เอเอฟพี/รอยเตอร์ – บารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศในวันจันทร์(24) จะรีบฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ด้วยแพกเกจมาตรการกระตุ้นเร่งรัดมูลค่ามหาศาลในปีหน้า พร้อมกันนั้นเขาก็เปิดเผยรายชื่อบางส่วนในทีมงานด้านเศรษฐกิจของเขา ซึ่งจัดว่าล้วนเป็น “พวกระดับหัวกะทิของอเมริกา”
ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการครั้งที่ 2 ภายหลังจากที่ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน โอบามาระบุว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นติดอยู่ในกับดัก “วงจรอุบาทว์” ซึ่งจะต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน และแม้เขาจะยอมรับว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่อาจสำเร็จได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่เขาก็ไม่ยอม “เสียเวลาไปแม้แต่นาทีเดียว” เช่นกัน
พร้อมกันนี้ โอบามาได้เปิดเผยชื่อทีมงานเศรษฐกิจที่ใช้เวลาเฟ้นหาตัวมาได้ระยะหนึ่ง โดยจะมอบหมายให้ ทิโมธี ไกธ์เนอร์ วัย 47 ปี เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง และแลร์รี ซัมเมอร์ส อดีตขุนคลังยุคคณะรัฐบาลบิลล์ คลินตัน เป็นผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของทำเนียบขาว นอกจากนั้น เขายังประกาศจะใช้แผนสร้างงาน 2.5 ล้านตำแหน่ง ผ่านโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศอีกด้วย
“เราจะต้องรวมเอาคนมีฝีมือระดับหัวกะทิของอเมริกาเข้ามาช่วยกัน ซึ่งผมได้พยายามเฟ้นหาตัวบุคคลเหล่านี้มาร่วมทีมงานด้านเศรษฐกิจของผม” โอบามากล่าว และบอกอีกว่าทีมงานชุดนี้ “มีประสบการณ์คร่ำหวอดและมีแนวคิดใหม่ๆ ที่ท้าทายมากมาย” อีกทั้งยังมีความเข้าใจเป็นอย่างดี “ว่าเราไม่สามารถปล่อยให้วอลล์สตรีทเติบโตไปโดยทิ้งให้ผู้คนเดินถนนทั่วๆ ไปต้องลำบากยากแค้น”
โอบามาย้ำด้วยว่าเขาจะไม่ยอมให้อุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ ที่วางรากฐานมายาวนานต้อง “อันตรธานไปง่ายๆ” แต่ก็ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ช่วยเหลือในแบบการให้ “เช็คเปล่า” ไป โดยที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในดีทรอยต์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในระยะยาวเช่นกัน
ในฐานะของรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ไกธ์เนอร์ก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลแผนกอบกู้วิกฤตสถาบันการเงินมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะรวมถึงการเข้าอุ้มกิจการซิตี้กรุ๊ปตามที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งประกาศล่าสุดด้วย
ไกธ์เนอร์วัย 47 ปีผู้นี้ เป็นผู้มีประสบการณ์ใกล้ชิดกับวิกฤตการณ์ทางการเงินในปัจจุบันเป็นอย่างดี จากการที่เขากำลังดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสาขานิวยอร์ก เขาได้รับคำชมจากเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบันเป็นผู้ที่มีบทบาท “สำคัญยิ่งยวด” ในความพยายามช่วยชีวิตวอลล์สตรีทของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน อาทิ การเข้าอุ้มกิจการ แบร์สเติร์นส์ และบริษัทประกันภัยเอไอจี ขณะเดียวกัน โฆษกทำเนียบขาว โทนี แฟรตโต ก็ชื่นชมที่เขาเข้ามาช่วยดูแลแผนฟื้นฟูกิจการซิตี้กรุ๊ปมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ด้วย
ส่วนซัมเมอร์ส วัย 53 ปีนั้น โอบามายกย่องว่าเป็น “หัวกะทิด้านเศรษฐกิจคนสำคัญคนหนึ่งในยุคสมัยของเรา”
นอกจากไกธ์เนอร์และซัมเมอร์สแล้ว โอบามายังประกาศเปิดตัว คริสตินา โรเมอร์ ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ ซึ่งจะมาเป็นประธานสภาที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของเขา
โอบามายังมีกำหนดการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้งหนึ่งในวันอังคาร (25) ซึ่งคาดว่าเขาจะเปิดเผยชื่อบุคคลในทีมเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยอาจจะแต่งตั้งบิลล์ ริชาร์ดสัน ผู้ว่าการมลรัฐนิวเม็กซิโก ขึ้นเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ และโอบามาคงจะให้รายละเอียดของแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจมีมูลค่าสูงถึง 700,000 ล้านดอลลาร์ด้วย
อย่างไรก็ตาม โอบามายังปฏิเสธที่จะระบุตัวเลขของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชัดเจน เขากล่าวว่า “มันขึ้นอยู่กับขนาดและขอบเขตของเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องดึงให้กลับเข้าร่องเข้ารอย” แต่เขาเห็นว่าควรนำแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่รัฐสภาชุดใหม่ในเดือนมกราคมเพื่อพิจารณาจัดทำเป็นรัฐบัญญัติโดยเร็ว
แม้ว่าแผนการของโอบามาจะสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้สหรัฐฯ ต้องขาดดุลงบประมาณอย่างมหาศาล แต่เขายังยืนยันว่าจะรักษาสัญญาตามที่ได้หาเสียงไว้โดยจะลดภาษีให้กับคนทำงานชาวอเมริกันที่มีอยู่ 95 เปอร์เซ็นต์และจะขึ้นภาษีกลุ่มคนรวย ทว่ายังไม่มีการระบุกรอบเวลาดำเนินการให้ชัดเจน
ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการครั้งที่ 2 ภายหลังจากที่ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน โอบามาระบุว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นติดอยู่ในกับดัก “วงจรอุบาทว์” ซึ่งจะต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน และแม้เขาจะยอมรับว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่อาจสำเร็จได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่เขาก็ไม่ยอม “เสียเวลาไปแม้แต่นาทีเดียว” เช่นกัน
พร้อมกันนี้ โอบามาได้เปิดเผยชื่อทีมงานเศรษฐกิจที่ใช้เวลาเฟ้นหาตัวมาได้ระยะหนึ่ง โดยจะมอบหมายให้ ทิโมธี ไกธ์เนอร์ วัย 47 ปี เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง และแลร์รี ซัมเมอร์ส อดีตขุนคลังยุคคณะรัฐบาลบิลล์ คลินตัน เป็นผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของทำเนียบขาว นอกจากนั้น เขายังประกาศจะใช้แผนสร้างงาน 2.5 ล้านตำแหน่ง ผ่านโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศอีกด้วย
“เราจะต้องรวมเอาคนมีฝีมือระดับหัวกะทิของอเมริกาเข้ามาช่วยกัน ซึ่งผมได้พยายามเฟ้นหาตัวบุคคลเหล่านี้มาร่วมทีมงานด้านเศรษฐกิจของผม” โอบามากล่าว และบอกอีกว่าทีมงานชุดนี้ “มีประสบการณ์คร่ำหวอดและมีแนวคิดใหม่ๆ ที่ท้าทายมากมาย” อีกทั้งยังมีความเข้าใจเป็นอย่างดี “ว่าเราไม่สามารถปล่อยให้วอลล์สตรีทเติบโตไปโดยทิ้งให้ผู้คนเดินถนนทั่วๆ ไปต้องลำบากยากแค้น”
โอบามาย้ำด้วยว่าเขาจะไม่ยอมให้อุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ ที่วางรากฐานมายาวนานต้อง “อันตรธานไปง่ายๆ” แต่ก็ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ช่วยเหลือในแบบการให้ “เช็คเปล่า” ไป โดยที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในดีทรอยต์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในระยะยาวเช่นกัน
ในฐานะของรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ไกธ์เนอร์ก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลแผนกอบกู้วิกฤตสถาบันการเงินมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะรวมถึงการเข้าอุ้มกิจการซิตี้กรุ๊ปตามที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งประกาศล่าสุดด้วย
ไกธ์เนอร์วัย 47 ปีผู้นี้ เป็นผู้มีประสบการณ์ใกล้ชิดกับวิกฤตการณ์ทางการเงินในปัจจุบันเป็นอย่างดี จากการที่เขากำลังดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสาขานิวยอร์ก เขาได้รับคำชมจากเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบันเป็นผู้ที่มีบทบาท “สำคัญยิ่งยวด” ในความพยายามช่วยชีวิตวอลล์สตรีทของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน อาทิ การเข้าอุ้มกิจการ แบร์สเติร์นส์ และบริษัทประกันภัยเอไอจี ขณะเดียวกัน โฆษกทำเนียบขาว โทนี แฟรตโต ก็ชื่นชมที่เขาเข้ามาช่วยดูแลแผนฟื้นฟูกิจการซิตี้กรุ๊ปมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ด้วย
ส่วนซัมเมอร์ส วัย 53 ปีนั้น โอบามายกย่องว่าเป็น “หัวกะทิด้านเศรษฐกิจคนสำคัญคนหนึ่งในยุคสมัยของเรา”
นอกจากไกธ์เนอร์และซัมเมอร์สแล้ว โอบามายังประกาศเปิดตัว คริสตินา โรเมอร์ ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ ซึ่งจะมาเป็นประธานสภาที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของเขา
โอบามายังมีกำหนดการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้งหนึ่งในวันอังคาร (25) ซึ่งคาดว่าเขาจะเปิดเผยชื่อบุคคลในทีมเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยอาจจะแต่งตั้งบิลล์ ริชาร์ดสัน ผู้ว่าการมลรัฐนิวเม็กซิโก ขึ้นเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ และโอบามาคงจะให้รายละเอียดของแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจมีมูลค่าสูงถึง 700,000 ล้านดอลลาร์ด้วย
อย่างไรก็ตาม โอบามายังปฏิเสธที่จะระบุตัวเลขของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชัดเจน เขากล่าวว่า “มันขึ้นอยู่กับขนาดและขอบเขตของเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องดึงให้กลับเข้าร่องเข้ารอย” แต่เขาเห็นว่าควรนำแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่รัฐสภาชุดใหม่ในเดือนมกราคมเพื่อพิจารณาจัดทำเป็นรัฐบัญญัติโดยเร็ว
แม้ว่าแผนการของโอบามาจะสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้สหรัฐฯ ต้องขาดดุลงบประมาณอย่างมหาศาล แต่เขายังยืนยันว่าจะรักษาสัญญาตามที่ได้หาเสียงไว้โดยจะลดภาษีให้กับคนทำงานชาวอเมริกันที่มีอยู่ 95 เปอร์เซ็นต์และจะขึ้นภาษีกลุ่มคนรวย ทว่ายังไม่มีการระบุกรอบเวลาดำเนินการให้ชัดเจน