เอเอฟพี – กองทัพเรือรัสเซียแถลงวานนี้ (9) ว่า เรือดำน้ำนิวเคลียร์ลำหนึ่งของตน ในกองเรือภาคพื้นแปซิฟิก ประสบอุบัติเหตุในเขตทะเลญี่ปุ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน และอีก 22 คนได้รับบาดเจ็บ นับเป็นเหตุร้ายแรงที่สุดตั้งแต่อุบัติเหตุเรือดำน้ำ “คุสก์”ในปี 2000
“ในระหว่างที่เรือดำน้ำนิวเคลียร์ลำหนึ่งในกองเรือภาคพื้นแปซิฟิก กำลังทำการทดสอบการเดินเรืออยู่นั้น ระบบป้องกันอัคคีภัยเกิดขัดข้อง และทำให้ทหารและคนงาน 20 คนเสียชีวิต” นาวาเอกอิกอร์ ดีกาโล โฆษกกองทัพเรือระบุและเสริมว่าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนเรือดำน้ำลำดังกล่าวไม่ได้รับความเสียหาย อีกทั้งปริมาณรังสีในบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ซึ่งอยู่ในเขตทดสอบการเดินเรือของรัสเซียก็อยู่ในระดับปกติ
สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนโวสตีของรัฐบาลรัสเซียเผยว่า เรือดำน้ำลำดังกล่าวกำลังทำการทดสอบการเดินเครื่อง โดยเป็นการตระเตรียมก่อนส่งมอบเรือให้กับอินเดียตามแผน ทว่าทางการไม่ได้ยืนยันข่าวดังกล่าว
ผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้มีทั้งทหารและคนงานอู่ต่อเรือซึ่งขึ้นเรือมาเพื่อปฏิบัติภารกิจทดสอบเรือนั่นเอง ทั้งนี้ผู้เสียชีวิตที่เป็นทหารเรือมีด้วยกัน 3 นาย และเป็นพลเรือน 17 คน
ในเวลาต่อมา วลาดิมีร์ มาร์คิน โฆษกคณะกรรมการสอบสวนแห่งสหพันธรัฐแถลงว่า ผลการชัณสูตรศพแสดงชัดว่า เหยื่อเคราะห์ร้ายเหล่านี้เสียชีวิตเพราะหายใจเอาก๊าซฟรีออนเข้าไป โดยที่ก๊าซนี้ถูกปล่อยเข้าไปในพื้นที่ส่วนหนึ่งของเรือดำน้ำเมื่อระบบดับเพลิงภายในเรือเกิดทำงานขึ้นมา
ด้านผู้บาดเจ็บทั้งหมดถูกนำตัวออกจากเรือที่ได้รับความเสียหาย แล้วขึ้นเรือติดตามอีกลำหนึ่ง ก่อนนำส่งเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยแต่ละคนมีอาการรุนแรงแตกต่างกันไปตามระดับของสารพิษที่ได้รับ นอกจากนั้นผู้ที่ได้รับสารพิษเพียงเล็กน้อยอีกราว 20 คนก็ถูกนำตัวขึ้นเรือซายานี ซึ่งเป็นเรือพี่เลี้ยงของเรือลำที่เกิดอุบัติเหตุด้วย
ส่วนเรือที่เกิดเหตุถูกส่งกลับไปยังท่าเรือโบลชอย คาเมน อันเป็นที่ตั้งของอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ใกล้กับเมืองวลาดิวอสตอก และเป็นสถานที่นำศพของผู้เสียชีวิตขึ้นไปไว้ในโรงเก็บศพที่อยู่ใกล้ๆ กันด้วย
ทั้งนี้ หลังเกิดอุบัติเหตุในวันเสาร์ ประธานาธิบดีดมิตรี เมดเวเดฟได้รับทราบรายงานสรุปจากอนาโตลี เซอร์ดูคอฟ รัฐมนตรีกลาโหม และได้สั่งการให้มีการสืบสวนเรื่องนี้อย่างรอบคอบครบถ้วน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวของผู้ประสบเหตุอย่างเต็มที่
แหล่งข่าวจากฝ่ายบริหารของอู่ต่อเรืออะมูร์ระบุว่าเรือที่เกิดอุบัติเหตุคือเรือดำนำ เค-152 เนอร์ปา ซึ่งเป็นเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ใน “โครงการ 971 ชูกา-บี ไทป์” หรือเป็นเรือที่กลุ่มนาโตจัดอยู่ในประเภท “อะกูลา-คลาส”
โดยในเดือนตุลาคม เจ้าหน้าที่จากอู่ต่อเรืออะมูร์รายงานว่าได้มีการทดสอบเรือเนอร์ปาซึ่งมีระวางขับน้ำ 8,140 ตัน เรือดังกล่าวมีการผลิตกันตั้งแต่เมื่อปี 1991 และกองทัพเรืออินเดียได้เช่าซื้อเรือดำน้ำ “อะกูลา-คลาส” จำนวน 2 ลำ ในราคาถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ และอาจซื้อเรือทั้งสองลำนี้ภายหลังจากหมดสัญญาการเช่าซื้อด้วย
ทั้งนี้มีผู้ที่อยู่บนเรือลำดังกล่าวทั้งหมด 208 คนในขณะเกิดเหตุ โดยส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคและผู้เชี่ยวชาญพิเศษของกองทัพเรือ และมีทหารเรือเพียง 81 คนเท่านั้น
จากจำนวนยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทำให้อุบัติเหตุครั้งนี้นับเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเรือดำน้ำรัสเซียครั้งร้ายแรงที่สุด นับจากหายนภัยที่เกิดกับเรือดำน้ำนิวเคลียร์ “คุสก์” ในปี 2000 ซึ่งมีลูกเรือเสียชีวิตไป 118 คนจากการที่เรือเกิดระเบิดแล้วจมลงในทะเลแบเรนต์ ในครั้งนั้นรัสเซียถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ เนื่องจากทางการพยายามปกปิดเรื่องดังกล่าวและดำเนินการแก้ไขเหตุการณ์อย่างล่าช้า แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนว่ารัสเซียได้เร่งมือจัดการกับอุบัติเหตุเพื่อไม่ให้ถูกวิจารณ์ซ้ำอีก อีกทั้งเมดเวเดฟก็ได้สั่งการให้ช่วยเหลือครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายอย่างเต็มที่
“ในระหว่างที่เรือดำน้ำนิวเคลียร์ลำหนึ่งในกองเรือภาคพื้นแปซิฟิก กำลังทำการทดสอบการเดินเรืออยู่นั้น ระบบป้องกันอัคคีภัยเกิดขัดข้อง และทำให้ทหารและคนงาน 20 คนเสียชีวิต” นาวาเอกอิกอร์ ดีกาโล โฆษกกองทัพเรือระบุและเสริมว่าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนเรือดำน้ำลำดังกล่าวไม่ได้รับความเสียหาย อีกทั้งปริมาณรังสีในบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ซึ่งอยู่ในเขตทดสอบการเดินเรือของรัสเซียก็อยู่ในระดับปกติ
สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนโวสตีของรัฐบาลรัสเซียเผยว่า เรือดำน้ำลำดังกล่าวกำลังทำการทดสอบการเดินเครื่อง โดยเป็นการตระเตรียมก่อนส่งมอบเรือให้กับอินเดียตามแผน ทว่าทางการไม่ได้ยืนยันข่าวดังกล่าว
ผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้มีทั้งทหารและคนงานอู่ต่อเรือซึ่งขึ้นเรือมาเพื่อปฏิบัติภารกิจทดสอบเรือนั่นเอง ทั้งนี้ผู้เสียชีวิตที่เป็นทหารเรือมีด้วยกัน 3 นาย และเป็นพลเรือน 17 คน
ในเวลาต่อมา วลาดิมีร์ มาร์คิน โฆษกคณะกรรมการสอบสวนแห่งสหพันธรัฐแถลงว่า ผลการชัณสูตรศพแสดงชัดว่า เหยื่อเคราะห์ร้ายเหล่านี้เสียชีวิตเพราะหายใจเอาก๊าซฟรีออนเข้าไป โดยที่ก๊าซนี้ถูกปล่อยเข้าไปในพื้นที่ส่วนหนึ่งของเรือดำน้ำเมื่อระบบดับเพลิงภายในเรือเกิดทำงานขึ้นมา
ด้านผู้บาดเจ็บทั้งหมดถูกนำตัวออกจากเรือที่ได้รับความเสียหาย แล้วขึ้นเรือติดตามอีกลำหนึ่ง ก่อนนำส่งเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยแต่ละคนมีอาการรุนแรงแตกต่างกันไปตามระดับของสารพิษที่ได้รับ นอกจากนั้นผู้ที่ได้รับสารพิษเพียงเล็กน้อยอีกราว 20 คนก็ถูกนำตัวขึ้นเรือซายานี ซึ่งเป็นเรือพี่เลี้ยงของเรือลำที่เกิดอุบัติเหตุด้วย
ส่วนเรือที่เกิดเหตุถูกส่งกลับไปยังท่าเรือโบลชอย คาเมน อันเป็นที่ตั้งของอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ใกล้กับเมืองวลาดิวอสตอก และเป็นสถานที่นำศพของผู้เสียชีวิตขึ้นไปไว้ในโรงเก็บศพที่อยู่ใกล้ๆ กันด้วย
ทั้งนี้ หลังเกิดอุบัติเหตุในวันเสาร์ ประธานาธิบดีดมิตรี เมดเวเดฟได้รับทราบรายงานสรุปจากอนาโตลี เซอร์ดูคอฟ รัฐมนตรีกลาโหม และได้สั่งการให้มีการสืบสวนเรื่องนี้อย่างรอบคอบครบถ้วน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวของผู้ประสบเหตุอย่างเต็มที่
แหล่งข่าวจากฝ่ายบริหารของอู่ต่อเรืออะมูร์ระบุว่าเรือที่เกิดอุบัติเหตุคือเรือดำนำ เค-152 เนอร์ปา ซึ่งเป็นเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ใน “โครงการ 971 ชูกา-บี ไทป์” หรือเป็นเรือที่กลุ่มนาโตจัดอยู่ในประเภท “อะกูลา-คลาส”
โดยในเดือนตุลาคม เจ้าหน้าที่จากอู่ต่อเรืออะมูร์รายงานว่าได้มีการทดสอบเรือเนอร์ปาซึ่งมีระวางขับน้ำ 8,140 ตัน เรือดังกล่าวมีการผลิตกันตั้งแต่เมื่อปี 1991 และกองทัพเรืออินเดียได้เช่าซื้อเรือดำน้ำ “อะกูลา-คลาส” จำนวน 2 ลำ ในราคาถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ และอาจซื้อเรือทั้งสองลำนี้ภายหลังจากหมดสัญญาการเช่าซื้อด้วย
ทั้งนี้มีผู้ที่อยู่บนเรือลำดังกล่าวทั้งหมด 208 คนในขณะเกิดเหตุ โดยส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคและผู้เชี่ยวชาญพิเศษของกองทัพเรือ และมีทหารเรือเพียง 81 คนเท่านั้น
จากจำนวนยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทำให้อุบัติเหตุครั้งนี้นับเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเรือดำน้ำรัสเซียครั้งร้ายแรงที่สุด นับจากหายนภัยที่เกิดกับเรือดำน้ำนิวเคลียร์ “คุสก์” ในปี 2000 ซึ่งมีลูกเรือเสียชีวิตไป 118 คนจากการที่เรือเกิดระเบิดแล้วจมลงในทะเลแบเรนต์ ในครั้งนั้นรัสเซียถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ เนื่องจากทางการพยายามปกปิดเรื่องดังกล่าวและดำเนินการแก้ไขเหตุการณ์อย่างล่าช้า แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนว่ารัสเซียได้เร่งมือจัดการกับอุบัติเหตุเพื่อไม่ให้ถูกวิจารณ์ซ้ำอีก อีกทั้งเมดเวเดฟก็ได้สั่งการให้ช่วยเหลือครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายอย่างเต็มที่