ก่อนอื่น ผมขอตอบว่าร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ
บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว คนบ้าที่ไหนจะมานั่งจัดฉาก จะเลือดเย็นเกินไปหน่อยแล้ว เลือดทหารที่ยอมสละชีพเพื่อชาติมาแต่ต้น ไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก
แต่ความจริงกับความเชื่อหากเป็นคนละเรื่อง ไม่ตรงกันเสมอไป ในขณะที่ความจริงจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่มีคนเชื่อว่าพลเอกอนุพงษ์เป็นนักจัดฉาก
จัดฉากแปลว่าเอาความไม่จริงออกมาแสดงบังหน้า เพื่ออำพรางและซ่อนความจริงไว้มิให้เห็น มีคนเชื่อว่าพลเอกอนุพงษ์จัดฉากใหญ่มาครั้งหนึ่งแล้ว คราวที่พา ผบ.เหล่าทัพ และผบ.กองทัพไทย แต่งเครื่องแบบออกมานั่งเรียงแถว พร้อมกับประกาศว่า เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเพราะคนในเครื่องแบบ
“ถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องแสดงความรับผิดชอบ ลาออกไปนานแล้ว”
ผมไม่ทราบว่า หลังฉาก หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาพลเอกอนุพงษ์ได้แสดงอะไรออกมาอีกบ้าง แต่มีคนมาลือกันว่า นายสมชายไปคุยโม้กับพลพรรคพลังประชาชนว่าอย่ากลัวเลย อนุพงษ์เป็นคนของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ หน้าฉากปล่อยให้เขาพูดไป
ผมขอยืนยันว่าที่ผมนำมาพูดทั้งหมดข้างบนนี้ ผมไม่เชื่อข่าวลือ ผมเชื่อพลเอกอนุพงษ์
แล้วทำไมผมจึงยกเรื่องที่เก่าแล้วมาพูดอีก ด้วยการเขียนบทความทำลายความน่าเชื่อถือของพลเอกอนุพงษ์ ดึงหัวข้อข้างต้น ผมขอปฏิเสธ และขอกราบเรียนความจริงใจว่าไม่มีเจตนาเช่นนั้นเลย แต่ผมมีเจตนาที่จะให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบบ้านเมืองทุกคน รวมทั้งพลเอกอนุพงษ์ และแม้กระทั่งท่านผู้อ่าน พากันเจริญสติจะได้เกิดปัญญาและสมาธิ สามารถผันวิกฤตเป็นโอกาส นำประเทศชาติผ่าทางตันออกมาได้
และเรื่องที่จะพูดนี้ก็เป็นเรื่องใหม่ไม่ใช่เรื่องเก่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายสองโมง วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2551 พลเอกอนุพงษ์จัดให้มีการระดมสมองผู้บังคับบัญชาระดับสูงทุกกระทรวงทบวงกรม รวมทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมท่องเที่ยว อธิการบดีมหาวิทยาลัย และผู้นำองค์กรอิสระต่างๆ เช่น ตรวจเงินแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
วัตถุประสงค์ของการประชุมก็เพื่อจะหาทางแก้วิกฤตซึ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนบัดนี้ลุกลามถึงการยึดสถานที่ประชุมแห่งใหม่ของครม.เถื่อนที่ดอนเมือง และการยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิเพื่อกดดันให้รัฐบาลเถื่อนสมชาย วงศ์สวัสดิ์ลาออก และสภาพรรคเถื่อนพลังประชาชนเลิกความตั้งใจขอเสนอแก้รัฐธรรมนูญฟอกผิดทักษิณกับบริวาร และยกเลิกคณะองคมนตรี อันอาจนำไปถึงการลงมติล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ในภายหลังเช่นเดียวกับกรณีของสภาเนปาล
บ่ายวันนั้นที่ประชุมลงมติ 2 อย่าง คือ (1) ให้นายกรัฐมนตรียุบสภาฯ จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ (2) ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสลายการชุมนุมประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาล ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ
ผมเองยังไม่มีเวลาอ่านรายละเอียดและรายงานการประชุม ได้แต่หนักใจอยู่เงียบๆ ว่า แทนที่พันธมิตรฯ จะยุติการชุมนุมลงอย่างรวดเร็วและสงบตามความตั้งใจดังที่ผมได้ยินมา วิธีการจัดการประชุมของ ผบ.ทบ.และมติข้อที่ 1 อาจจะทำให้ทั้งพันธมิตรฯทั้งรัฐบาลปฏิเสธไม่ยอมรับ ทำให้ความขัดแย้งยกระดับขึ้นไปอีก จะเกิดนองเลือดลุกลามไปถึงสงครามกลางเมือง และการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบบเผด็จการพรรคเดียวในที่สุด
ผมตั้งใจจะย้อนไปเปิดดูข่าวและสอบถามผู้ที่เข้าร่วมประชุม ก็พอดีได้รับโทรศัพท์จากท่านผู้ใหญ่ ประมุขขององค์กรอิสระแห่งหนึ่ง ซึ่งคุ้นเคยและร่วมทำงานกับ ผบ.ทบ.มานาน ท่านบ่นว่า ผิดหวังและเครียดมาก ไม่ควรรับปากพลตรีอุดมเดช ทส.ของ ผบ.ทบ.ที่เชิญมาอย่างกะทันหันให้ไปร่วมประชุมเลย ไปแล้วเสียความรู้สึก เพราะบรรยากาศไม่เอื้อให้เกิดปัญญา หรือความจริงใจที่จะช่วยแก้ปัญหา ดูแล้วแน่ใจว่ามีการ “เตี๊ยม” มาก่อนล่วงหน้าเหมือนกับการจัดฉากแท้ๆ
ผมติงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ท่านผู้ใหญ่ก็บอกว่าไม่เชื่อลองไปถาม ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อาจารย์ของ ผบ.ทบ.ดู แล้วท่านก็เล่าว่า มันจะมีประโยชน์อะไร ที่เอาคนอย่างพล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว และตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่าสังหารประชาชน นักธุรกิจบ้าผลประโยชน์ไม่รู้จักคำว่าเสียสละ มีแต่จะเอาได้กับได้ กับบรรดาอธิบดีปลัดกระทรวงอำนาจนิยมสายเหยี่ยวซึ่งสามิภักดิ์ และรอคอยการกลับมาของอำนาจเก่า
ในขณะที่ท่านชื่นชมดร.สมบัติ ที่กล้าหาญให้สติและความรู้แก่ที่ประชุมเรื่องพลังและการเคลื่อนไหวของสังคม ซึ่งก้าวหน้าเติบโตไปสู่ระดับที่เกินกว่าอำนาจรัฐจะข่มหริอกำจัดได้ง่ายๆ ท่านบ่นเสียใจท่าทีของของดร.สุรพล อธิการบดีของธรรมศาสตร์ ซึ่งรู้สึกว่าเปลี่ยนไป ด้วยการวิเคราะห์และตำหนิการกระทำของพันธมิตรฯ เสมือนหนึ่งว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้ริเริ่มและกระทำความผิดทำให้ชาติเสียหายฝ่ายเดียว เสมือนหนึ่งรัฐบาลเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง มิใช่เหตุผลและมูลเหตุของการประท้วงของประชาชนเลย
พูดง่ายๆ อธิการบดีธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นนักกฎหมาย ยังดูไม่ออกหรือมองไม่เห็นเหมือนผมว่า รัฐบาลเถื่อนชุดนี้กระทำผิดชำเราประ เทศชาติไปหนักหนาเพียงไหนแล้ว ถ้าหากไม่มีการประท้วงป่านนี้ไม่รู้จะฉิบหายไปเท่าไหร่แล้ว
มติที่ได้จากที่ประชุมดูแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะแสดงความอ่อนด้อยไม่เข้าใจปัญหาของผู้จัด หรือไม่ก็ความไม่จริงใจต้องการสร้างปมให้ปัญหาหนักขึ้น เพื่อนำไปสู่สถานการณ์ที่ผู้จัดต้องการ
ผมเห็นว่าความเข้าใจดังกล่าว จะถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องใหญ่ ถูกก็อันตราย ผิดก็อันตราย เพราะตำแหน่งของ ผบ.ทบ.นั้นไม่เหมือนกับ ซี 10 หรืออธิบดีธรรมดา กองทัพมีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ และความมั่นคงของสังคม
เพื่อให้ความเป็นธรรมกับกองทัพและ ผบ.ทบ.ผมจะศึกษารายละเอียดเรื่องการประชุมครั้งนี้ และสอบถามข้อมูลและความสงสัยใดๆ กับ ผบ.ทบ. แล้วนำความจริงมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง
ข้อสงสัยอันแรกที่ผมจะต้องเรียนถาม ผบ.ทบ.ก็คือ ทำไมจึงมิได้ศึกษาและต่อยอดประเด็นข้อเรียกร้องของชมรมปัญญาสยาม ที่เสนอโดยพล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีต ผบ.ทอ. ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และซุปเปอร์เค เกษม จาติกวณิช เจ้าพ่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน นี้ ดังนี้
1) รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกทั้งคณะ เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้จากทุกฝ่าย และรัฐบาลใหม่จะต้องไม่หยิบยกเอาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาดำเนินการเพราะจะทำให้ความขัดแย้งกลับคืนมาอีก
2) กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องยุติการชุมนุม เพื่อเปิดทางให้กระบวนการการเมืองปรับตัว เรียกความเชื่อมั่นกลับมาสู่ประเทศ และรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำทั่วโลก
พี่น้องที่เคารพ ช่วยกันคิดหน่อยว่า รัฐบาลกับพันธมิตรฯ ใครทำผิดกฎหมายมากกว่ากัน
ผมสงสารและเข้าใจถ้าหากกองทัพจำต้อง “สมยอม” รัฐบาลเถื่อนในบางครั้งบางกรณี แต่ถ้าหากเมื่อใดกองทัพจัดฉากเพื่อให้รัฐบาลเถื่อนอ้างความชอบธรรมผิดๆ กองทัพจะเป็น “ผู้สมคบ” ที่สังคมไทยไม่ควรให้อภัย
บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว คนบ้าที่ไหนจะมานั่งจัดฉาก จะเลือดเย็นเกินไปหน่อยแล้ว เลือดทหารที่ยอมสละชีพเพื่อชาติมาแต่ต้น ไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก
แต่ความจริงกับความเชื่อหากเป็นคนละเรื่อง ไม่ตรงกันเสมอไป ในขณะที่ความจริงจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่มีคนเชื่อว่าพลเอกอนุพงษ์เป็นนักจัดฉาก
จัดฉากแปลว่าเอาความไม่จริงออกมาแสดงบังหน้า เพื่ออำพรางและซ่อนความจริงไว้มิให้เห็น มีคนเชื่อว่าพลเอกอนุพงษ์จัดฉากใหญ่มาครั้งหนึ่งแล้ว คราวที่พา ผบ.เหล่าทัพ และผบ.กองทัพไทย แต่งเครื่องแบบออกมานั่งเรียงแถว พร้อมกับประกาศว่า เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเพราะคนในเครื่องแบบ
“ถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องแสดงความรับผิดชอบ ลาออกไปนานแล้ว”
ผมไม่ทราบว่า หลังฉาก หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาพลเอกอนุพงษ์ได้แสดงอะไรออกมาอีกบ้าง แต่มีคนมาลือกันว่า นายสมชายไปคุยโม้กับพลพรรคพลังประชาชนว่าอย่ากลัวเลย อนุพงษ์เป็นคนของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ หน้าฉากปล่อยให้เขาพูดไป
ผมขอยืนยันว่าที่ผมนำมาพูดทั้งหมดข้างบนนี้ ผมไม่เชื่อข่าวลือ ผมเชื่อพลเอกอนุพงษ์
แล้วทำไมผมจึงยกเรื่องที่เก่าแล้วมาพูดอีก ด้วยการเขียนบทความทำลายความน่าเชื่อถือของพลเอกอนุพงษ์ ดึงหัวข้อข้างต้น ผมขอปฏิเสธ และขอกราบเรียนความจริงใจว่าไม่มีเจตนาเช่นนั้นเลย แต่ผมมีเจตนาที่จะให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบบ้านเมืองทุกคน รวมทั้งพลเอกอนุพงษ์ และแม้กระทั่งท่านผู้อ่าน พากันเจริญสติจะได้เกิดปัญญาและสมาธิ สามารถผันวิกฤตเป็นโอกาส นำประเทศชาติผ่าทางตันออกมาได้
และเรื่องที่จะพูดนี้ก็เป็นเรื่องใหม่ไม่ใช่เรื่องเก่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายสองโมง วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2551 พลเอกอนุพงษ์จัดให้มีการระดมสมองผู้บังคับบัญชาระดับสูงทุกกระทรวงทบวงกรม รวมทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมท่องเที่ยว อธิการบดีมหาวิทยาลัย และผู้นำองค์กรอิสระต่างๆ เช่น ตรวจเงินแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
วัตถุประสงค์ของการประชุมก็เพื่อจะหาทางแก้วิกฤตซึ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนบัดนี้ลุกลามถึงการยึดสถานที่ประชุมแห่งใหม่ของครม.เถื่อนที่ดอนเมือง และการยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิเพื่อกดดันให้รัฐบาลเถื่อนสมชาย วงศ์สวัสดิ์ลาออก และสภาพรรคเถื่อนพลังประชาชนเลิกความตั้งใจขอเสนอแก้รัฐธรรมนูญฟอกผิดทักษิณกับบริวาร และยกเลิกคณะองคมนตรี อันอาจนำไปถึงการลงมติล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ในภายหลังเช่นเดียวกับกรณีของสภาเนปาล
บ่ายวันนั้นที่ประชุมลงมติ 2 อย่าง คือ (1) ให้นายกรัฐมนตรียุบสภาฯ จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ (2) ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสลายการชุมนุมประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาล ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ
ผมเองยังไม่มีเวลาอ่านรายละเอียดและรายงานการประชุม ได้แต่หนักใจอยู่เงียบๆ ว่า แทนที่พันธมิตรฯ จะยุติการชุมนุมลงอย่างรวดเร็วและสงบตามความตั้งใจดังที่ผมได้ยินมา วิธีการจัดการประชุมของ ผบ.ทบ.และมติข้อที่ 1 อาจจะทำให้ทั้งพันธมิตรฯทั้งรัฐบาลปฏิเสธไม่ยอมรับ ทำให้ความขัดแย้งยกระดับขึ้นไปอีก จะเกิดนองเลือดลุกลามไปถึงสงครามกลางเมือง และการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบบเผด็จการพรรคเดียวในที่สุด
ผมตั้งใจจะย้อนไปเปิดดูข่าวและสอบถามผู้ที่เข้าร่วมประชุม ก็พอดีได้รับโทรศัพท์จากท่านผู้ใหญ่ ประมุขขององค์กรอิสระแห่งหนึ่ง ซึ่งคุ้นเคยและร่วมทำงานกับ ผบ.ทบ.มานาน ท่านบ่นว่า ผิดหวังและเครียดมาก ไม่ควรรับปากพลตรีอุดมเดช ทส.ของ ผบ.ทบ.ที่เชิญมาอย่างกะทันหันให้ไปร่วมประชุมเลย ไปแล้วเสียความรู้สึก เพราะบรรยากาศไม่เอื้อให้เกิดปัญญา หรือความจริงใจที่จะช่วยแก้ปัญหา ดูแล้วแน่ใจว่ามีการ “เตี๊ยม” มาก่อนล่วงหน้าเหมือนกับการจัดฉากแท้ๆ
ผมติงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ท่านผู้ใหญ่ก็บอกว่าไม่เชื่อลองไปถาม ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อาจารย์ของ ผบ.ทบ.ดู แล้วท่านก็เล่าว่า มันจะมีประโยชน์อะไร ที่เอาคนอย่างพล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว และตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่าสังหารประชาชน นักธุรกิจบ้าผลประโยชน์ไม่รู้จักคำว่าเสียสละ มีแต่จะเอาได้กับได้ กับบรรดาอธิบดีปลัดกระทรวงอำนาจนิยมสายเหยี่ยวซึ่งสามิภักดิ์ และรอคอยการกลับมาของอำนาจเก่า
ในขณะที่ท่านชื่นชมดร.สมบัติ ที่กล้าหาญให้สติและความรู้แก่ที่ประชุมเรื่องพลังและการเคลื่อนไหวของสังคม ซึ่งก้าวหน้าเติบโตไปสู่ระดับที่เกินกว่าอำนาจรัฐจะข่มหริอกำจัดได้ง่ายๆ ท่านบ่นเสียใจท่าทีของของดร.สุรพล อธิการบดีของธรรมศาสตร์ ซึ่งรู้สึกว่าเปลี่ยนไป ด้วยการวิเคราะห์และตำหนิการกระทำของพันธมิตรฯ เสมือนหนึ่งว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้ริเริ่มและกระทำความผิดทำให้ชาติเสียหายฝ่ายเดียว เสมือนหนึ่งรัฐบาลเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง มิใช่เหตุผลและมูลเหตุของการประท้วงของประชาชนเลย
พูดง่ายๆ อธิการบดีธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นนักกฎหมาย ยังดูไม่ออกหรือมองไม่เห็นเหมือนผมว่า รัฐบาลเถื่อนชุดนี้กระทำผิดชำเราประ เทศชาติไปหนักหนาเพียงไหนแล้ว ถ้าหากไม่มีการประท้วงป่านนี้ไม่รู้จะฉิบหายไปเท่าไหร่แล้ว
มติที่ได้จากที่ประชุมดูแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะแสดงความอ่อนด้อยไม่เข้าใจปัญหาของผู้จัด หรือไม่ก็ความไม่จริงใจต้องการสร้างปมให้ปัญหาหนักขึ้น เพื่อนำไปสู่สถานการณ์ที่ผู้จัดต้องการ
ผมเห็นว่าความเข้าใจดังกล่าว จะถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องใหญ่ ถูกก็อันตราย ผิดก็อันตราย เพราะตำแหน่งของ ผบ.ทบ.นั้นไม่เหมือนกับ ซี 10 หรืออธิบดีธรรมดา กองทัพมีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ และความมั่นคงของสังคม
เพื่อให้ความเป็นธรรมกับกองทัพและ ผบ.ทบ.ผมจะศึกษารายละเอียดเรื่องการประชุมครั้งนี้ และสอบถามข้อมูลและความสงสัยใดๆ กับ ผบ.ทบ. แล้วนำความจริงมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง
ข้อสงสัยอันแรกที่ผมจะต้องเรียนถาม ผบ.ทบ.ก็คือ ทำไมจึงมิได้ศึกษาและต่อยอดประเด็นข้อเรียกร้องของชมรมปัญญาสยาม ที่เสนอโดยพล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีต ผบ.ทอ. ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และซุปเปอร์เค เกษม จาติกวณิช เจ้าพ่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน นี้ ดังนี้
1) รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกทั้งคณะ เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้จากทุกฝ่าย และรัฐบาลใหม่จะต้องไม่หยิบยกเอาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาดำเนินการเพราะจะทำให้ความขัดแย้งกลับคืนมาอีก
2) กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องยุติการชุมนุม เพื่อเปิดทางให้กระบวนการการเมืองปรับตัว เรียกความเชื่อมั่นกลับมาสู่ประเทศ และรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำทั่วโลก
พี่น้องที่เคารพ ช่วยกันคิดหน่อยว่า รัฐบาลกับพันธมิตรฯ ใครทำผิดกฎหมายมากกว่ากัน
ผมสงสารและเข้าใจถ้าหากกองทัพจำต้อง “สมยอม” รัฐบาลเถื่อนในบางครั้งบางกรณี แต่ถ้าหากเมื่อใดกองทัพจัดฉากเพื่อให้รัฐบาลเถื่อนอ้างความชอบธรรมผิดๆ กองทัพจะเป็น “ผู้สมคบ” ที่สังคมไทยไม่ควรให้อภัย