เอเอฟพี – ผู้นำกลุ่มเอเปก 21 ประเทศเตรียมปิดการประชุมสุดยอดในวันอาทิตย์ (23) พร้อมประกาศให้คำมั่นร่วมมือกันต่อสู้กับวิกฤตการณ์การเงินโลก แม้จะยังไร้วี่แววมาตรการใหม่ที่เป็นรูปธรรม ส่วนประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชใช้เวทีประชุม กระตุ้นบารัค โอบามา ให้สานต่อนโยบายตั้งแต่เรื่องการเจรจายุติโครงการนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือไปจนถึงการค้าเสรี ก่อนอำลาตำแหน่งผู้นำโลก
“เราขอปฏิเสธลัทธิกีดกันทางการค้าในศตวรรษที่ 21” บุชกล่าวย้ำในวันเสาร์(22) โดยที่คำแถลงของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงท่าทีต่อต้านลัทธิกีดกันทางการค้าอีกจำนวนหนึ่ง ในระหว่างการประชุมประจำปีของเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลิมา ประเทศเปรูในช่วงสุดสัปดาห์(22-23)ที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ในวันเสาร์นี้เอง บรรดาผู้นำเอเปกยังได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันการเงินทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับของข้อเรียกร้องของที่ประชุมกลุ่ม จี-20 ที่จัดประชุมไปเมื่อสัปดาห์ก่อนที่วอชิงตัน โดยระบุว่า
“เราขอย้ำความเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่า หลักการตลาดเสรีและระบอบการค้าและการลงทุนแบบเปิดกว้างจะยังคงผลักดันให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการขจัดความยากจนทั่วโลกได้”
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวซึ่งมีความยาว 1 หน้า ไม่ได้ระบุรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม อีกทั้งในร่างของแถลงการณ์ร่วมฉบับสุดท้ายที่จะออกภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นในวันอาทิตย์ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีการประกาศมาตรการชัดเจนใดๆ ในการแก้ไขวิกฤตการณ์การเงินโลกด้วย
เป็นที่คาดว่าจุดสนใจของการปิดประชุมในวันอาทิตย์คงจะเป็นเพียงการถ่ายภาพร่วมกันของบรรดาผู้นำจาก 21 ประเทศ ซึ่งเมื่อรวมกิจกรรมทางการค้าโดยรวมแล้วคิดเป็นมูลค่าถึงครึ่งหนึ่งของทั่วโลกมากกว่า
กระนั้นก็ตาม ก่อนที่การประชุมจะปิดฉากลง ประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟและหูจิ่นเทาผู้นำของจีนก็มีกำหนดพบปะเจรจากัน โดยคาดว่าจะเป็นเรื่องการกระชับความสัมพันธ์ของมหาอำนาจทั้งสอง รวมทั้งศักยภาพในการถ่วงดุลกับสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ค่อนข้างตึงเครียดเนื่องจากมีข้อขัดแย้งกันหลายเรื่อง รวมทั้งการที่สหรัฐฯ มีแผนการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรปตะวันออก ซึ่งแม้สหรัฐฯ บอกว่าแผนการดังกล่าวมีเป้าหมายป้องกันการคุกคามด้วยขีปนาวุธจากอิหร่าน แต่รัสเซียค้านว่าเป็นพฤติกรรมในเชิงยั่วยุของสหรัฐฯ
เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียระบุว่า บุชและเมดเวเดฟมีท่าทีอ่อนโยนลงในระหว่างการประชุมทวิภาคีเมื่อวันเสาร์ โดยผู้นำทั้งสองตกลงที่จะ “ไม่มุ่งสนใจกับปัญหาระหว่างมหาอำนาจทั้งสองที่มีอยู่”
ในการประชุมวาระพิเศษของผู้นำระดับสูงในวันเสาร์ ประธานาธิบดีบุช กับ ทาโร อาโซะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น และประธานาธิบดีลีมุง-บุคแห่งเกาหลีใต้ ยังได้ร่วมกันกดดันให้เกาหลีเหนือปฏิบัติตามข้อตกลงยุติโครงการนิวเคลียร์ซึ่งทำกันไว้ระหว่างการประชุม 6 ฝ่าย โดยผู้นำทั้งสามได้ขอให้เกาหลีเหนือจัดทำร่างเอกสารระบุรายละเอียดเกี่ยวกับดำเนินการตามข้อตกลงยุติโครงการนิวเคลียร์เพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากโลกตะวันตก
หลังจากนั้น อาโซะกล่าวด้วยว่าบุชสัญญาว่าจะย้ำกับบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีที่จะเข้ารับตำแหน่งต่อจากเขาในวันที่ 20 มกราคม ถึงความสำคัญที่จะต้องสานต่อการผลักดันเรื่องการยุติโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือต่อไป
ส่วนผู้นำจีนก็ย้ำจุดยืนที่ว่าการแก้วิกฤตการณ์ทางการเงินควรเปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาได้มีบทบาทมากขึ้นในองค์กรสำคัญ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ด้วย “เพื่อให้เกิดความสมดุลของผลประโยชน์ของทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยางผลประโยชน์ของตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา”
ทั้งนี้ ผู้นำเอเปกจะออกแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายในวันอาทิตย์โดยมีแนวคิดเป็นเอกฉันท์ว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลก แม้จะยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
“เราขอปฏิเสธลัทธิกีดกันทางการค้าในศตวรรษที่ 21” บุชกล่าวย้ำในวันเสาร์(22) โดยที่คำแถลงของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงท่าทีต่อต้านลัทธิกีดกันทางการค้าอีกจำนวนหนึ่ง ในระหว่างการประชุมประจำปีของเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลิมา ประเทศเปรูในช่วงสุดสัปดาห์(22-23)ที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ในวันเสาร์นี้เอง บรรดาผู้นำเอเปกยังได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันการเงินทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับของข้อเรียกร้องของที่ประชุมกลุ่ม จี-20 ที่จัดประชุมไปเมื่อสัปดาห์ก่อนที่วอชิงตัน โดยระบุว่า
“เราขอย้ำความเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่า หลักการตลาดเสรีและระบอบการค้าและการลงทุนแบบเปิดกว้างจะยังคงผลักดันให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการขจัดความยากจนทั่วโลกได้”
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวซึ่งมีความยาว 1 หน้า ไม่ได้ระบุรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม อีกทั้งในร่างของแถลงการณ์ร่วมฉบับสุดท้ายที่จะออกภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นในวันอาทิตย์ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีการประกาศมาตรการชัดเจนใดๆ ในการแก้ไขวิกฤตการณ์การเงินโลกด้วย
เป็นที่คาดว่าจุดสนใจของการปิดประชุมในวันอาทิตย์คงจะเป็นเพียงการถ่ายภาพร่วมกันของบรรดาผู้นำจาก 21 ประเทศ ซึ่งเมื่อรวมกิจกรรมทางการค้าโดยรวมแล้วคิดเป็นมูลค่าถึงครึ่งหนึ่งของทั่วโลกมากกว่า
กระนั้นก็ตาม ก่อนที่การประชุมจะปิดฉากลง ประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟและหูจิ่นเทาผู้นำของจีนก็มีกำหนดพบปะเจรจากัน โดยคาดว่าจะเป็นเรื่องการกระชับความสัมพันธ์ของมหาอำนาจทั้งสอง รวมทั้งศักยภาพในการถ่วงดุลกับสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ค่อนข้างตึงเครียดเนื่องจากมีข้อขัดแย้งกันหลายเรื่อง รวมทั้งการที่สหรัฐฯ มีแผนการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรปตะวันออก ซึ่งแม้สหรัฐฯ บอกว่าแผนการดังกล่าวมีเป้าหมายป้องกันการคุกคามด้วยขีปนาวุธจากอิหร่าน แต่รัสเซียค้านว่าเป็นพฤติกรรมในเชิงยั่วยุของสหรัฐฯ
เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียระบุว่า บุชและเมดเวเดฟมีท่าทีอ่อนโยนลงในระหว่างการประชุมทวิภาคีเมื่อวันเสาร์ โดยผู้นำทั้งสองตกลงที่จะ “ไม่มุ่งสนใจกับปัญหาระหว่างมหาอำนาจทั้งสองที่มีอยู่”
ในการประชุมวาระพิเศษของผู้นำระดับสูงในวันเสาร์ ประธานาธิบดีบุช กับ ทาโร อาโซะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น และประธานาธิบดีลีมุง-บุคแห่งเกาหลีใต้ ยังได้ร่วมกันกดดันให้เกาหลีเหนือปฏิบัติตามข้อตกลงยุติโครงการนิวเคลียร์ซึ่งทำกันไว้ระหว่างการประชุม 6 ฝ่าย โดยผู้นำทั้งสามได้ขอให้เกาหลีเหนือจัดทำร่างเอกสารระบุรายละเอียดเกี่ยวกับดำเนินการตามข้อตกลงยุติโครงการนิวเคลียร์เพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากโลกตะวันตก
หลังจากนั้น อาโซะกล่าวด้วยว่าบุชสัญญาว่าจะย้ำกับบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีที่จะเข้ารับตำแหน่งต่อจากเขาในวันที่ 20 มกราคม ถึงความสำคัญที่จะต้องสานต่อการผลักดันเรื่องการยุติโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือต่อไป
ส่วนผู้นำจีนก็ย้ำจุดยืนที่ว่าการแก้วิกฤตการณ์ทางการเงินควรเปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาได้มีบทบาทมากขึ้นในองค์กรสำคัญ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ด้วย “เพื่อให้เกิดความสมดุลของผลประโยชน์ของทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยางผลประโยชน์ของตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา”
ทั้งนี้ ผู้นำเอเปกจะออกแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายในวันอาทิตย์โดยมีแนวคิดเป็นเอกฉันท์ว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลก แม้จะยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
