เหตุผลในการเคลื่อนขบวนมาปิดล้อมรัฐสภาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเช้าวันนี้จะโทษใครไม่ได้นอกจากประธานรัฐสภาที่นึกอย่างไรไม่รู้ไปบรรจุร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับหมอเหวงฯ เข้าไว้ในระเบียบวาระตั้งแต่ช่วงวันที่ 3 ตุลาคม 2551 ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นมีการประชุม 3 ฝ่าย 4 ฝ่ายกันเรื่องร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 แล้ว
คล้าย ๆ กับเป็นกระบวนการ “แบล็กเมล์” ให้ผู้คนยอมรับร่างฯแก้ไขมาตรา 291
ร่างฯ ฉบับหมอเหวงฯ นี้ผมเคยเขียนไว้แล้วว่าจงใจไม่บัญญัติรับรองคณะองคมนตรีชุดที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบันไว้ในบทเฉพาะกาล
ร่างฯฉบับหมอเหวงไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามปกติ แต่เป็นเสมือนการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับ แล้วเอาฉบับ 2540 มาใส่แทนทั้งดุ้น – อ้อ – ไม่ใช่ – เกือบทั้งดุ้น
ปกติเวลามีรัฐธรรมนูญใหม่ ในส่วนของบทเฉพาะกาลเขาจะรับรองการมีอยู่และการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เริ่มตั้งแต่คณะองคมนตรี ส.ส. ส.ว. และครม.
รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 292 ที่เขาตั้งใจจะยกเลิกนั้นบัญญัติไว้ดั่งนี้
“ให้คณะองคมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะองคมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
แต่ร่างฯหมอเหวงฯไม่มี
อ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ดีเลิศ แต่เวลาเขาเอาบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใส่แทนที่เขาก็ไม่เอามาตรา 314 ที่รับรองการมีอยู่และการปฏิบัติหน้าที่ของคณะองคมนตรีเข้าไปใส่ไว้
ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะหมอเหวงฯคือหนึ่งในแกนนำของนปก.หรือนปช.ที่เคยเคลื่อนขบวนไปโจมตีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ถึงหน้าบ้านมาแล้ว และยุทธศาสตร์องค์รวมของเครื่อข่ายนี้ก็คือต้องการสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยของปวงมหาประชาชน” ที่มีสาระสำคัญว่า “ปวงชนชาวไทยเป็นทั้งเจ้าของอำนาจอธิปไตยและผู้ใช้อำนาจนั้นด้วยตัวเอง” ขึ้นมา
ยุทธศาสตร์องค์รวมของคนกลุ่มนี้ผมพูดมานานเป็นปี ๆ แล้วหลายครั้งในที่ประชุมสภา
และนี้คือประเด็นหลักที่พันธมิตรฯเขาลุกขึ้นสู้ !
จริงอยู่ แม้วันนี้จะเป็นที่ตกลงกันว่าจะไม่มีการประชุมกันในวาระนี้ ในทางปฏิบัติเมื่อเริ่มเปิดประชุม ประธานรัฐสภาหรือสมาชิก จะขอให้เลื่อนระเบียบวาระอื่นขึ้นมาพิจารณาก่อน ถ้าที่ประชุมไม่คัดค้าน ก็ถือเป็นมติ แต่นั่นก็จะเกิดขึ้นจริงเมื่อเปิดประชุมแล้วเท่านั้น พันธมิตรฯจึงมีข้ออ้างว่าไม่อาจเชื่อวาจาประธานรัฐสภาและนักการเมืองพรรคพลังประชาชนได้
ประธานรัฐสภาอ้างว่าร่างฯฉบับหมอเหวงนั้นประชาชนเข้าชื่อกันเสนอ เมื่อถูกต้องแล้วไม่บรรจุไม่ได้
ไม่จริง และไม่ถูกต้อง !
มาดูตัวบทมาตรา 291 อนุ 1 รัฐธรรมนูญ 2550 กันก่อนนะครับ
“มาตรา 291 (1) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย”
สรุปง่าย ๆ ว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 (1) ได้บัญญัติให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน สามารถที่จะเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นตามหลักเกณฑ์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดด้วย กล่าวคือ....
ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย !
ในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้น ปัจจุบันได้มีพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542 ซึ่งออกตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 170 ที่ได้บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คนมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมายในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ตามที่รัฐธรรมนูญ 2540 บัญญัติไว้เท่านั้น โดยไม่มีบทบัญญัติหรือหลักการในส่วนใดที่กล่าวถึงหลักเกณฑ์และวิธีการในกรณีที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คนจะเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 (1) แต่ประการใด
เมื่อได้พิจารณาหลักการของพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542 แล้ว พบว่าเป็นหลักการที่ได้บัญญัติขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 170 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงเท่ากับว่าพ.ร.บ.ดังกล่าวไม่มีผลบังคับใช้ไปโดยปริยายในปัจจุบัน
ดังนั้น หากจะอนุวัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 (1) จะต้องมีการตราพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายฉบับใหม่เพื่อรองรับหลักการใหม่เสียก่อน
เพราะแม้การเข้าชื่อเสนอกฎหมายอื่น ๆ รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 163 ก็กำหนดให้ประชาชนแค่เพียง 10,000 คนเข้าชื่อกันเสนอญัตติได้ ไม่ต้องถึง 50,000 คนเหมือนเดิม
แค่เหตุผลประเด็นนี้ ประธานรัฐสภาก็ไม่อาจบรรจุร่างฯหมอเหวงฯเข้าระเบียบวาระได้แล้ว !
มิพักต้องพูดถึงว่า ร่างฯฉบับนี้มีลักษณะไม่ใช่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามปกติ แต่เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
การวินิจฉัยของประธานรัฐสภาน่าจะมีปัญหา !!
แน่นอนว่าเป็นดุลพินิจและเป็นอำนาจของท่าน แต่หากการใช้ดุลพินิจและอำนาจนั้นพิจารณาได้ว่าขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ท่านก็อาจถูกดำเนินการตามรัฐธรรมนูญได้
การกลับลำไม่พิจารณาร่างฯหมอเหวงฯ หรือร่างฯ 291 ในช่วงนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของกลุ่มการเมือง ซึ่งผันแปรไปตามแต่ละช่วงเวลา
ใครจะไปรู้ว่าหากสถานการณ์ผันแปรไปอีก พะนะหัวเจ้าทั่นทั้งหลายจะไปเร่งแก้รัฐธรรมนูญอีก
การบรรจุร่างฯหมอเหวงฯให้ “คาไว้” ในระเบียบวาระจึงเป็นยุทธวิธีล้ำลึก
จะหยิบยกขึ้นพิจารณาเมื่อไรก็ได้
พันธมิตรฯมีเหตุผลเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมรัฐสภาวันนี้ได้ จึงต้องขอบคุณยุทธวิธีล้ำลึกนี้ด้วย
แต่จะ “ม้วนเดียวจบ” ในลักษณะไหน ผมเขียนงานชิ้นนี้ล่วงหน้า 1 วันจึงไม่อาจจะรับรู้ได้
ก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนาอย่าให้ผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตเลือดเนื้อกันอีก
และขอเชิญชวนผู้อ่านร่วมสวดมนต์ภาวนาด้วย !
คล้าย ๆ กับเป็นกระบวนการ “แบล็กเมล์” ให้ผู้คนยอมรับร่างฯแก้ไขมาตรา 291
ร่างฯ ฉบับหมอเหวงฯ นี้ผมเคยเขียนไว้แล้วว่าจงใจไม่บัญญัติรับรองคณะองคมนตรีชุดที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบันไว้ในบทเฉพาะกาล
ร่างฯฉบับหมอเหวงไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามปกติ แต่เป็นเสมือนการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับ แล้วเอาฉบับ 2540 มาใส่แทนทั้งดุ้น – อ้อ – ไม่ใช่ – เกือบทั้งดุ้น
ปกติเวลามีรัฐธรรมนูญใหม่ ในส่วนของบทเฉพาะกาลเขาจะรับรองการมีอยู่และการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เริ่มตั้งแต่คณะองคมนตรี ส.ส. ส.ว. และครม.
รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 292 ที่เขาตั้งใจจะยกเลิกนั้นบัญญัติไว้ดั่งนี้
“ให้คณะองคมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะองคมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
แต่ร่างฯหมอเหวงฯไม่มี
อ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ดีเลิศ แต่เวลาเขาเอาบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใส่แทนที่เขาก็ไม่เอามาตรา 314 ที่รับรองการมีอยู่และการปฏิบัติหน้าที่ของคณะองคมนตรีเข้าไปใส่ไว้
ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะหมอเหวงฯคือหนึ่งในแกนนำของนปก.หรือนปช.ที่เคยเคลื่อนขบวนไปโจมตีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ถึงหน้าบ้านมาแล้ว และยุทธศาสตร์องค์รวมของเครื่อข่ายนี้ก็คือต้องการสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยของปวงมหาประชาชน” ที่มีสาระสำคัญว่า “ปวงชนชาวไทยเป็นทั้งเจ้าของอำนาจอธิปไตยและผู้ใช้อำนาจนั้นด้วยตัวเอง” ขึ้นมา
ยุทธศาสตร์องค์รวมของคนกลุ่มนี้ผมพูดมานานเป็นปี ๆ แล้วหลายครั้งในที่ประชุมสภา
และนี้คือประเด็นหลักที่พันธมิตรฯเขาลุกขึ้นสู้ !
จริงอยู่ แม้วันนี้จะเป็นที่ตกลงกันว่าจะไม่มีการประชุมกันในวาระนี้ ในทางปฏิบัติเมื่อเริ่มเปิดประชุม ประธานรัฐสภาหรือสมาชิก จะขอให้เลื่อนระเบียบวาระอื่นขึ้นมาพิจารณาก่อน ถ้าที่ประชุมไม่คัดค้าน ก็ถือเป็นมติ แต่นั่นก็จะเกิดขึ้นจริงเมื่อเปิดประชุมแล้วเท่านั้น พันธมิตรฯจึงมีข้ออ้างว่าไม่อาจเชื่อวาจาประธานรัฐสภาและนักการเมืองพรรคพลังประชาชนได้
ประธานรัฐสภาอ้างว่าร่างฯฉบับหมอเหวงนั้นประชาชนเข้าชื่อกันเสนอ เมื่อถูกต้องแล้วไม่บรรจุไม่ได้
ไม่จริง และไม่ถูกต้อง !
มาดูตัวบทมาตรา 291 อนุ 1 รัฐธรรมนูญ 2550 กันก่อนนะครับ
“มาตรา 291 (1) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย”
สรุปง่าย ๆ ว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 (1) ได้บัญญัติให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน สามารถที่จะเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นตามหลักเกณฑ์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดด้วย กล่าวคือ....
ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย !
ในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้น ปัจจุบันได้มีพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542 ซึ่งออกตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 170 ที่ได้บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คนมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมายในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ตามที่รัฐธรรมนูญ 2540 บัญญัติไว้เท่านั้น โดยไม่มีบทบัญญัติหรือหลักการในส่วนใดที่กล่าวถึงหลักเกณฑ์และวิธีการในกรณีที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คนจะเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 (1) แต่ประการใด
เมื่อได้พิจารณาหลักการของพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542 แล้ว พบว่าเป็นหลักการที่ได้บัญญัติขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 170 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงเท่ากับว่าพ.ร.บ.ดังกล่าวไม่มีผลบังคับใช้ไปโดยปริยายในปัจจุบัน
ดังนั้น หากจะอนุวัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 (1) จะต้องมีการตราพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายฉบับใหม่เพื่อรองรับหลักการใหม่เสียก่อน
เพราะแม้การเข้าชื่อเสนอกฎหมายอื่น ๆ รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 163 ก็กำหนดให้ประชาชนแค่เพียง 10,000 คนเข้าชื่อกันเสนอญัตติได้ ไม่ต้องถึง 50,000 คนเหมือนเดิม
แค่เหตุผลประเด็นนี้ ประธานรัฐสภาก็ไม่อาจบรรจุร่างฯหมอเหวงฯเข้าระเบียบวาระได้แล้ว !
มิพักต้องพูดถึงว่า ร่างฯฉบับนี้มีลักษณะไม่ใช่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามปกติ แต่เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
การวินิจฉัยของประธานรัฐสภาน่าจะมีปัญหา !!
แน่นอนว่าเป็นดุลพินิจและเป็นอำนาจของท่าน แต่หากการใช้ดุลพินิจและอำนาจนั้นพิจารณาได้ว่าขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ท่านก็อาจถูกดำเนินการตามรัฐธรรมนูญได้
การกลับลำไม่พิจารณาร่างฯหมอเหวงฯ หรือร่างฯ 291 ในช่วงนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของกลุ่มการเมือง ซึ่งผันแปรไปตามแต่ละช่วงเวลา
ใครจะไปรู้ว่าหากสถานการณ์ผันแปรไปอีก พะนะหัวเจ้าทั่นทั้งหลายจะไปเร่งแก้รัฐธรรมนูญอีก
การบรรจุร่างฯหมอเหวงฯให้ “คาไว้” ในระเบียบวาระจึงเป็นยุทธวิธีล้ำลึก
จะหยิบยกขึ้นพิจารณาเมื่อไรก็ได้
พันธมิตรฯมีเหตุผลเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมรัฐสภาวันนี้ได้ จึงต้องขอบคุณยุทธวิธีล้ำลึกนี้ด้วย
แต่จะ “ม้วนเดียวจบ” ในลักษณะไหน ผมเขียนงานชิ้นนี้ล่วงหน้า 1 วันจึงไม่อาจจะรับรู้ได้
ก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนาอย่าให้ผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตเลือดเนื้อกันอีก
และขอเชิญชวนผู้อ่านร่วมสวดมนต์ภาวนาด้วย !