ผู้จัดการรายวัน – ประธานตลท.ชี้ทางรอดธุรกิจไทยจากปัญหาวิกฤตการเงินโลก ใช้หลัก “เอสโอเอส” แจงภาวะตลาดหุ้นไทยซบเซาอีกระยะหลังการเมืองป่วน วอลุ่มหาย แนะนักลงทุน 2-3 ปีนี้เน้นหุ้นใหญ่ปันผลสูง อย่าหวังกำไรราคาหุ้น ด้านผู้บริหาร ปูนซิเมนต์ไทย ไม่หวั่นภาวะเศรษฐกิจจากมีเงินสดในมือถึง 2 หมื่นล้านบาท พร้อมชี้หลังธ.ค.ต่างชาติเตรียมทิ้งหุ้นไทรุนแรงกว่ารอบนี้ ด้านประเสริฐ แจง กลุ่มบริษัทลดขยายลงทุน รักษาเงินสดประคองบริษัทให้มีผลดำเนินงานที่ดี ลั่น ธุรกิจปิโตรเคมีขาลงกว่า2 ปี
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวภายในงานสัมมนา "ทางออกธุรกิจ....ฝ่าวิกฤตการณ์การเงินโลก" ว่า จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯที่ลุกลามไปทั่วโลกนั้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีการถดถอย ซึ่งหากจีดีพีประเทศไทยสามารถโตได้ถึง 3% นั้นถือว่าดีมาก หากการเมืองยังไม่มีทางออกโดย และเชื่อว่าธนาคารจะมีการปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้ลดลงจาก 3.8-5% โดยผู้ประกอบธุรกิจในไทยจะสามารถอยู่รอดได้นั้น ภาคเอกชนควรที่จะมีการพึ่งพาตนเอง โดยไม่ควรรอให้พึ่งรัฐบาล เพราะ นโยบายที่รัฐบาลประกาศออกมานั้นจากนโยบายที่รัฐบาลประกาศออกมานั้นจะสามารถทำได้หรือไม่
ทั้งนี้ภาคเอกชนควรปรับตัวโดยยึดหลัก SOS คือ 1.ความอยู่รอด (Survival) ซึ่งสภาพคล่องทางการเงินถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดซึ่งบริษัทคารที่จะประเมินความต้องการใช้เงินสดของบริษัทว่าใน 1-2 ปีข้างหน้าจะต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร โดยควรเลือกลงทุนในโครงการที่สำคัญที่สุด และเตรียมหาแหล่งเงินทุนเตรียมไว้ก่อน
สำหรับประการที่2 คือ การสร้างโอกาส ( Opportunity ) โดยการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสซึ่งหากบริษัทมีเงินเพียงพอ และเมื่อพบว่ามีรกิจที่ดีจะจะสร้างผลตอบแทนสูงในอนาคตควรเข้าไปซื้อกิจการ จากที่จะได้ลงทุนในราคาที่ต่ำ หรือมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง มีการพัฒนาบุคลากร และ 3.เน้นทำธุรกิจที่มีความชำนาญ (Specialization) ซึ่งบริษัทต้องประเมินว่ามีความเชี่ยวชาญด้านไหน และทำการตลาดเฉพาะกลุ่ม และเมื่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจะส่งผลดีต่อบริษัทโดย
นายปกรณ์ กล่าวว่า ทั้งนี้วิกฤตการเงินสหรัฐนั้นส่งผลกระทบต่อไทย 7 ช่องทางทำให้ปรับตัวลดลง คือ ตลาดหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การส่งออกและการท่องเที่ยว ลดลง การจ้างงานของบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในไทย มูลค่าของเงินลงทุนของไทยในต่างประเทศ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจ และดอกเบี้ยเงินกู้ในต่างประเทศและผลต่อสภาพคล่องในประเทศ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะไม่มีการออกมาตรการที่ทำลายความเชื่อมั่นต่อการลงทุนนักลงทุนเพิ่ม เช่นไม่ปิดการซื้อขาย
ทั้งบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยจะซบเซาไปอีกระยะจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าการซื้อขาย(วอลุ่ม)เฉลี่ยต่อวันลดลงเหลือไม่ถึง 10,000 ล้านบาทต่อวัน จากในภาวะปกติที่ 16,000 ล้านบาทต่อวัน จากเหตุการณ์ในปัจจุบันนั้นทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกระทบหนักจากในช่วงนี้จะเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวแต่นักท่องเที่ยวได้มีการยกเลิกการเดินทางและทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยไม่ดีจากที่มีการรายงานเหตุการณ์ออกไปทั่วโลก
สำหรับนักลงทุนที่จะมีการลงทุนในหุ้นนั้นควรที่จะเลือกลงทุนในบริษัทที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงในช่วง 2-3 ปีนี้ เพราะ มีบริษัทหลายแห่งให้ผลตอบแทนที่สูง และควรเลือกลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แต่นักลงทุนไม่ควรที่จะหวังผลตอบแทนจากกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นจากปัญหาดังกล่าวจะยังไม่มีความคลี่คลาย แต่หากปัจจัยทางการเมือง วิกฤตการเงินโลกคลี่คลาย ก็จะมีเม็ดต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยโดยเม็ดเงินที่ไหลเข้ามานั้นก็จะลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าจะเป็นเมื่อไร ซึ่งนักลงทุนต้องทำใจ
อย่างไรก็ตามการที่ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนต่างๆมีการปรับตัวลดลงนั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทที่มีกระแสเงินสดที่สูงมีกำไรสะสมเพียงพอในการดำเนินงานเข้ามาซื้อหุ้นคืน เพื่อดูแลราคาหุ้นของบริษัทไม่ให้มีการปรับตัวลดลงไปมาก เพราะ เมื่อราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเมื่อบริษัทจะมีการเพิ่มทุนนั้นก็ไม่สามารถทำได้จากที่จะได้ราคาที่ต่ำ
**บิ๊กSCCปีหน้าต่างชาติขายหนัก
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC กล่าวในงานดินเนอร์ทอล์ก “เจาะวิกฤต..พิชิตโอกาส” จัดโดยสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมการศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า หากมองว่าวิกฤตมี 2540 มีขนาดความหนักหนาของปัญหา 100 นั้น วิกฤตทางการเงินรอบนี้ประเมินขนาดความเสียหาย เกิน 200 ขึ้นไป หรือในใจของทุกคนประเมินว่าจะเสียหายเท่าไหร่ให้คูณด้วย 2 เนื่องจากปัญหาครั้งนี้กระทบรุนแรงไปทั่วโลก แต่ปี 2540 เกิดจากประเทศไทยมีปัญหา
ทั้งนี้บริษัทเองได้จัดทำแผนธุรกิจปีหน้าใหม่ รองรับกรณีสถานการณ์ดี และกรณีเลวร้ายที่สุดไว้ เพื่อให้บริษัทยังสามารถอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ นั่นก็คือการเพิ่มสภาพคล่องของบริษัท ซึ่งขณะนี้บริษัทมีกระแสเงินสด 20,000 ล้านบาท จากปกติจะมีประมาณ 4,000 -5 ,000 ล้านบาท ซึ่งสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นมาจากการออกหุ้นกู้
“จากที่ออกหุ้นกู้ของบริษัทที่จะครบอายุไถ่ถอนในเดือนเม.ย. 1 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นล้านบาท และในเดือนพ.ย.หุ้นกู้จะครบอายุ 1 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทออกหุ้นกู้ 2 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทมีเงินส่วนเกินจากการออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมกับกระแสเงินสดของบริษัทที่มี 5 พันล้านบาทนั้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อสามารถที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดได้จากวิกฤต และจากการที่บริษัทมีโครงการลงทุนในโรงานปิโตรเคมีแห่งที่2 นั้นที่จะดำเนินการในปี 2553 มูลค่า 4 หมื่นล้านบาทนั้นบริษัทได้มีการกู้เงินจากต่างประเทศไว้เรียบร้อยแล้ว” นายกานต์กล่าว
สำหรับการที่บริษัทมีกระแสเงินสดในมือจำนวนมากนั้นถือว่าเป็นประโยชน์ นอกจากจะสร้างโอกาสให้บริษัทยังเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท และเชื่อว่าบริษัทสามารถผ่านสถานการณ์กรณีเลวร้ายที่สุดไปได้ โดยจากการที่บริษัทมีกระแสเงินสดที่สูงนั้นถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะไปลงทุนในเข้าไปซื้อกิจการบริษัทอื่นในต่างประเทศซึ่งจะเป็นในแถบภูมิภาคนี้ เพื่อทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งจะเติบโตได้ดีหากเศรษฐกิจฟื้นตัวจากซื้อในราคาที่ต่ำ แต่การเข้าไปซื้อนั้นจะเป็นลักษณะการเป็นพันธมิตร อย่างไรก็ตาม มีความเป็นห่วงบรรดาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ซึ่งจะเหนื่อยมากในการหาสภาพคล่อง
***ปตท.ยันโรงกลั่น-ปิโตรฯขาลงเกิน2ปี
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น มองว่า ภาคธุรกิจที่แท้จริงควรจะลดต้นทุน ทบทวนการขยายการลงทุน รักษาระดับเงินสด และสำรวจถึงความต้องการในบริษัท ซึ่งวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ประเมินว่ามีความรุนแรงหรือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากโดยปีหน้าอาจจะมีสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าในปีนี้
ทั้งนี้ธุรกิจกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะขาลงอาจจะนานกว่า 2 ปีข้างหน้า จากเศรษฐกิจมีการซบเซา แต่หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวนั้น จะฟื้นตัวเร็วกว่าธุรกิจปิโตรเคมี และจากการที่ความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงชองประเทศจีนและประเทศอื่นๆนั้นทำให้หุ้นกลุ่มน้ำมันโดยเฉพาะโรงกลั่นไม่ดี ซึ่งกลุ่มของบริษัทก็จะพยายาที่จะไม่ขายงานมาก โดยจะประคับประคองให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อไป ในปีหน้าและต่อๆ ไป
สำหรับส่วนตัวมองว่าวิกฤตครั้งนี้จะรุนแรงกว่าปี 40 มากกว่า 100ขึ้นไป
ทั้งนี้แผนซื้อหุ้นคืนทั้งซื้อยังไม่ได้ไม่ได้เปลี่ยนแปลง คงต้องดูเวลาให้เหมาะสม เพราะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทุกวัน ต้องรักษาสัดส่วนเงินให้พอสมควร ซึ่งประเมินว่าราคาน้ำมันในขณะนี้ลดต่ำลง โดยอยู่ที่ระดับประมาณกว่า 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในปี 2552 คาดว่าราคาน้ำมันจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจึงทำให้ต้องดูแลเรื่องลงทุนในเรื่องที่จำเป็น หากการลงทุนที่มีผลตอบแทนน้อยหรือมีความเสี่ยงมากต้องชะลอออกไปก่อน
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวภายในงานสัมมนา "ทางออกธุรกิจ....ฝ่าวิกฤตการณ์การเงินโลก" ว่า จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯที่ลุกลามไปทั่วโลกนั้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีการถดถอย ซึ่งหากจีดีพีประเทศไทยสามารถโตได้ถึง 3% นั้นถือว่าดีมาก หากการเมืองยังไม่มีทางออกโดย และเชื่อว่าธนาคารจะมีการปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้ลดลงจาก 3.8-5% โดยผู้ประกอบธุรกิจในไทยจะสามารถอยู่รอดได้นั้น ภาคเอกชนควรที่จะมีการพึ่งพาตนเอง โดยไม่ควรรอให้พึ่งรัฐบาล เพราะ นโยบายที่รัฐบาลประกาศออกมานั้นจากนโยบายที่รัฐบาลประกาศออกมานั้นจะสามารถทำได้หรือไม่
ทั้งนี้ภาคเอกชนควรปรับตัวโดยยึดหลัก SOS คือ 1.ความอยู่รอด (Survival) ซึ่งสภาพคล่องทางการเงินถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดซึ่งบริษัทคารที่จะประเมินความต้องการใช้เงินสดของบริษัทว่าใน 1-2 ปีข้างหน้าจะต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร โดยควรเลือกลงทุนในโครงการที่สำคัญที่สุด และเตรียมหาแหล่งเงินทุนเตรียมไว้ก่อน
สำหรับประการที่2 คือ การสร้างโอกาส ( Opportunity ) โดยการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสซึ่งหากบริษัทมีเงินเพียงพอ และเมื่อพบว่ามีรกิจที่ดีจะจะสร้างผลตอบแทนสูงในอนาคตควรเข้าไปซื้อกิจการ จากที่จะได้ลงทุนในราคาที่ต่ำ หรือมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง มีการพัฒนาบุคลากร และ 3.เน้นทำธุรกิจที่มีความชำนาญ (Specialization) ซึ่งบริษัทต้องประเมินว่ามีความเชี่ยวชาญด้านไหน และทำการตลาดเฉพาะกลุ่ม และเมื่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจะส่งผลดีต่อบริษัทโดย
นายปกรณ์ กล่าวว่า ทั้งนี้วิกฤตการเงินสหรัฐนั้นส่งผลกระทบต่อไทย 7 ช่องทางทำให้ปรับตัวลดลง คือ ตลาดหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การส่งออกและการท่องเที่ยว ลดลง การจ้างงานของบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในไทย มูลค่าของเงินลงทุนของไทยในต่างประเทศ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจ และดอกเบี้ยเงินกู้ในต่างประเทศและผลต่อสภาพคล่องในประเทศ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะไม่มีการออกมาตรการที่ทำลายความเชื่อมั่นต่อการลงทุนนักลงทุนเพิ่ม เช่นไม่ปิดการซื้อขาย
ทั้งบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยจะซบเซาไปอีกระยะจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าการซื้อขาย(วอลุ่ม)เฉลี่ยต่อวันลดลงเหลือไม่ถึง 10,000 ล้านบาทต่อวัน จากในภาวะปกติที่ 16,000 ล้านบาทต่อวัน จากเหตุการณ์ในปัจจุบันนั้นทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกระทบหนักจากในช่วงนี้จะเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวแต่นักท่องเที่ยวได้มีการยกเลิกการเดินทางและทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยไม่ดีจากที่มีการรายงานเหตุการณ์ออกไปทั่วโลก
สำหรับนักลงทุนที่จะมีการลงทุนในหุ้นนั้นควรที่จะเลือกลงทุนในบริษัทที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงในช่วง 2-3 ปีนี้ เพราะ มีบริษัทหลายแห่งให้ผลตอบแทนที่สูง และควรเลือกลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แต่นักลงทุนไม่ควรที่จะหวังผลตอบแทนจากกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นจากปัญหาดังกล่าวจะยังไม่มีความคลี่คลาย แต่หากปัจจัยทางการเมือง วิกฤตการเงินโลกคลี่คลาย ก็จะมีเม็ดต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยโดยเม็ดเงินที่ไหลเข้ามานั้นก็จะลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าจะเป็นเมื่อไร ซึ่งนักลงทุนต้องทำใจ
อย่างไรก็ตามการที่ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนต่างๆมีการปรับตัวลดลงนั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทที่มีกระแสเงินสดที่สูงมีกำไรสะสมเพียงพอในการดำเนินงานเข้ามาซื้อหุ้นคืน เพื่อดูแลราคาหุ้นของบริษัทไม่ให้มีการปรับตัวลดลงไปมาก เพราะ เมื่อราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเมื่อบริษัทจะมีการเพิ่มทุนนั้นก็ไม่สามารถทำได้จากที่จะได้ราคาที่ต่ำ
**บิ๊กSCCปีหน้าต่างชาติขายหนัก
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC กล่าวในงานดินเนอร์ทอล์ก “เจาะวิกฤต..พิชิตโอกาส” จัดโดยสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมการศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า หากมองว่าวิกฤตมี 2540 มีขนาดความหนักหนาของปัญหา 100 นั้น วิกฤตทางการเงินรอบนี้ประเมินขนาดความเสียหาย เกิน 200 ขึ้นไป หรือในใจของทุกคนประเมินว่าจะเสียหายเท่าไหร่ให้คูณด้วย 2 เนื่องจากปัญหาครั้งนี้กระทบรุนแรงไปทั่วโลก แต่ปี 2540 เกิดจากประเทศไทยมีปัญหา
ทั้งนี้บริษัทเองได้จัดทำแผนธุรกิจปีหน้าใหม่ รองรับกรณีสถานการณ์ดี และกรณีเลวร้ายที่สุดไว้ เพื่อให้บริษัทยังสามารถอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ นั่นก็คือการเพิ่มสภาพคล่องของบริษัท ซึ่งขณะนี้บริษัทมีกระแสเงินสด 20,000 ล้านบาท จากปกติจะมีประมาณ 4,000 -5 ,000 ล้านบาท ซึ่งสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นมาจากการออกหุ้นกู้
“จากที่ออกหุ้นกู้ของบริษัทที่จะครบอายุไถ่ถอนในเดือนเม.ย. 1 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นล้านบาท และในเดือนพ.ย.หุ้นกู้จะครบอายุ 1 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทออกหุ้นกู้ 2 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทมีเงินส่วนเกินจากการออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมกับกระแสเงินสดของบริษัทที่มี 5 พันล้านบาทนั้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อสามารถที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดได้จากวิกฤต และจากการที่บริษัทมีโครงการลงทุนในโรงานปิโตรเคมีแห่งที่2 นั้นที่จะดำเนินการในปี 2553 มูลค่า 4 หมื่นล้านบาทนั้นบริษัทได้มีการกู้เงินจากต่างประเทศไว้เรียบร้อยแล้ว” นายกานต์กล่าว
สำหรับการที่บริษัทมีกระแสเงินสดในมือจำนวนมากนั้นถือว่าเป็นประโยชน์ นอกจากจะสร้างโอกาสให้บริษัทยังเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท และเชื่อว่าบริษัทสามารถผ่านสถานการณ์กรณีเลวร้ายที่สุดไปได้ โดยจากการที่บริษัทมีกระแสเงินสดที่สูงนั้นถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะไปลงทุนในเข้าไปซื้อกิจการบริษัทอื่นในต่างประเทศซึ่งจะเป็นในแถบภูมิภาคนี้ เพื่อทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งจะเติบโตได้ดีหากเศรษฐกิจฟื้นตัวจากซื้อในราคาที่ต่ำ แต่การเข้าไปซื้อนั้นจะเป็นลักษณะการเป็นพันธมิตร อย่างไรก็ตาม มีความเป็นห่วงบรรดาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ซึ่งจะเหนื่อยมากในการหาสภาพคล่อง
***ปตท.ยันโรงกลั่น-ปิโตรฯขาลงเกิน2ปี
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น มองว่า ภาคธุรกิจที่แท้จริงควรจะลดต้นทุน ทบทวนการขยายการลงทุน รักษาระดับเงินสด และสำรวจถึงความต้องการในบริษัท ซึ่งวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ประเมินว่ามีความรุนแรงหรือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากโดยปีหน้าอาจจะมีสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าในปีนี้
ทั้งนี้ธุรกิจกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะขาลงอาจจะนานกว่า 2 ปีข้างหน้า จากเศรษฐกิจมีการซบเซา แต่หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวนั้น จะฟื้นตัวเร็วกว่าธุรกิจปิโตรเคมี และจากการที่ความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงชองประเทศจีนและประเทศอื่นๆนั้นทำให้หุ้นกลุ่มน้ำมันโดยเฉพาะโรงกลั่นไม่ดี ซึ่งกลุ่มของบริษัทก็จะพยายาที่จะไม่ขายงานมาก โดยจะประคับประคองให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อไป ในปีหน้าและต่อๆ ไป
สำหรับส่วนตัวมองว่าวิกฤตครั้งนี้จะรุนแรงกว่าปี 40 มากกว่า 100ขึ้นไป
ทั้งนี้แผนซื้อหุ้นคืนทั้งซื้อยังไม่ได้ไม่ได้เปลี่ยนแปลง คงต้องดูเวลาให้เหมาะสม เพราะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทุกวัน ต้องรักษาสัดส่วนเงินให้พอสมควร ซึ่งประเมินว่าราคาน้ำมันในขณะนี้ลดต่ำลง โดยอยู่ที่ระดับประมาณกว่า 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในปี 2552 คาดว่าราคาน้ำมันจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจึงทำให้ต้องดูแลเรื่องลงทุนในเรื่องที่จำเป็น หากการลงทุนที่มีผลตอบแทนน้อยหรือมีความเสี่ยงมากต้องชะลอออกไปก่อน