ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาณ มหาวิทยาลัยรังสิต
การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ เป็นมหรสพสมโภชในงานออกพระเมรุ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เมื่อคืนวันที่ 15 พ.ย. 2551 นั้น ให้ทั้งความบันเทิง และสติปัญญา
หากใครได้ดู ก็คงอดคิดถึงสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันไม่ได้
เหตุบ้านการเมืองวันนี้ คล้ายเรื่องรามเกียรติ์ มีพระรามที่เป็นนารายอวตาร มีพระลักษณ์ มีหนุมานชาญสมร มีขุนพลแม่ทัพนายกอง ทหารหาญ และก็มีการต่อสู้กับกองกำลังของยักษ์มาร คือ “ทศกัณฐ์” ที่ผลักดันบริวารญาติมิตรออกมานำทัพเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ
ในเรื่องรามเกียรติ์นั้น พระรามทรงทำสงครามกับทศกัณฐ์อยู่นานหลายปี ทศกัณฐ์ให้ญาติพี่น้องนำทัพออกมารบแทนตัวเองหลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้ราบคาบ กระทั่งทศกัณฐ์ต้องออกรบเอง แม้กระนั้น เมื่อพระรามแผลงศรถูกทศกัณฐ์ แต่ทศกัณฐ์ก็ไม่ตาย เพราะทศกัณฐ์ได้ถอดหัวใจออกมาไว้นอกร่าง
เห็นทศกัณฐ์ถอดหัวใจออกจากร่าง ชะล่าใจว่าตนจะไม่ตายแล้ว ก็นึกถึง “ทศษิณ” ถอดดวงใจออกจากร่าง ถอด “พจมาน” ออกจากนิติสัมพันธ์ที่สถานทูตฮ่องกง !
จะเป็นเหมือนที่ “ทศกัณฑ์” ทำเพื่อปกป้องตัว เพื่อให้ไม่กลัวตาย หรือจะเป็นการหย่าร้างจริงๆ ทั้งในทางนิตินัยและพฤตินัยนั้น ย่อมไม่มีใครทราบแน่ นอกจากทักษิณและพจมาน
เรื่องนี้เกิดขึ้นในสถานการณ์สงคราม จึงมีการวิเคราะห์ไปหลายทาง ตามเหตุปัจจัยบ่งชี้
1) ข้อเท็จจริงยืนยันว่า “ทศกัณฐ์และเมียแก้ว” ได้ไปจดทะเบียนหย่ากันจริง แต่ 2) เมื่อจดทะเบียนหย่ากันแล้ว ได้มีการดำเนินการเพื่อแบ่งทรัพย์สมบัติอย่างไร ยังไม่ปรากฏชัด โดยเฉพาะทรัพย์สมบัติที่ถูกทางการอายัดไว้ มูลค่ามากกว่า 60,000 ล้านบาทนั้น จะอ้างว่าเป็นของใครบ้าง ?
เมื่อปรากฏเช่นนี้ แนวความคิดของผู้คนที่สนใจติดตามข่าว อันอาจจะมีผลเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของแผ่นดินด้วยนี้ จึงคิดกันไปได้ 2 ทาง
1) เชื่อว่า หย่าร้าง -หย่าขาดจากกัน จริงๆ
ทั้งในทางนิตินัย และพฤตินัย
คือ นอกจากจะไปจดทะเบียนหย่าแล้ว ยังจะแยกการอยู่กิน แยกเตียงนอน ขาดจาดความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาใดๆ ทั้งสิ้นทั้งปวงจริงๆ
แนวคิดความเชื่อนี้ มีข่าวสนับสนุนให้น่าเชื่ออยู่บ้างเหมือนกัน เพราะเมื่อต้นปี มีข่าววงในว่า “ทศกัณฐ์และเมียแก้ว” มีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ระหว่างร่วมโต๊ะอาหาร ณ ห้องอาหารในโรงแรมแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ
ปัญหาที่ทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องการศึกการสงคราม แต่เป็นเรื่อง “ทศกาม” คือ พฤติกรรมปันกายและใจให้หญิงอื่น อาทิ มีทั้งนางกำนัลเป็นเด็กสาวคราวลูก ผู้มีพรสวรรค์ในการใช้ปาก ร้องระบำรำเต้น แล้วก็ยังมีนางสนมเป็นแคดดี้ขาประจำ ตีคลีกันอย่างเปิดเผย ถึงขนาดว่าแม่ของแคดดี้นำไปป่าวร้องอย่างภูมิใจว่ามีลูกเขยเป็นผู้นำยักษานายกฯ เป็นต้น
จะเป็นเชื้อปะทุ หรือเป็นมูลเหตุเพียงพอให้นำมาสู่การหย่าร้างกัน หรือไม่
2)เชื่อว่า หย่าร้างจำแลง หรือหย่าเฉพาะในทางนิตินัย
คือ แยกกล่องดวงใจออกไปในทางกฎหมาย แต่ในชีวิตจริงยัง “อยู่กินฉันท์สามีภรรยา” หรือยัง “มีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา” เพียงแต่ในทางเอกสาร-ทางกฎหมาย ทำให้เสมือนแยกกันอยู่
แนวคิดความเชื่อนี้ ก็มีเค้าลางของพฤติกรรมและมูลเหตุสนับสนุนอยู่เหมือนกัน
ประการที่หนึ่ง เมื่อครั้งที่เพิ่งถูกตรวจสอบกรณีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ ทศกัณฑ์ก็เคยพยายามจะจดทะเบียนหย่าย้อนหลัง เพื่อสร้างหลักฐานว่าหย่ากันก่อนจะซื้อขายที่ดินมาแล้ว แต่โชคดีที่ คตส.ได้รวบรวมหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบก่อนหน้าแล้ว จึงไม่มีผู้ใดกล้าทำหลักฐานเท็จย้อนหลังให้
ประการที่สอง วันนี้ แม้การหย่าจะไม่มีผลต่อคดีที่ดินรัชดาฯ ที่ศาลพิพากษาจำคุกสามี และไม่ลงโทษภรรยาไปแล้ว แต่อาจจะมีผลต่อคดีอื่นๆ หรือไม่ เพราะคดีที่เกี่ยวกับการร่ำรวยผิดปกติ คดีที่ต้องพิสูจน์ที่มาและความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินนั้น การแยกกล่องดวงใจออกมาจากตัว อาจจะช่วยตบตาคน ทำให้ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน เมื่อหย่ากันแล้วทรัพย์สินก็เป็นของใครของมัน ถ้าจะดำเนินคดี จะยึดทรัพย์สามีที่เป็นนักการเมืองก็จัดการเฉพาะของสามี ส่วนของอดีตภรรยาก็จะขอคืน ??? เพราะอ้างเป็นสินสมรส หรือสินที่หาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของภรรยา
แต่ทั้งนี้ การตัดสินชี้ขาด ก็อยู่ที่ศาลยุติธรรม ที่จะพิจารณาว่า เป็นการหย่าจำแลง แบบถอดหัวใจออกจากร่างเท่านั้น แต่ยังแอบมีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากันอยู่ หรือว่าเป็นการหย่าขาดจริงๆ ซึ่งจะไม่ได้ดูเฉพาะเอกสารการหย่าเท่านั้น แต่ดูพฤติการณ์แวดล้อมด้วย
ประการที่สาม ถ้าแสดงหลักฐานว่าหย่าร้างจากสามีที่เป็นนักโทษหนีคุก-ผู้ยังกระทำการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่แล้วนั้น อาจจะช่วยให้ฝ่ายภรรยาดำเนินการขอวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษ และประเทศต่างๆ เพื่อเข้าไปพำนักหรือดูแลทรัพย์สมบัติที่ซุกซ่อนตกค้างอยู่ในประเทศเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น
หากเป็นไปตามแนวคิดความเชื่อนี้ ในขณะที่ฝ่ายสามีเดินเกมเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบเปิดเผยเต็มตัว ฝ่ายภรรยาก็จะดูแลเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งนอกประเทศและในประเทศ อันเป็นเสมือน “กล่องดวงใจ” ของ “ทศกัณฐ์”
ประการที่สี่ เป็นไปได้หรือว่า ขณะนี้ “ทัศกัณฐ์” พยายาม “ถอดกล่องดวงใจ” คือ ผลประโยชน์ต่างๆ ของตนเองและครอบครัว
วิธีการ คือ การจดทะเบียนหย่ากับเมียแก้ว เพื่อกันสมบัติส่วนที่อ้างว่าเป็นของเมียออกไปไว้เสียก่อน
เมื่อออกรบ แม้ “ทศกัณฐ์” จะถูกศร “พระราม” ฆ่า แต่ “ทัศกัณฐ์” ก็จะไม่ตาย เพราะยังมี “กล่องดวงใจ” ที่ถอดแยกออกไปไว้นอกร่าง
แนวคิดความเชื่อนี้ สงสัยว่า “ทศกัณฐ์” กำลังเตรียมจำทำสงครามแตกหักกับ “พระราม”
หลังจากให้ญาติพี่น้องออกรบแทนตัวเองมาหลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้แก่ “พระราม” และ “ผู้จงรักภักดีต่อพระราม” ทุกครั้ง มาวันนี้ “ทศกัณฐ์” จึง “ถอดกล่องดวงใจออกจากร่าง” ทำให้คึกคะนองเกินเหตุ เหิมเกริมด้วยลำพองใจว่า “ตนเองถูกฆ่าไม่ตาย”
พระรามรู้ทัน
ในเรื่องรามเกียรติ เมื่อฝ่าย “พระราม” รู้ทัน ทราบว่า “ทศกัณฐ์” ถอดหัวใจเอาไว้นอกร่าง ก็ส่งทหารเอก คือ “หนุมาน” ไปนำเอากล่องดวงใจของทศกัณฐ์มาจนได้ หลังจากนั้น เมื่อพระรามแผลงศรพรหมาสตร์สังหารทศกัณฐ์ หนุมานก็ขยี้ดวงใจให้ทศกัณฐ์สิ้นชีวิต ในที่สุด “พระราม” จึงชนะศึกสงครามอย่างเด็ดขาด
ต้องติดตามต่อไปว่า ณ ราชอาณาจักรไทย ใครจะ “รู้ทันทศษิณ” ?
ใครจะเป็นทหารเอกของ “พระราม” ? ใครจะจัดการกับกล่องดวงใจของทศกัณฑ์ และนำชัยชนะเหนือระบอบทศษิณ ? นำความถูกต้องดีงามกลับมาสู่แผ่นดินไทย เพื่อก้าวไปสู่การเมืองใหม่ เป็นประชาธิปไตยโดยธรรม อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง