เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (28 พ.ย.) ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกนั่งบัลลังก์ นำโดย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ได้ตรวจบัญชีพยานของพรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคชาติไทย พรรคพลังประชาชนแล้ว และของทางอัยการสูงสุด (อสส.) แล้วโดยใช้เวลาพิจารณาตรวจเอกสารบัญชีพยาน ประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะออกมานั่งบัลลังก์ ชี้แจงต่อคู่กรณีว่า จากเอกสารหลักฐานที่ยื่นมานั้น มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนพยานตามที่ผู้ร้องได้ยื่นขอมา แต่จะให้หัวหน้าพรรคของทั้ง 3 พรรคหรือผู้แทน มาแถลงปิดคดีด้วยวาจา ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เวลา 09.30 น. หากไม่มาตามนัด จะถือว่าไม่ติดใจ อย่างไรก็ตาม หากผู้ร้องต้องกรที่จะยื่นคำชี้แจงเพิ่มเติม ก็สามารถทำเป็นคำชี้แจงมาเป็นเอกสารส่งมาให้ศาลก่อนวันที่ 2 ธ.ค. ทั้งนี้ ในส่วนที่ขอให้ศาลพิจารณา กรณีให้กรรมการบริหารพรรคเป็นคู่กรณีฝ่ายที่ 3 นั้น ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถส่งมาเป็นคำชี้แจงรวมกับผู้ถูกร้องได้
นายฉัตรชัย ชูแก้ว ทนายผู้รับมอบอำนาจจากหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวว่า นับว่าเป็นกระบวนการพิจารณาที่เร็วมาก และรวบรัดเกินไป โดยที่พรรคมัชฌิมาฯ ยังไม่มีโอการชี้แจงข้อเท็จจริงเลยจากพยานหลักฐานที่อยู่ ทั้งนี้ ในวันที่ 2 ธ.ค. จะให้นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมาแถลงปิดคดีด้วยตัวเอง ส่วนในการเพิกถอนสิทธิ์ของกรรมการบริหารพรรคนั้น ให้เป็นดุลยพินิจของทางคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ด้านนายธนา เบญจาธิกุล ทนายความผู้รับมอบอำนาจของพรรคพลังประชาชน กล่าวว่ากระบวนการพิจารณาค่อนข้างรวบรัด ทั้งที่ยังไม่ได้มีการไต่สวน หรือเปิดโอกาสให้กรรมการบริหารพรรคที่ไม่เกี่ยวข้องได้ใช้สิทธิ์ในการชี้แจงเลย ซึ่งทางศาลได้ยกกระบวนการวิธีพิจารณา โดยใช้ข้อกำหนดของศาลมาใช้ ซึ่งก็เป็นอำนาจของศาลที่ทำได้ แต่การพิจารณาประเด็นรัฐธรรมนูญ น่าจะให้สิทธิ์เราตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 40 ที่ถือว่าใหญ่กว่าข้อกำหนดวิธีพิจารณาของศาล แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อศาลออกมาอย่างนี้ เราก็ต้องรอลุ้นว่าผลการพิจารณาจะออกมาอย่างไร
ส่วนการแถลงปิดคดี ก็ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นผู้มาแถลงด้วยวาจา ต้องมีการหารือกับทีมทนายความกันก่อน ว่าจะแถลงปิดคดีอย่างไร ส่วนกรรมการบริหารพรรคจะถูกเพิกถอนสิทธิ์ทั้งหมดหรือไม่ ก็เป็นดุลยพินิจของตุลาการฯ ซึ่งทางผู้ร้องได้ยืนยันต่อศาลแล้วว่าไม่ปรากฏหลักฐานว่ากรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของนายยงยุทธ ติยะไพรัช
**ชาติไทยไม่ข้องใจศาลรธน.
นายอนุรักษ์ จุรีมาศ แกนนำพรรคชาติไทย กล่าวหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้แถลงปิดคดีในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เนื่องจากเห็นว่าพยาน และหลักฐานครบถ้วนแล้ว โดยไม่ต้องเปิดการไต่สวนเพิ่มเติมว่า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ และข้อกำหนดเมื่อศาลท่านพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องมีการไต่สวนข้อมูลเพิ่มเติมเพราะเห็นว่าข้อมูลที่ยื่นมาครบถ้วน ก็ไม่มีปัญหา
ส่วนการแถลงปิดคดีนั้น นายบรรหาร ศิลปอาชา จะเป็นผู้แถลงด้วยตัวเอง โดยใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ซึ่งจากหลักฐานที่ส่งไปนั้น ทำให้เชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะให้ความเป็นธรรมกับพรรคชาติไทย และไม่เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาชี้ขาดในวันเดียวกันนั้นทันที แต่อาจจะนัดวันฟังคำวินิจฉัยชี้ขาดอีกครั้งในเร็วๆนี้
เมื่อถามว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยชี้ขาดในวันที่ 2 ธ.ค.นี้เลยหรือไม่ นายอนุรักษ์ กล่าวสั้นๆว่า เรื่องนี้ก็อยู่ที่ดุลยพินิจขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะกำหนดการพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้เช่นกัน
ในวันเดียวกันนี้ นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความของพรรคพลังประชาชน ได้เดินทางไปที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยื่นหนังสือถึงนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอทราบผลการดำเนินการ ตรวจสอบคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ของนายจรัญ ภักดีธนากุล และ ตุลาการท่านอื่นๆ กรณีการเป็น"ลูกจ้าง" ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ขาดคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 209 (5) ประกอบมาตรา 207 ( 3 ) หรือไม่ ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องไว้เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 51 จึงมาทวงถามความคืบหน้าว่าได้มีการดำเนินการไปถึงไหน อย่างไร เพื่อความโปร่งใส ในการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนที่จะมีการพิจารณาเรื่องยุบพรรค
นายฉัตรชัย ชูแก้ว ทนายผู้รับมอบอำนาจจากหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวว่า นับว่าเป็นกระบวนการพิจารณาที่เร็วมาก และรวบรัดเกินไป โดยที่พรรคมัชฌิมาฯ ยังไม่มีโอการชี้แจงข้อเท็จจริงเลยจากพยานหลักฐานที่อยู่ ทั้งนี้ ในวันที่ 2 ธ.ค. จะให้นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมาแถลงปิดคดีด้วยตัวเอง ส่วนในการเพิกถอนสิทธิ์ของกรรมการบริหารพรรคนั้น ให้เป็นดุลยพินิจของทางคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ด้านนายธนา เบญจาธิกุล ทนายความผู้รับมอบอำนาจของพรรคพลังประชาชน กล่าวว่ากระบวนการพิจารณาค่อนข้างรวบรัด ทั้งที่ยังไม่ได้มีการไต่สวน หรือเปิดโอกาสให้กรรมการบริหารพรรคที่ไม่เกี่ยวข้องได้ใช้สิทธิ์ในการชี้แจงเลย ซึ่งทางศาลได้ยกกระบวนการวิธีพิจารณา โดยใช้ข้อกำหนดของศาลมาใช้ ซึ่งก็เป็นอำนาจของศาลที่ทำได้ แต่การพิจารณาประเด็นรัฐธรรมนูญ น่าจะให้สิทธิ์เราตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 40 ที่ถือว่าใหญ่กว่าข้อกำหนดวิธีพิจารณาของศาล แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อศาลออกมาอย่างนี้ เราก็ต้องรอลุ้นว่าผลการพิจารณาจะออกมาอย่างไร
ส่วนการแถลงปิดคดี ก็ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นผู้มาแถลงด้วยวาจา ต้องมีการหารือกับทีมทนายความกันก่อน ว่าจะแถลงปิดคดีอย่างไร ส่วนกรรมการบริหารพรรคจะถูกเพิกถอนสิทธิ์ทั้งหมดหรือไม่ ก็เป็นดุลยพินิจของตุลาการฯ ซึ่งทางผู้ร้องได้ยืนยันต่อศาลแล้วว่าไม่ปรากฏหลักฐานว่ากรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของนายยงยุทธ ติยะไพรัช
**ชาติไทยไม่ข้องใจศาลรธน.
นายอนุรักษ์ จุรีมาศ แกนนำพรรคชาติไทย กล่าวหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้แถลงปิดคดีในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เนื่องจากเห็นว่าพยาน และหลักฐานครบถ้วนแล้ว โดยไม่ต้องเปิดการไต่สวนเพิ่มเติมว่า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ และข้อกำหนดเมื่อศาลท่านพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องมีการไต่สวนข้อมูลเพิ่มเติมเพราะเห็นว่าข้อมูลที่ยื่นมาครบถ้วน ก็ไม่มีปัญหา
ส่วนการแถลงปิดคดีนั้น นายบรรหาร ศิลปอาชา จะเป็นผู้แถลงด้วยตัวเอง โดยใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ซึ่งจากหลักฐานที่ส่งไปนั้น ทำให้เชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะให้ความเป็นธรรมกับพรรคชาติไทย และไม่เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาชี้ขาดในวันเดียวกันนั้นทันที แต่อาจจะนัดวันฟังคำวินิจฉัยชี้ขาดอีกครั้งในเร็วๆนี้
เมื่อถามว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยชี้ขาดในวันที่ 2 ธ.ค.นี้เลยหรือไม่ นายอนุรักษ์ กล่าวสั้นๆว่า เรื่องนี้ก็อยู่ที่ดุลยพินิจขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะกำหนดการพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้เช่นกัน
ในวันเดียวกันนี้ นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความของพรรคพลังประชาชน ได้เดินทางไปที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยื่นหนังสือถึงนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอทราบผลการดำเนินการ ตรวจสอบคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ของนายจรัญ ภักดีธนากุล และ ตุลาการท่านอื่นๆ กรณีการเป็น"ลูกจ้าง" ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ขาดคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 209 (5) ประกอบมาตรา 207 ( 3 ) หรือไม่ ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องไว้เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 51 จึงมาทวงถามความคืบหน้าว่าได้มีการดำเนินการไปถึงไหน อย่างไร เพื่อความโปร่งใส ในการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนที่จะมีการพิจารณาเรื่องยุบพรรค
