนเอาไว้แล้วว่าถ้าพันธมิตรฯ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ จะต้องสร้างข่าวว่าประเทศเสียหายมหาศาล โดยการไปสัมภาษณ์ผู้ประกอบการต่างชาติ ว่าเสียหายมหาศาล ทั้งที่จริงผู้ประกอบการเหล่านั้นก็รู้แล้วว่าจะมีการปิดสนามบิน ดังนั้นความเสียหายจึงไม่ได้มากมาย อย่างที่รัฐบาลแถลงตัวเลขออกมา
** “ปราโมทย์” สับเละ อเมริกา-อียู
ไม่มีหน้าที่สั่งพันธมิตรฯ เปิดสนามบิน
นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการรัฐศาสตร์ กล่าวว่า นักโกหก ยุ่งจุ้นจ้าน ตลบตะแลง อย่างสหรัฐอเมริกา และ อียู ไม่มีหน้าที่มาบอกไทย ว่า ไม่ควรปิดสนามบิน เป็นการผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศเหล่านี้กลับปิดสนามบินบ่อยที่สุด เข้าทำนองว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เวลาปิดสนามบินก็ปิดด้วยเรื่องเล็กน้อยไม่มีเหตุผล ถือว่าเป็นเรื่องปกติของเขา และไม่สนใจไยดีที่จะดูแลคนของเขาปล่อยให้ลำบาก
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ความจริงพันธมิตรฯไม่ต้องการยึดสุวรรณภูมิ เราชุมนุมมากว่า 180 วัน ตามสิทธิรัฐธรรมนูญ โดยอารยะขัดขืน ไม่มีในโลกที่ประเทศไหนจะสู้ได้ แต่รัฐบาลนี้หน้าด้านที่สุดในโลก ไม่มีรัฐบาลไหนหน้าด้านเท่านี้อีกแล้ว การเข้ามาของรัฐบาลนี้ก็เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ซื้อเสียงเข้ามา และยังมาใช้อำนาจในทางที่ผิดกฎหมายอีก โกงกิน ท้าทายสถาบัน และจะด้านอยู่อย่างผิดกฎหมายต่อไป มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง การปิดสนามบินเป็นการโกหกของนายสมชาย ผู้ว่าการการท่าฯ ที่บอกว่าว่า เสียหายวันละแสนล้าน ถ้านายสมชายลาออก ก็จะสามารถระงับวิกฤตชาติ ก็จะประหยัดเงินได้มากกว่านี้ สุดท้ายเชื่อว่ารัฐบาลนี้ต้องม้วนเสื่อแน่นอน
“เรื่องนี้ทักษิณได้ใช้สัมพันธภาพกับประธานาธิบดีบุช เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศของเรา ผ่าน นายเจมส์ เบอร์เกอร์ อดีต รมต.ต่างประเทศ เป็นล็อบบียิสต์ นายบุช เป็นประธานาธิบดีที่เลวที่สุดในโลก และกำลังจะหมดอำนาจ ไม่ควรดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนโยบายแล้ว ประเทศไทยเกิดก่อนอเมริกาจะเกิดถึง 800 ปี เรามีอารยธรรม มากกว่าที่จะเข้าไปยุ่งกิจการภายในของประเทศอื่น” นายปราโมทย์ กล่าว
วานนี้ (30 พ.ย.) นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และคณะทูตจากประเทศในสหภาพยุโรปออกแถลงการณ์ตำหนิพันธมิตรฯ ว่าสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเป็นอย่างมากกรณีปิดสนามสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองนั้น สหรัฐฯและอียูดำเนินการอย่างไม่มีเหตุผล โดยไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุว่าเพราะอะไรพันธมิตรฯ จึงต้องไปทำการปิดสนามบิน
ทั้งนี้ อยากจะถามกลับไปยังคณะทูตเหล่านั้นว่า การกระทำครั้งนี้ไม่เหมาะสมอย่างไร เพราะถึงแม้การปิดสนามบินอาจจะเป็นเรื่องใหม่ เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย แต่สำหรับในต่างประเทศ รวมถึงในประเทศยุโรปทั้ง 25 ประเทศนั้น เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาเป็น 10 ปีแล้ว จนเรียกได้ว่าประเทศเหล่านี้เป็นต้นแบบของการชุมนุมปิดสนามบินด้วยซ้ำ ตนจึงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยบ้างคณะทูตเหล่านี้จึงมองเป็นเรื่องแปลก ถึงขนาดที่จะต้องออกแถลงการณ์มาประณามกัน
ที่สำคัญคือการปิดสนามบินของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้อาจเรียกได้ว่าดีกว่าที่เกิดขึ้นกับหลายประเทศด้วยซ้ำ เพราะเป็นการชุมนุมและเข้าไปปิดล้อมด้วยความ สันติและอหิงสา ไม่ได้ใช้ความรุนแรงถึงขนาดเผาหรือทำลายสนามบินอย่างในต่างประเทศ
นายสุรพงษ์กล่าวต่อว่า เนื้อหาในแถลงการณ์ดังกล่าวที่เรียกร้องให้พันธมิตรฯ สลายการชุมนุมแล้วออกจากสนามบินสุวรรณภูมินั้น ตนก็อยากจะตั้งคำถามว่า เหตุใดคณะทูต จึงได้กล่าวหาว่าพันธมิตรฯ เป็นฝ่ายผิดแล้วก็มาเรียกร้องให้ฝ่ายพันธมิตรฯ ดำเนินการแก้ไขเหตุการณ์อยู่เพียงฝ่ายเดียว ทำไมจึงไม่ไปเรียกร้องกับรัฐบาลให้ดำเนินการแก้ไขบ้าง เพราะทั้งที่จริงแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้ง 7 เดือนนั้น จนถึงเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากการกระทำของฝ่ายรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะพันธมิตรฯ เลย
ทั้งนี้ในเรื่องของการปิดสนามบินนั้น รัฐบาลทั่วโลกก็รู้ดีว่า แท้จริงแล้วเมื่อเกิดการปิดสนามบินขึ้น รัฐบาลจะต้องมีการเตรียมการและแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ได้ อย่างในประเทศไทยก็เช่นกัน เมื่อมีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว หากรัฐบาลจะดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการสั่งการขนย้ายผู้โดยสารที่ตกค้าง และให้สายการบินต่าง ๆ ไปขึ้นและลงที่สนามบินอื่น เช่น สนามบินอู่ตะเภา ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ซึ่งหากทำเช่นนั้นประชาชนและภาคธุรกิจทั่วไปก็แทบจะไม่ได้รับความเสียหายเลย หากแต่ในครั้งนี้รัฐบาลเลือกที่จะใช้วิธีไม่ประสานงาน และไม่ดำเนินการแก้ปัญหาใด ๆ ปล่อยให้เกิดความเสียหายขึ้น เพื่อหวังนำประเด็นดังกล่าว มาโจมตีพันธมิตรฯ ว่าสร้างความเสียหายต่อประเทศ เรียกได้ว่ารัฐบาลได้นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง โดยให้พันธมิตรฯ เป็นแพะรับบาปทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ส่วนในแถลงการณ์ข้อที่ระบุว่า ขอให้พันธมิตรฯ ร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีเพื่อยุติความรุนแรงนั้น ตนมองว่า เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ว่าเหตุใด แถลงการณ์ดังกล่าวจึงไม่กล่าวถึงเลย ว่าแท้จริงแล้วความรุนแรงที่เกิดนั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดขึ้นจากฝ่ายใด นี้จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าคณะทูตเหล่านี้ จงใจที่จะปิดหูปิดตา ไม่รับรู้ความจริงของเรื่องนี้ แล้วจงใจจะกล่าวหาพันธมิตรฯ ต่าง ๆ นานา เห็นได้จากในต่างประเทศเมื่อมีการเรียกร้องโดยปิดสนามบินนั้น จะมีการชี้แจงจากรัฐบาลออกมาว่า เป็นเรื่องธรรมดาของการใช้สิทธิเรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อเป็นในประเทศไทยคนเหล่านี้ กลับบอกว่า นี่คือสิ่งที่ผิดรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมาย หรือเข้าข่ายการก่อการร้าย
นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า การที่แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ต้องการให้มีการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อให้การค้าการลงทุนไม่ชะงักนั้น ก็เป็นการบ่งบอกได้เลยว่า คนเหล่านี้นึกถึงแต่ผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศตนเองเป็นหลัก โดยไม่ได้มองผลที่เกิดขึ้นกับคนในประเทศไทยเลยว่า หากมีการเปิดสนามบินแล้ว รัฐบาลกระทำการแก้รัฐธรรมนูญ ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม หรือแม้แต่ความขัดแย้งรุนแรงยังมีอยู่ต่อไป จะส่งผลเสียกับคนไทยและประเทศไทยมากเพียงใด
ดังนั้นตนจึงมองว่า เนื้อหาของแถลงการณ์ดังกล่าว และการกระทำของของคณะทูตในครั้งนี้ เป็นการเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในประเทศไทยเป็นอย่างมาก รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาลว่า ให้รีบดำเนินการสลายการชุมนุมโดยเร็ว จะใช้ความรุนแรงก็ได้ ขอเพียงให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว เพื่อที่ประเทศของเขาจะได้ไม่สูญเสียผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ฉะนั้นหากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขั้วอำนาจในการบริหารประเทศยังไม่ได้ตกมาอยู่ในมือประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนและประเทศของเราคงต้องอยู่อย่างยากลำบาก
**อดีตผู้ว่าฯการท่าซัดรบ.ปั่นความเสียหายเกินจริง
พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจารักษ์ อดีตผู้ว่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย และอดีตเสนาธิการทหารอากาศ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่รัฐบาล และทูตประเทศต่าง ๆ กล่าวหาและโจมตีว่า การยึดสนามบินของพันธมิตรฯ สร้างความเสียหายต่อประเทศเป็นจำนวนมหาศาลนั้น ตนในฐานะที่คุ้นเคยกับการท่าอากาศยานมานาน ก็ยอมรับว่า การปิดสนามบินนั้นได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติจริง แต่ตัวเลขความเสียหายนั้น ไม่ได้มากมายอย่างที่รัฐบาลและการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย แถลงข่าวออกมาใส่ร้ายพันธมิตรฯ
ทั้งนี้จากเหตุการณ์วันแรก ตั้งแต่พันธมิตรฯ เข้าไปปิดล้อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมินั้น เที่ยวบินต่าง ๆ ในคืนวันนั้นจนถึง 10.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ก็ยังสามารถขึ้นลงได้ตามปกติ และยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงที่จะแจ้งข่าวไปยังผู้โดยสาร และหน่วยงานต่าง ๆ แต่รัฐบาลและ การท่าอากาศยาน ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ แต่กลับเอาเที่ยวบินที่ไม่ได้รับความเสียหายนั้นมาบวกรวมเป็นค่าเสียหายเข้าไปด้วย ตลอดจนอ้างว่าผู้โดยสารและ หน่วยงานต่าง ๆ ต้องเสียเวลาเนื่องจากไม่ทราบมาก่อนว่าจะปิดการบิน ซึ่งแท้จริงแล้วหากรัฐบาล กรมขนส่งทางอากาศ และการท่าอากาศยานดำเนินการไปตามขั้นตอนตามปกติของการบิน นั่นคือในการดำเนินการของท่าอากาศยานของทุกประเทศทั่วโลก ในการบินแต่ละเที่ยวของทุกสายการจะต้องมีการเตรียมสนามบินสำรองเอาไว้เสมอ ซึ่งสนามบินสำรองของเมืองไทย ก็มีอยู่หลายแห่ง ที่ยังสามารถรองรับการบินได้อยู่ แต่ด้วยความที่รัฐบาลและ ผู้ว่าการท่าอากาศยาน หมกเม็ด และขาดความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหา จึงทำให้รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาใด ๆ ได้เลย จนเกิดความเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็นเช่นนี้
ดังนั้นเรื่องความเสียหายนี้ เป็นแผนการที่รัฐบาลวางแผนเอาไว้แล้วว่าถ้าพันธมิตรฯ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ จะต้องสร้างข่าวว่าประเทศเสียหายมหาศาล โดยการไปสัมภาษณ์ผู้ประกอบการต่างชาติ ว่าเสียหายมหาศาล ทั้งที่จริงผู้ประกอบการเหล่านั้นก็รู้แล้วว่าจะมีการปิดสนามบิน ดังนั้นความเสียหายจึงไม่ได้มากมาย อย่างที่รัฐบาลแถลงตัวเลขออกมา
** “ปราโมทย์” สับเละ อเมริกา-อียู
ไม่มีหน้าที่สั่งพันธมิตรฯ เปิดสนามบิน
นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการรัฐศาสตร์ กล่าวว่า นักโกหก ยุ่งจุ้นจ้าน ตลบตะแลง อย่างสหรัฐอเมริกา และ อียู ไม่มีหน้าที่มาบอกไทย ว่า ไม่ควรปิดสนามบิน เป็นการผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศเหล่านี้กลับปิดสนามบินบ่อยที่สุด เข้าทำนองว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เวลาปิดสนามบินก็ปิดด้วยเรื่องเล็กน้อยไม่มีเหตุผล ถือว่าเป็นเรื่องปกติของเขา และไม่สนใจไยดีที่จะดูแลคนของเขาปล่อยให้ลำบาก
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ความจริงพันธมิตรฯไม่ต้องการยึดสุวรรณภูมิ เราชุมนุมมากว่า 180 วัน ตามสิทธิรัฐธรรมนูญ โดยอารยะขัดขืน ไม่มีในโลกที่ประเทศไหนจะสู้ได้ แต่รัฐบาลนี้หน้าด้านที่สุดในโลก ไม่มีรัฐบาลไหนหน้าด้านเท่านี้อีกแล้ว การเข้ามาของรัฐบาลนี้ก็เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ซื้อเสียงเข้ามา และยังมาใช้อำนาจในทางที่ผิดกฎหมายอีก โกงกิน ท้าทายสถาบัน และจะด้านอยู่อย่างผิดกฎหมายต่อไป มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง การปิดสนามบินเป็นการโกหกของนายสมชาย ผู้ว่าการการท่าฯ ที่บอกว่าว่า เสียหายวันละแสนล้าน ถ้านายสมชายลาออก ก็จะสามารถระงับวิกฤตชาติ ก็จะประหยัดเงินได้มากกว่านี้ สุดท้ายเชื่อว่ารัฐบาลนี้ต้องม้วนเสื่อแน่นอน
“เรื่องนี้ทักษิณได้ใช้สัมพันธภาพกับประธานาธิบดีบุช เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศของเรา ผ่าน นายเจมส์ เบอร์เกอร์ อดีต รมต.ต่างประเทศ เป็นล็อบบียิสต์ นายบุช เป็นประธานาธิบดีที่เลวที่สุดในโลก และกำลังจะหมดอำนาจ ไม่ควรดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนโยบายแล้ว ประเทศไทยเกิดก่อนอเมริกาจะเกิดถึง 800 ปี เรามีอารยธรรม มากกว่าที่จะเข้าไปยุ่งกิจการภายในของประเทศอื่น” นายปราโมทย์ กล่าว