เป็นกรณีที่แทบ “ไม่น่าเชื่อ” แต่ “ไม่แปลกใจ” เมื่อจบงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันพุธที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ว่า “งานเข้า-เกิดเหตุ” ที่ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องเกิด “ความวุ่นวาย” ดังที่มีการคาดการณ์กันล่วงหน้ามาแล้วว่าต้องเกิดขึ้น
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจ แต่ไม่น่าเชื่อ หลังจบพระราชพิธีเพียงไม่ถึง 12-13 ชั่วโมง ก็เกิดระเบิดลงใจกลางกลุ่มพันธมิตรฯ หน้าเวทีที่ชุมนุมกันที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งขอเรียกขานว่า “ขี้ขลาดมาก!” พร้อมทั้งประณามว่า “เยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน” เพราะเวลา 3.30 น. เช่นนั้น เป็นเวลาที่ใครจะคาดคิดว่าจะถูก “ลอบกัด” เช่นนี้!
การกระทำดังกล่าว เพียงหลังงานพระราชพิธีสำคัญไม่กี่ชั่วโมง “กล้าหาญชาญชัย” เสมือนไม่สนใจ เคารพต่อสถาบันเบื้องสูงที่พสกนิกรชาวไทยทุกคนยังอยู่ในอาการสำรวมกับ “ความเศร้าสลด!” ที่สูญเสียบุคคลระดับเชื้อพระวงศ์
จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงเป็นกรณีปกติธรรมดาที่สร้างความโกรธเคือง จนไปถึงความโกรธแค้นที่ถูกลอบกัดเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บอีก 23 คน ซึ่งครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก แต่เป็นการสูญเสียกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย “ความบริสุทธิ์ใจ” เป็นครั้งที่ 3 นอกเหนือจาก “ถูกลอบกัด-ปาระเบิด” เกือบสิบครั้ง
“กลุ่มพันธมิตรฯ-กลุ่มเสื้อเหลือง” จากการประมวลและประเมินข้อมูลข่าวสารจากทุกสารทิศ ก็ต้องป่าวประกาศว่า กลุ่มผู้ชุมนุมประมาณร้อยละ 80 นั้น เป็นพี่น้องประชาชนที่เปี่ยมไปด้วยข้อมูล และไม่สำคัญว่า “ตระหนักดี” ถึงเจตนารมณ์และเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามนั้น ต้องการ “ล้มล้างสถาบันฯ”
“ขบวนการล้มล้างสถาบันฯ” นั้น ได้เกิดขึ้นจริงมาราว 3-4 ปี โดยเพียรพยายาม “สถาปนา-ก่อตั้ง” ให้เป็น “ระบอบใหม่” ให้จงได้ แต่เริ่มเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา แต่น่าจะ “เร่ง-เข้มข้น” อย่างมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จนประกาศในที่สุดว่า “ต้องแตกหัก!” และ “ตายเป็นตาย-เจ๊งเป็นเจ๊ง”
อย่างไรก็ดี เป็นกรณีที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่า “กลุ่มตรงข้าม-เสื้อแดง” มักเป็นกลุ่มประชาชนระดับล่างเสียส่วนใหญ่ ทั้งจากภายในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจากภาคเหนือและภาคอีสานที่ “ถูกเกณฑ์-ถูกระดม” มาด้วย “ค่าจ้าง 300-500 บาท” เท่านั้น เพื่อมาแสดงพลังสนับสนุนกลุ่ม นปช. และ “บุคคลเพียงบุคคลเดียว” โดยอาจหารู้ไม่ว่า “กำลังถูกซื้อ-ถูกหลอก” ให้เข้าร่วมขบวนการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับชาติบ้านเมืองและสถาบันเบื้องสูง
แต่ที่เลวร้ายไปมากกว่านั้น กำลังถูกให้สนับสนุนในการสถาปนา “ระบอบการปกครองการเมืองใหม่” ที่อันตรายอย่างยิ่งกับประเทศชาติ จนอาจทำให้ “สังคมแตกหัก” กันไปได้ เสมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ด้วย “ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
ส่วน “กลุ่มพันธมิตรฯ-เสื้อเหลือง” นั้น แสดงท่าทีและอุดมการณ์ พร้อมเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า “จงรักภักดี-เทิดทูน” ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มิได้ซ่อนเร้นหรือ “วาระแฝง” แต่อย่างใด พูดภาษาชาวบ้านก็หมายความว่า “รักในหลวง!”
ซึ่งไม่เหมือนกับฝ่ายตรงข้ามที่ “เสแสร้ง” ว่า “จงรักภักดี” ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประเภท “หน้าไว้หลังหลอก!” แต่ “วาระซ่อนเร้น-วาระแฝง” คือ “สถาปนาระบอบการปกครอง” ใหม่! และไม่สำคัญเท่ากับนำเอา “รูปภาพทักษิณ” ชูขบวนตลอดเวลา
สภาพชาติบ้านเมืองของเราขณะนี้ น่าห่วงใยที่สุด ที่ถูก “ตอกลิ่ม” ให้มีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน จนขอย้ำว่า “ไทยแตก!” เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2310 จนเรียกขานมาจนถึงปัจจุบันว่า “อยุธยาแตก!”
คนไทยในอดีตนั้น ถามว่า “เคยมีคนไทยขายชาติ-ทรยศ-หักหลังชาติบ้านเมืองหรือไม่?” ก็ต้องตอบว่า “มี!” และถามต่อว่า “คนไทยเคยแตกแยก-แตกร้าว!” มากมายเพียงนี้หรือไม่? ก็ต้องตอบว่า “ไม่เคยมี!”
แต่ที่สำคัญก็คือว่า คนไทยในปัจจุบันสามารถถูกระดม ถูกเกณฑ์มาให้โจมตี ทำร้ายกันนับเรือนหมื่นจนถึงเรือนแสนได้แบบที่ไม่ฉุกคิดเลยว่าเป็น “คนไทยด้วยกัน!” เพียงเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างจำนวนมาก ทั้งที่อาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามแต่ ทั้งนี้ กลุ่มผู้สนับสนุน นปช.ตระหนักหรือไม่ว่า “สีแดง!” เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิอะไร
“การยุยงส่งเสริมให้แตกหักกันเช่นนี้!” ต้องบอกเลยว่า “อันตรายที่สุด” ต่ออนาคตของชาติบ้านเมือง ซึ่งขณะนี้ระดมพลกันเรียบร้อยแล้ว และช่วงที่เขียนต้นฉบับอยู่ขณะนี้ ก่อนส่งต้นฉบับล่วงหน้าเพียง 1-2 วัน ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า “นองเลือดกันหรือยัง!”
แต่ที่แน่ๆ คือ การระดมพลของทั้งสองฝ่ายนั้นเกิดขึ้นแล้ว โดย “กลุ่มเสื้อเหลือง” ต้องการล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” และที่แน่ๆ คือ “จงรักภักดี-เทิดทูน” สถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วน “กลุ่มเสื้อแดง” แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่า “จงรักภักดี-เทิดทูน” ต่อระบอบเสรีประชาธิปไตย ทั้งนี้ ความจริงคือ “จงรักภักดี-เทิดทูน” กับ “ระบอบทุนนิยม” โดยได้รับเงินสนับสนุนจาก “นายใหญ่”
ปัญหาของชาติบ้านเมืองที่เกิดขณะนี้ ถูกสะสมและหมักหมมมายาวนาน 4-5 ปี และใกล้ระเบิดเต็มทีแล้ว โดยคาดการณ์ว่า ในที่สุดก็น่าจะไม่เกิน 1 เดือน ที่สภาวการณ์ชาติบ้านเมืองจะต้องถึง “ทางตัน” และก็ต้องจบลงด้วยการ “นองเลือด”
เราเคยถามตัวเราเองบ้างไหมว่า ชาติบ้านเมืองเคยแตกเกือบล่มสลายมาหลายครั้ง “เรียนรู้” กันบ้างหรือไม่ “อยุธยาแตก” เพราะคนไทย “ทำลาย-ทำร้าย” กันเองใช่หรือไม่ เราทำลาย “ภูมิต้านทาน” และ “ทะเลาะ-แก่งแย่ง” ตลอดจน “ทุจริตคดโกง” และ “แย่งอำนาจ” จนเรา “อ่อนแอ” และ “พังพินาศ” ในที่สุด
ประวัติศาสตร์ถูกจารึกไว้หลายครั้ง เพียงแต่ “การแตก” ในอดีตนั้นไม่เหมือนปัจจุบัน เป็นการแตกที่เกิดจาก “สนิมเนื้อในตน!” จนอริราชศัตรูเข้ามาทำลายบ้านเมืองเราได้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ “คนไทยฆ่าไทย” เพราะเกิดจาก “การแก่งแยกอำนาจ” และไม่สำคัญเท่ากับ “ผลประโยชน์ชาติ” ที่ต้องการ “ฮุบ” ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนถึงขั้น “ล้มล้างสถาบันฯ” ก็ยอม!
การเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เริ่มเดินหน้าไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยปิดล้อม “รัฐสภา” เพื่อประท้วงมิให้มีการแอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในการตั้ง “ส.ส.ร.3” จนต้องมีการปิดการประชุม และน่าเชื่อว่าจะเลื่อนการประชุมออกไปภายในวันศุกร์นี้เป็นอย่างช้า เนื่องด้วยจะมีการปิดสมัยประชุมสภานิติบัญญัติครั้งสุดท้ายของปี 2551
อย่างไรก็ตาม การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญเพื่อการเจรจาใน “กรอบข้อตกลงการลงนามสนธิสัญญากับต่างประเทศ ตามมาตรา 190” ก็สามารถดำเนินการได้ก่อนที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ “การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน” ในจังหวัดเชียงใหม่กลางเดือนธันวาคม
การชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วง “เสื้อเหลือง” ได้เคลื่อนขบวนไปชุมนุมที่กระทรวงการคลังและทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่สนามบินดอนเมือง แต่ก็มิได้เกิดความรุนแรงแต่ประการใด ทั้งนี้ ก็ต้องกล่าวชื่นชม “กลุ่มเสื้อแดง-นปช.” ที่ห้ามมิให้ตามไปชุมนุมปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่รัฐสภาและที่อื่นๆ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงในการเผชิญหน้า และอาจปะทะกันได้ในที่สุด
ประเด็นสำคัญที่น่าห่วงใยคือ “กลยุทธ์ซุนวู” ที่ “ลับ ลวง พราง” หรือ “ขงจื๊อ (Confucius)” ที่ “ไม่มีคือมี-มีคือไม่มี” กับสถานการณ์ในขณะนี้ โดยเฉพาะ “กลุ่มมือที่ 3 – มือป่วน!” ที่อาจเกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ ก่อให้เกิด “ปฏิบัติการนินจา!” เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งขอย้ำอีกครั้งว่า “กลุ่มมือที่ 3” นี้ มีอาวุธครบมือและพร้อมปฏิบัติการแบบ “สงครามกองโจร” ที่จู่โจมได้ตลอดเวลา
ขณะนี้เราต่างต้องยอมรับความจริงว่า สถานการณ์ชาติบ้านเมืองพร้อมที่จะก่อให้เกิด “ความแตกหัก” จากทุกฝ่าย และขอฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่า การปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ “ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็หมายความว่า ทำเนียบรัฐบาลจะถูกยึดยืดเยื้อไปนานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ประเด็นการเจรจาไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อย่างสันติ การระดมพลเพื่อโชว์พลัง “ฮั่มฮั่ม!” กันต่อไปของ “เหลือง-แดง” ก็คงไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน
แต่ที่สำคัญที่สุด ที่มั่นใจมากว่า “การโฟนอิน” ของคุณทักษิณ ชินวัตร ในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในเวทีสัญจรรายการ “ความจริงวันนี้” ที่สนามกีฬาศุภชลาศัย วันที่ 13 ธันวาคม น่าจะเป็นการจุดพลุครั้งสุดท้าย ถ้าคุณทักษิณ ได้ดำเนินการ “เปิดโปง-ตีแผ่” ด้วยความคับแค้นใจดังที่ประกาศไว้
ดังนั้น ในที่สุด “การนองเลือด” ในครั้งนี้ น่าจะรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และ “การเปลี่ยนแปลง” จำต้องเกิดขึ้น!
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจ แต่ไม่น่าเชื่อ หลังจบพระราชพิธีเพียงไม่ถึง 12-13 ชั่วโมง ก็เกิดระเบิดลงใจกลางกลุ่มพันธมิตรฯ หน้าเวทีที่ชุมนุมกันที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งขอเรียกขานว่า “ขี้ขลาดมาก!” พร้อมทั้งประณามว่า “เยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน” เพราะเวลา 3.30 น. เช่นนั้น เป็นเวลาที่ใครจะคาดคิดว่าจะถูก “ลอบกัด” เช่นนี้!
การกระทำดังกล่าว เพียงหลังงานพระราชพิธีสำคัญไม่กี่ชั่วโมง “กล้าหาญชาญชัย” เสมือนไม่สนใจ เคารพต่อสถาบันเบื้องสูงที่พสกนิกรชาวไทยทุกคนยังอยู่ในอาการสำรวมกับ “ความเศร้าสลด!” ที่สูญเสียบุคคลระดับเชื้อพระวงศ์
จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงเป็นกรณีปกติธรรมดาที่สร้างความโกรธเคือง จนไปถึงความโกรธแค้นที่ถูกลอบกัดเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บอีก 23 คน ซึ่งครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก แต่เป็นการสูญเสียกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย “ความบริสุทธิ์ใจ” เป็นครั้งที่ 3 นอกเหนือจาก “ถูกลอบกัด-ปาระเบิด” เกือบสิบครั้ง
“กลุ่มพันธมิตรฯ-กลุ่มเสื้อเหลือง” จากการประมวลและประเมินข้อมูลข่าวสารจากทุกสารทิศ ก็ต้องป่าวประกาศว่า กลุ่มผู้ชุมนุมประมาณร้อยละ 80 นั้น เป็นพี่น้องประชาชนที่เปี่ยมไปด้วยข้อมูล และไม่สำคัญว่า “ตระหนักดี” ถึงเจตนารมณ์และเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามนั้น ต้องการ “ล้มล้างสถาบันฯ”
“ขบวนการล้มล้างสถาบันฯ” นั้น ได้เกิดขึ้นจริงมาราว 3-4 ปี โดยเพียรพยายาม “สถาปนา-ก่อตั้ง” ให้เป็น “ระบอบใหม่” ให้จงได้ แต่เริ่มเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา แต่น่าจะ “เร่ง-เข้มข้น” อย่างมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จนประกาศในที่สุดว่า “ต้องแตกหัก!” และ “ตายเป็นตาย-เจ๊งเป็นเจ๊ง”
อย่างไรก็ดี เป็นกรณีที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่า “กลุ่มตรงข้าม-เสื้อแดง” มักเป็นกลุ่มประชาชนระดับล่างเสียส่วนใหญ่ ทั้งจากภายในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจากภาคเหนือและภาคอีสานที่ “ถูกเกณฑ์-ถูกระดม” มาด้วย “ค่าจ้าง 300-500 บาท” เท่านั้น เพื่อมาแสดงพลังสนับสนุนกลุ่ม นปช. และ “บุคคลเพียงบุคคลเดียว” โดยอาจหารู้ไม่ว่า “กำลังถูกซื้อ-ถูกหลอก” ให้เข้าร่วมขบวนการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับชาติบ้านเมืองและสถาบันเบื้องสูง
แต่ที่เลวร้ายไปมากกว่านั้น กำลังถูกให้สนับสนุนในการสถาปนา “ระบอบการปกครองการเมืองใหม่” ที่อันตรายอย่างยิ่งกับประเทศชาติ จนอาจทำให้ “สังคมแตกหัก” กันไปได้ เสมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ด้วย “ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
ส่วน “กลุ่มพันธมิตรฯ-เสื้อเหลือง” นั้น แสดงท่าทีและอุดมการณ์ พร้อมเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า “จงรักภักดี-เทิดทูน” ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มิได้ซ่อนเร้นหรือ “วาระแฝง” แต่อย่างใด พูดภาษาชาวบ้านก็หมายความว่า “รักในหลวง!”
ซึ่งไม่เหมือนกับฝ่ายตรงข้ามที่ “เสแสร้ง” ว่า “จงรักภักดี” ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประเภท “หน้าไว้หลังหลอก!” แต่ “วาระซ่อนเร้น-วาระแฝง” คือ “สถาปนาระบอบการปกครอง” ใหม่! และไม่สำคัญเท่ากับนำเอา “รูปภาพทักษิณ” ชูขบวนตลอดเวลา
สภาพชาติบ้านเมืองของเราขณะนี้ น่าห่วงใยที่สุด ที่ถูก “ตอกลิ่ม” ให้มีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน จนขอย้ำว่า “ไทยแตก!” เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2310 จนเรียกขานมาจนถึงปัจจุบันว่า “อยุธยาแตก!”
คนไทยในอดีตนั้น ถามว่า “เคยมีคนไทยขายชาติ-ทรยศ-หักหลังชาติบ้านเมืองหรือไม่?” ก็ต้องตอบว่า “มี!” และถามต่อว่า “คนไทยเคยแตกแยก-แตกร้าว!” มากมายเพียงนี้หรือไม่? ก็ต้องตอบว่า “ไม่เคยมี!”
แต่ที่สำคัญก็คือว่า คนไทยในปัจจุบันสามารถถูกระดม ถูกเกณฑ์มาให้โจมตี ทำร้ายกันนับเรือนหมื่นจนถึงเรือนแสนได้แบบที่ไม่ฉุกคิดเลยว่าเป็น “คนไทยด้วยกัน!” เพียงเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างจำนวนมาก ทั้งที่อาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามแต่ ทั้งนี้ กลุ่มผู้สนับสนุน นปช.ตระหนักหรือไม่ว่า “สีแดง!” เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิอะไร
“การยุยงส่งเสริมให้แตกหักกันเช่นนี้!” ต้องบอกเลยว่า “อันตรายที่สุด” ต่ออนาคตของชาติบ้านเมือง ซึ่งขณะนี้ระดมพลกันเรียบร้อยแล้ว และช่วงที่เขียนต้นฉบับอยู่ขณะนี้ ก่อนส่งต้นฉบับล่วงหน้าเพียง 1-2 วัน ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า “นองเลือดกันหรือยัง!”
แต่ที่แน่ๆ คือ การระดมพลของทั้งสองฝ่ายนั้นเกิดขึ้นแล้ว โดย “กลุ่มเสื้อเหลือง” ต้องการล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” และที่แน่ๆ คือ “จงรักภักดี-เทิดทูน” สถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วน “กลุ่มเสื้อแดง” แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่า “จงรักภักดี-เทิดทูน” ต่อระบอบเสรีประชาธิปไตย ทั้งนี้ ความจริงคือ “จงรักภักดี-เทิดทูน” กับ “ระบอบทุนนิยม” โดยได้รับเงินสนับสนุนจาก “นายใหญ่”
ปัญหาของชาติบ้านเมืองที่เกิดขณะนี้ ถูกสะสมและหมักหมมมายาวนาน 4-5 ปี และใกล้ระเบิดเต็มทีแล้ว โดยคาดการณ์ว่า ในที่สุดก็น่าจะไม่เกิน 1 เดือน ที่สภาวการณ์ชาติบ้านเมืองจะต้องถึง “ทางตัน” และก็ต้องจบลงด้วยการ “นองเลือด”
เราเคยถามตัวเราเองบ้างไหมว่า ชาติบ้านเมืองเคยแตกเกือบล่มสลายมาหลายครั้ง “เรียนรู้” กันบ้างหรือไม่ “อยุธยาแตก” เพราะคนไทย “ทำลาย-ทำร้าย” กันเองใช่หรือไม่ เราทำลาย “ภูมิต้านทาน” และ “ทะเลาะ-แก่งแย่ง” ตลอดจน “ทุจริตคดโกง” และ “แย่งอำนาจ” จนเรา “อ่อนแอ” และ “พังพินาศ” ในที่สุด
ประวัติศาสตร์ถูกจารึกไว้หลายครั้ง เพียงแต่ “การแตก” ในอดีตนั้นไม่เหมือนปัจจุบัน เป็นการแตกที่เกิดจาก “สนิมเนื้อในตน!” จนอริราชศัตรูเข้ามาทำลายบ้านเมืองเราได้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ “คนไทยฆ่าไทย” เพราะเกิดจาก “การแก่งแยกอำนาจ” และไม่สำคัญเท่ากับ “ผลประโยชน์ชาติ” ที่ต้องการ “ฮุบ” ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนถึงขั้น “ล้มล้างสถาบันฯ” ก็ยอม!
การเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เริ่มเดินหน้าไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยปิดล้อม “รัฐสภา” เพื่อประท้วงมิให้มีการแอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในการตั้ง “ส.ส.ร.3” จนต้องมีการปิดการประชุม และน่าเชื่อว่าจะเลื่อนการประชุมออกไปภายในวันศุกร์นี้เป็นอย่างช้า เนื่องด้วยจะมีการปิดสมัยประชุมสภานิติบัญญัติครั้งสุดท้ายของปี 2551
อย่างไรก็ตาม การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญเพื่อการเจรจาใน “กรอบข้อตกลงการลงนามสนธิสัญญากับต่างประเทศ ตามมาตรา 190” ก็สามารถดำเนินการได้ก่อนที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ “การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน” ในจังหวัดเชียงใหม่กลางเดือนธันวาคม
การชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วง “เสื้อเหลือง” ได้เคลื่อนขบวนไปชุมนุมที่กระทรวงการคลังและทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่สนามบินดอนเมือง แต่ก็มิได้เกิดความรุนแรงแต่ประการใด ทั้งนี้ ก็ต้องกล่าวชื่นชม “กลุ่มเสื้อแดง-นปช.” ที่ห้ามมิให้ตามไปชุมนุมปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่รัฐสภาและที่อื่นๆ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงในการเผชิญหน้า และอาจปะทะกันได้ในที่สุด
ประเด็นสำคัญที่น่าห่วงใยคือ “กลยุทธ์ซุนวู” ที่ “ลับ ลวง พราง” หรือ “ขงจื๊อ (Confucius)” ที่ “ไม่มีคือมี-มีคือไม่มี” กับสถานการณ์ในขณะนี้ โดยเฉพาะ “กลุ่มมือที่ 3 – มือป่วน!” ที่อาจเกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ ก่อให้เกิด “ปฏิบัติการนินจา!” เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งขอย้ำอีกครั้งว่า “กลุ่มมือที่ 3” นี้ มีอาวุธครบมือและพร้อมปฏิบัติการแบบ “สงครามกองโจร” ที่จู่โจมได้ตลอดเวลา
ขณะนี้เราต่างต้องยอมรับความจริงว่า สถานการณ์ชาติบ้านเมืองพร้อมที่จะก่อให้เกิด “ความแตกหัก” จากทุกฝ่าย และขอฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่า การปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ “ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็หมายความว่า ทำเนียบรัฐบาลจะถูกยึดยืดเยื้อไปนานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ประเด็นการเจรจาไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อย่างสันติ การระดมพลเพื่อโชว์พลัง “ฮั่มฮั่ม!” กันต่อไปของ “เหลือง-แดง” ก็คงไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน
แต่ที่สำคัญที่สุด ที่มั่นใจมากว่า “การโฟนอิน” ของคุณทักษิณ ชินวัตร ในการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในเวทีสัญจรรายการ “ความจริงวันนี้” ที่สนามกีฬาศุภชลาศัย วันที่ 13 ธันวาคม น่าจะเป็นการจุดพลุครั้งสุดท้าย ถ้าคุณทักษิณ ได้ดำเนินการ “เปิดโปง-ตีแผ่” ด้วยความคับแค้นใจดังที่ประกาศไว้
ดังนั้น ในที่สุด “การนองเลือด” ในครั้งนี้ น่าจะรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และ “การเปลี่ยนแปลง” จำต้องเกิดขึ้น!