ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) อันประกอบด้วยผู้นำเหล่าทัพ ผู้นำระดับสูงในภาคราชการ ภาคเอกชนทั้งหอการค้า ธนาคาร ภาควิชาการมากันครบครัน โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก นั่งหัวโต๊ะ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา ยื่นข้อเสนอให้ยุบสภาโดยเร็วที่สุด ถือว่าสร้างแรงกดดันอย่างรุนแรง
และไม่ว่าจะมองในมุมไหนย่อมถือว่าส่งผลสะเทือนต่อรัฐบาลมากที่สุด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เป็นการประชุมร่วมกันจากทุกหน่วยงานแล้วออกเป็น “ฉันทานุมัติ”
แม้ในคำแถลงของ พล.อ.อนุพงษ์ จะออกมาในโทน “ซอฟ” ดูเบาหวิว แต่ถ้าพิจารณาในทุกถ้อยคำสำคัญก็ย่อมเข้าใจทันทีว่า “นี่เป็นข้อเสนอที่คุณปฏิเสธไม่ได้”
อย่างไรก็ดี แม้ยังไม่ทันสิ้นเสียงคำแถลงจบสิ้นลงก็มีปฏิกิริยาจากฝ่ายรัฐบาลสวนออกมาทันควัน ไม่ว่าจะเป็นบรรดา ส.ส.พรรคพลังประชาชน รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลเกือบทั้งหมด เช่นพรรคชาติไทย โดยหัวขบวน “จอมเขี้ยว” อย่าง บรรหาร ศิลปอาชา ล้วนออกมาในทางเดียวกันคือ ไม่เล่นด้วยอย่างสิ้นเชิง
ที่หนักข้อไปกว่านั้นก็เห็นจะเป็นลิ่วล้อสายตรงเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” ไล่เรียงกันไปตั้งแต่หัวยันท้ายแถว ทั้งตัวนายกรัฐมนตรี “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ไปจนถึงบรรดาสามเกลอหัวขวด วีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือแม้แต่ จาตุรนต์ ฉายแสง และจักรภพ เพ็ญแข ต่างออกมาร่วมแจม กันหน้าสลอน
นอกจากปฏิเสธข้อเสนอยุบสภาอย่างไม่ใยดีแล้วยังดาหน้าถล่ม พล.อ.อนุพงษ์ กันจมเขี้ยว และหนักข้อถึงขั้นเสนอให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วเรียกร้องให้ปลดพ้นเก้าอี้ผู้นำกองทัพบกกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งประกาศระดมพลเสื้อแดงออกมาชนทั่วประเทศ
เติมไฟสร้างสถานการณ์มิกสัญญีกันเต็มพิกัด
อย่างไรก็ดีแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วหากพลิกพระราชบัญญัติระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมที่บังคับใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2551 รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกบางฉบับทำให้รับรู้ว่าในทางปฏิบัติการสั่งปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพจะทำได้ยากก็ตาม เพราะจะต้องได้รับไฟเขียวจากสภากลาโหมก่อน
และที่สำคัญเวลานี้หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้วมั่นใจว่ากองทัพล็อกคอแพ็กกันเป็นก้อน คงไม่มีใครแตกแถว ออกมาเบ่งกล้ามอยู่คนเดียว
ดังนั้นถ้ามองในมุมกฎหมายแล้วโอกาสในการปลด อนุพงษ์ ช่องทางค่อนข้างปิด
ในทางตรงกันข้ามเมื่อหน่วยคุมกำลังยังแน่นปึ้ก และยังได้ใช้ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาควิชาการเป็นหลังพิงแล้วยื่นข้อเสนอกดดันให้รัฐบาลยุบสภา มันจึงเปรียบเหมือน “ลูกตุ้มเหล็ก” ขนาดใหญ่ทุ่มเข้าใส่จังเบ้อเร่อ
หันมาโฟกัสทางกลุ่มประชาชนที่ปักหลักชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบชั่วคราวที่ดอนเมือง และล่าสุดขยายพื้นที่ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิได้สร้างความกดดันให้เกิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน
นาทีนี้ป่วยการที่จะมาพูด “ตัดตอน” กันแค่ว่าการปิดสนามบินสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากมายเพียงใด เพราะต้องพิจารณาถึงต้นเหตุ ดูกันทั้งองค์รวมถึงต้นสายปลายเหตุว่ามาจากไหน รัฐบาลชุดนี้มีความชอบธรรมแค่ไหน เพียงใด เพราะข้ออ้างเพียงว่า “ผมมาจากการเลือกตั้ง” แล้วทำผิดกฎหมาย ทำผิดจริยธรรม ฯลฯ ต่างกรรมต่างวาระได้ทุกเรื่องอย่างนั้นหรือไม่
แล้วยังจำได้หรือไม่พรรคร่วมรัฐบาลถึงสามพรรค คือพลังประชาชน ชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย ได้ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งชี้ว่าโกงเลือกตั้งและเสนอให้ยุบพรรค ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนต้องออกมาเย้ยหยันถึงข้ออ้างเรื่องความชอบธรรมที่พวกรัฐบาลมักท่องบ่นอยู่อย่างเดียวว่า “ผมมาจากการเลือกตั้ง” ซึ่งแท้ที่จริงน่าจะเป็นว่า “ผมมาจากการโกงการเลือกตั้งมากกว่า”
เมื่อสถานการณ์รุมเร้าเข้ามาทุกทางมันก็เป็นตัวเร่งให้ต้องรีบตัดสินใจ ซึ่งหากพิจารณากันนาทีต่อนาทีแล้วถือว่า “นับถอยหลัง” กันแล้ว และกลายเป็นว่าคู่กรณีหลักได้เบนเป้าใหม่เป็นการเผชิญหน้ากันโดยตรงระหว่าง รัฐบาล “หุ่นเชิดระบอบทักษิณ” กับฝ่ายกองทัพที่นำโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นด้านหลัก
อย่างไรก็ดีนาทีนี้เมื่อรัฐบาลมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมรับข้อเสนอจากคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก
แถมยังดึงดันประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อใช้กำลังสลายการชุมนุมของประชาชนที่ปักหลักชุมนุมกันอย่างสงบมันก็ยิ่งเร่งให้เกิดมิกสัญญี นองเลือด
ล่าสุดเมื่อ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกได้ออกมาแถลงย้ำว่า ข้อเสนอให้รัฐบาลยุบสภา เป็นมติที่ประชุม หากรัฐบาลยังเมินเฉยก็จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วมอีกครั้งโดยเร็วที่สุด
แต่เวลานี้ถ้าแอบมองเข้าไปภายในที่ตั้งจะเห็นกำลังทหารเตรียมพร้อมเต็มพิกัด รถถังถูกสั่งให้เติมน้ำมันจนเต็มถัง
ดังนั้นเมื่อมองทุกมุม ก็บอกได้อย่างเดียวว่าสถานการณ์กำลังเดินมาถึงบทสรุป ทุกฝ่ายต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะนี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน นับถอยหลังภายใน 24 ชั่วโมง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด หยุดไม่ได้แล้ว !!
และไม่ว่าจะมองในมุมไหนย่อมถือว่าส่งผลสะเทือนต่อรัฐบาลมากที่สุด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เป็นการประชุมร่วมกันจากทุกหน่วยงานแล้วออกเป็น “ฉันทานุมัติ”
แม้ในคำแถลงของ พล.อ.อนุพงษ์ จะออกมาในโทน “ซอฟ” ดูเบาหวิว แต่ถ้าพิจารณาในทุกถ้อยคำสำคัญก็ย่อมเข้าใจทันทีว่า “นี่เป็นข้อเสนอที่คุณปฏิเสธไม่ได้”
อย่างไรก็ดี แม้ยังไม่ทันสิ้นเสียงคำแถลงจบสิ้นลงก็มีปฏิกิริยาจากฝ่ายรัฐบาลสวนออกมาทันควัน ไม่ว่าจะเป็นบรรดา ส.ส.พรรคพลังประชาชน รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลเกือบทั้งหมด เช่นพรรคชาติไทย โดยหัวขบวน “จอมเขี้ยว” อย่าง บรรหาร ศิลปอาชา ล้วนออกมาในทางเดียวกันคือ ไม่เล่นด้วยอย่างสิ้นเชิง
ที่หนักข้อไปกว่านั้นก็เห็นจะเป็นลิ่วล้อสายตรงเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” ไล่เรียงกันไปตั้งแต่หัวยันท้ายแถว ทั้งตัวนายกรัฐมนตรี “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ไปจนถึงบรรดาสามเกลอหัวขวด วีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือแม้แต่ จาตุรนต์ ฉายแสง และจักรภพ เพ็ญแข ต่างออกมาร่วมแจม กันหน้าสลอน
นอกจากปฏิเสธข้อเสนอยุบสภาอย่างไม่ใยดีแล้วยังดาหน้าถล่ม พล.อ.อนุพงษ์ กันจมเขี้ยว และหนักข้อถึงขั้นเสนอให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วเรียกร้องให้ปลดพ้นเก้าอี้ผู้นำกองทัพบกกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งประกาศระดมพลเสื้อแดงออกมาชนทั่วประเทศ
เติมไฟสร้างสถานการณ์มิกสัญญีกันเต็มพิกัด
อย่างไรก็ดีแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วหากพลิกพระราชบัญญัติระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมที่บังคับใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2551 รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกบางฉบับทำให้รับรู้ว่าในทางปฏิบัติการสั่งปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพจะทำได้ยากก็ตาม เพราะจะต้องได้รับไฟเขียวจากสภากลาโหมก่อน
และที่สำคัญเวลานี้หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้วมั่นใจว่ากองทัพล็อกคอแพ็กกันเป็นก้อน คงไม่มีใครแตกแถว ออกมาเบ่งกล้ามอยู่คนเดียว
ดังนั้นถ้ามองในมุมกฎหมายแล้วโอกาสในการปลด อนุพงษ์ ช่องทางค่อนข้างปิด
ในทางตรงกันข้ามเมื่อหน่วยคุมกำลังยังแน่นปึ้ก และยังได้ใช้ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาควิชาการเป็นหลังพิงแล้วยื่นข้อเสนอกดดันให้รัฐบาลยุบสภา มันจึงเปรียบเหมือน “ลูกตุ้มเหล็ก” ขนาดใหญ่ทุ่มเข้าใส่จังเบ้อเร่อ
หันมาโฟกัสทางกลุ่มประชาชนที่ปักหลักชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบชั่วคราวที่ดอนเมือง และล่าสุดขยายพื้นที่ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิได้สร้างความกดดันให้เกิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน
นาทีนี้ป่วยการที่จะมาพูด “ตัดตอน” กันแค่ว่าการปิดสนามบินสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากมายเพียงใด เพราะต้องพิจารณาถึงต้นเหตุ ดูกันทั้งองค์รวมถึงต้นสายปลายเหตุว่ามาจากไหน รัฐบาลชุดนี้มีความชอบธรรมแค่ไหน เพียงใด เพราะข้ออ้างเพียงว่า “ผมมาจากการเลือกตั้ง” แล้วทำผิดกฎหมาย ทำผิดจริยธรรม ฯลฯ ต่างกรรมต่างวาระได้ทุกเรื่องอย่างนั้นหรือไม่
แล้วยังจำได้หรือไม่พรรคร่วมรัฐบาลถึงสามพรรค คือพลังประชาชน ชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย ได้ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งชี้ว่าโกงเลือกตั้งและเสนอให้ยุบพรรค ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนต้องออกมาเย้ยหยันถึงข้ออ้างเรื่องความชอบธรรมที่พวกรัฐบาลมักท่องบ่นอยู่อย่างเดียวว่า “ผมมาจากการเลือกตั้ง” ซึ่งแท้ที่จริงน่าจะเป็นว่า “ผมมาจากการโกงการเลือกตั้งมากกว่า”
เมื่อสถานการณ์รุมเร้าเข้ามาทุกทางมันก็เป็นตัวเร่งให้ต้องรีบตัดสินใจ ซึ่งหากพิจารณากันนาทีต่อนาทีแล้วถือว่า “นับถอยหลัง” กันแล้ว และกลายเป็นว่าคู่กรณีหลักได้เบนเป้าใหม่เป็นการเผชิญหน้ากันโดยตรงระหว่าง รัฐบาล “หุ่นเชิดระบอบทักษิณ” กับฝ่ายกองทัพที่นำโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นด้านหลัก
อย่างไรก็ดีนาทีนี้เมื่อรัฐบาลมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมรับข้อเสนอจากคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก
แถมยังดึงดันประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อใช้กำลังสลายการชุมนุมของประชาชนที่ปักหลักชุมนุมกันอย่างสงบมันก็ยิ่งเร่งให้เกิดมิกสัญญี นองเลือด
ล่าสุดเมื่อ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกได้ออกมาแถลงย้ำว่า ข้อเสนอให้รัฐบาลยุบสภา เป็นมติที่ประชุม หากรัฐบาลยังเมินเฉยก็จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วมอีกครั้งโดยเร็วที่สุด
แต่เวลานี้ถ้าแอบมองเข้าไปภายในที่ตั้งจะเห็นกำลังทหารเตรียมพร้อมเต็มพิกัด รถถังถูกสั่งให้เติมน้ำมันจนเต็มถัง
ดังนั้นเมื่อมองทุกมุม ก็บอกได้อย่างเดียวว่าสถานการณ์กำลังเดินมาถึงบทสรุป ทุกฝ่ายต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะนี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน นับถอยหลังภายใน 24 ชั่วโมง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด หยุดไม่ได้แล้ว !!