ผู้เชี่ยวชาญชี้การมีเจ้านายที่ไม่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่น ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในที่ทำงานเครียดขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจสำหรับพนักงานอีกด้วย
ทีมนักวิจัยสวีเดนค้นพบความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างการเป็นผู้นำคุณภาพต่ำกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหัวใจวายรุนแรงในกลุ่มพนักงานชายกว่า 3,000 คน
ผลกระทบดังกล่าวอาจสะสม ทำให้ความเสี่ยงยิ่งเพิ่มขึ้น หากพนักงานทำงานกับบริษัทเดิมเป็นเวลานาน
อนึ่ง การศึกษานี้ตีพิมพ์อยู่ในวารสารออกคิวเปชันนัล แอนด์ เอนไวรอนเมนทัล เมดิซิน
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าและไม่ได้รับการสนับสนุนในที่ทำงานอาจทำให้ความเครียดพุ่งขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งกลายเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ ที่อาจนำไปสู่โรคหัวใจ
งานศึกษาก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า เจ้านายที่ไม่เป็นธรรมสามารถทำให้ความดันโลหิตของพนักงานพุ่ง และหากอาการนี้เรื้อรังก็อาจเป็นที่มาของความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเป็นโรคหัวใจ
สำหรับการศึกษาล่าสุด นักวิจัยจากสถาบันคาโรลินสกา และมหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์มของสวีเดน ติดตามสุขภาพหัวใจของพนักงานอายุระหว่าง 19-70 ปีที่ทำงานในสต็อกโฮล์มภายในเวลาเกือบทศวรรษ
ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว นักวิจัยพบกลุ่มตัวอย่าง 74 คนมีอาการหัวใจวายขั้นรุนแรงและไม่รุนแรง หรือเจ็บหน้าอกรุนแรง หรือเสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือด
กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดถูกขอให้จัดอันดับความเป็นผู้นำของผู้จัดการอาวุโสในบริษัทที่ทำงานอยู่ โดยพิจารณาจากความสามารถ อาทิ การกำหนดเป้าหมายให้แก่พนักงานอย่างชัดเจน การสื่อสารและแสดงความคิดเห็น
นักวิจัยพบว่า พนักงานที่มองว่าผู้จัดการอาวุโสของตนมีความสามารถต่ำที่สุดมีแนวโน้มเป็นโรคหัวใจรุนแรงเพิ่มขึ้น 25% และหากคนเหล่านี้ทำงานในบริษัทเดิมเป็นเวลานาน คือสี่ปีขึ้นไป ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นถึง 64%
การค้นพบนี้เป็นจริง แม้เมื่อพิจารณาระดับการศึกษา สถานะทางสังคม รายได้ ภาระงาน ปัจจัยเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ และออกกำลังกาย รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ สำหรับโรคหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน ประกอบด้วยก็ตาม
นักวิจัย ซึ่งรวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอนในสหราชอาณาจักร และสถาบันอาชีวอนามัยแห่งฟินแลนด์ กล่าวว่าหากสาเหตุและผลกระทบโดยตรงได้รับการยืนยัน จะหมายความว่าพฤติกรรมของผู้จัดการควรเป็นจุดมุ่งเน้น หากต้องการลดความเสี่ยงโรคหัวใจในหมู่พนักงานชั้นผู้น้อย
นอกจากนี้ ผู้จัดการยังควรอธิบายวัตถุประสงค์ของงานให้พนักงานเข้าใจอย่างชัดเจน และให้อำนาจอย่างเพียงพอเพื่อให้พนักงานตอบสนองต่อความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายเต็มที่
เคที รอสส์ พยาบาลของมูลนิธิหัวใจอังกฤษ แสดงทัศนะว่าการศึกษาที่จำกัดเฉพาะพนักงานชายบ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ที่ดีและชัดเจนในการทำงานกับผู้จัดการ อาจช่วยปกป้องโรคหัวใจได้
“ในทางกลับกัน การรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าและไม่ได้รับการสนับสนุนอาจเป็นที่มาของความเครียด ที่บ่อยครั้งชักนำสู่พฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ กินอาหารไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ออกกำลังกายมากพอ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ
“การทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์จะช่วยบรรเทาความเครียดจากการทำงานและส่งเสริมสุขภาพหัวใจในเวลาเดียวกัน”
ทีมนักวิจัยสวีเดนค้นพบความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างการเป็นผู้นำคุณภาพต่ำกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหัวใจวายรุนแรงในกลุ่มพนักงานชายกว่า 3,000 คน
ผลกระทบดังกล่าวอาจสะสม ทำให้ความเสี่ยงยิ่งเพิ่มขึ้น หากพนักงานทำงานกับบริษัทเดิมเป็นเวลานาน
อนึ่ง การศึกษานี้ตีพิมพ์อยู่ในวารสารออกคิวเปชันนัล แอนด์ เอนไวรอนเมนทัล เมดิซิน
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าและไม่ได้รับการสนับสนุนในที่ทำงานอาจทำให้ความเครียดพุ่งขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งกลายเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ ที่อาจนำไปสู่โรคหัวใจ
งานศึกษาก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า เจ้านายที่ไม่เป็นธรรมสามารถทำให้ความดันโลหิตของพนักงานพุ่ง และหากอาการนี้เรื้อรังก็อาจเป็นที่มาของความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเป็นโรคหัวใจ
สำหรับการศึกษาล่าสุด นักวิจัยจากสถาบันคาโรลินสกา และมหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์มของสวีเดน ติดตามสุขภาพหัวใจของพนักงานอายุระหว่าง 19-70 ปีที่ทำงานในสต็อกโฮล์มภายในเวลาเกือบทศวรรษ
ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว นักวิจัยพบกลุ่มตัวอย่าง 74 คนมีอาการหัวใจวายขั้นรุนแรงและไม่รุนแรง หรือเจ็บหน้าอกรุนแรง หรือเสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือด
กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดถูกขอให้จัดอันดับความเป็นผู้นำของผู้จัดการอาวุโสในบริษัทที่ทำงานอยู่ โดยพิจารณาจากความสามารถ อาทิ การกำหนดเป้าหมายให้แก่พนักงานอย่างชัดเจน การสื่อสารและแสดงความคิดเห็น
นักวิจัยพบว่า พนักงานที่มองว่าผู้จัดการอาวุโสของตนมีความสามารถต่ำที่สุดมีแนวโน้มเป็นโรคหัวใจรุนแรงเพิ่มขึ้น 25% และหากคนเหล่านี้ทำงานในบริษัทเดิมเป็นเวลานาน คือสี่ปีขึ้นไป ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นถึง 64%
การค้นพบนี้เป็นจริง แม้เมื่อพิจารณาระดับการศึกษา สถานะทางสังคม รายได้ ภาระงาน ปัจจัยเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ และออกกำลังกาย รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ สำหรับโรคหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน ประกอบด้วยก็ตาม
นักวิจัย ซึ่งรวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอนในสหราชอาณาจักร และสถาบันอาชีวอนามัยแห่งฟินแลนด์ กล่าวว่าหากสาเหตุและผลกระทบโดยตรงได้รับการยืนยัน จะหมายความว่าพฤติกรรมของผู้จัดการควรเป็นจุดมุ่งเน้น หากต้องการลดความเสี่ยงโรคหัวใจในหมู่พนักงานชั้นผู้น้อย
นอกจากนี้ ผู้จัดการยังควรอธิบายวัตถุประสงค์ของงานให้พนักงานเข้าใจอย่างชัดเจน และให้อำนาจอย่างเพียงพอเพื่อให้พนักงานตอบสนองต่อความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายเต็มที่
เคที รอสส์ พยาบาลของมูลนิธิหัวใจอังกฤษ แสดงทัศนะว่าการศึกษาที่จำกัดเฉพาะพนักงานชายบ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ที่ดีและชัดเจนในการทำงานกับผู้จัดการ อาจช่วยปกป้องโรคหัวใจได้
“ในทางกลับกัน การรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าและไม่ได้รับการสนับสนุนอาจเป็นที่มาของความเครียด ที่บ่อยครั้งชักนำสู่พฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ กินอาหารไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ออกกำลังกายมากพอ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ
“การทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์จะช่วยบรรเทาความเครียดจากการทำงานและส่งเสริมสุขภาพหัวใจในเวลาเดียวกัน”