xs
xsm
sm
md
lg

แฉบ้านใหม่ “แม้ว” ในจีนสุดหรู ราคา 300 ล.อยู่กลางสนามกอล์ฟ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการออนไลน์ –บุกบ้านใหม่ราคา 300 ล้าน ของ “ทักษิณ” และครอบครัวที่บริษัทชานกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ข้อมูลระบุชัด สุดหรูหราอยู่ท่ามกลางสนามกอล์ฟ 45 หลุม สนามโปโล คลับเฮาส์ โรงแรม 5 ดาว ภายใต้การบริหารงานของ “เหยียน ปิน” ชาวจีนสัญชาติไทยผู้มีประวัติสุดฉาวโฉ่

หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหนีอาญาแผ่นดินได้เดินทางมายังเกาะฮ่องกงเพื่อโทรศัพท์เข้ารายการความจริงวันนี้สัญจร ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เดินทางต่อไปยังประเทศจีน โดยคาดว่าเป็นการเดินทางไปตรวจดูความคืบหน้าในการสร้างคฤหาสน์สุดหรูที่ประเทศจีน ที่มอบหมายให้ “นายเหยียน ปิน” เป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง บริเวณสนามกอล์ฟไพน์ วัลเลย์ กรุงปักกิ่ง ซึ่งคฤหาสน์หลังนี้มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 300 ล้านบาทเลยทีเดียว

ทั้งนี้ คาดว่า หลังจากรัฐบาลอังกฤษประกาศถอนวีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปพำนักพักอาศัยในคฤหาสน์หลังนี้ พร้อมทั้งมอบหมายนายเหยียน ปิน เป็นผู้ประสานในการอยู่ประเทศจีน

**อลังการบ้านใหม่ของ “ทักษิณ”
การถูกระงับวีซ่าจากอังกฤษ แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถใช้ชีวิตหรูหราในเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์กลางกรุงลอนดอน ที่ต้องมีค่าใช้จ่าย ราว 1,200 ปอนด์ต่อสัปดาห์ หรือคฤหาสน์เก่าสไตล์อังกฤษยุคกลาง ขนาด 2 ชั้น 5 ห้องนอน บนเนื้อที่ 3 ไร่ ย่านนอกเมือง ที่เวย์บริดจ์ มูลค่ากว่า 4 ล้านปอนด์ หรือราว 280 ล้านบาทได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม บ้านหลังใหม่ที่ชานกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ต้องถือว่ามีความหรูหราไม่น้อยไปกว่าบ้านที่อังกฤษสักเท่าไหร่

บ้านหลังใหม่ราคา 300 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวชินวัตร ตั้งอยู่ในบริเวณสนามกอล์ฟและรีสอร์ตชานกรุงปักกิ่ง ที่ชื่อ Reignwood Pine Valley หรือชื่อในภาษาจีนคือ หัวปินจวงหยวน อยู่ในเขตชางผิง ชานกรุงปักกิ่ง โดยห่างจากใจกลางกรุงปักกิ่งประมาณ 1 ชั่วโมง อยู่บนเส้นทางระหว่างกรุงปักกิ่งกับกำแพงเมืองจีน ด่านปาต๋าหลิง

สนามกอล์ฟและรีสอร์ตดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ หรือ 6,000 หมู่ (ไร่จีน) ประกอบไปด้วยสนามกอล์ฟจำนวน 45 หลุมที่ออกแบบโดยแจ็ก นิคลอส นักกอล์ฟชื่อดังชาวสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีคลับเฮาส์ สองแห่ง คือ Golden Bear Clubhouse (ฉายาของนิคลอส) Nicklaus Clubhouse โรงแรมขนาด 5 ดาวชื่อ White House Hotel โบสถ์ชื่อ Sapphire Chapel โดยพื้นที่อันกว้างขวางทั้งหมดนี้สามารถรองรับการจัดงานใหญ่ๆ การแข่งขันกอล์ฟ การแข่งขันโปโล งานสัมมนา งานแต่งงาน ได้ทั้งหมด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาด้วยคอนเนคชันของ เหยียน ปิน ในฐานะประธานสมาคมเจ้าของสนามกอล์ฟแห่งเอเชีย (Asian Golf Course Owners Association) ส่งผลให้ที่นี่เป็นเจ้าภาพจัดงานแข่งขันกอล์ฟรายการใหญ่มาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะหลายครั้งมีนักกอล์ฟชาวไทยร่วมแข่งด้วย เช่น Johnnie Walker Golf Classic, 2008 World Club Championship รวมถึง Beijing Open ช่วงกลางปีที่ผ่านมา

สำหรับที่พักในบริเวณ Reignwood Pine Valley นอกเหนือจากโรงแรม 5 ดาวที่ชื่อ White House หรือทำเนียบขาวแล้วซึ่งมีห้องพักหลากหลายแบบแล้ว ในบริเวณสนามกอล์ฟและรีสอร์ทแห่งนี้ก็ยังเปิดให้บริการเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ด้วย อย่างไรก็ตาม ด้วยเม็ดเงิน 300 ล้านบาท หรือราว 60 ล้านหยวน น่าจะสร้างที่อยู่ระดับคฤหาสน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวชินวัตรได้เลยทีเดียว

“ผมดีใจที่ที่นี่กลายเป็นแหล่งพักพิงให้ผมได้ ผมเชื่อว่าถ้าหากผมถูกบังคับไม่ให้กลับประเทศไทยนานกว่านี้จีนจะกลายเป็นสถานที่ที่ผมอยากอยู่มากที่สุด เพราะบรรพบุรุษของผมก็มาจากจีน ชาญชัยเป็นเพื่อนแท้ ตอนอยู่ที่ประเทศไทย เขาไม่เคยขอความช่วยเหลืออะไรจากผมเลยเราเพียงแค่รู้จักกัน คุยกัน เล่นกอล์ฟ กับทานข้าวกันบ่อยๆ เท่านั้น ก่อนเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ ผมไม่เคยคิดจะมาอาศัยอยู่ที่จีนเลย ตอนอยู่ที่ลอนดอนผมคิดจะไปเอเชีย ตอนนั้นคนที่โทรศัพท์มาหาแล้วเชิญผมคนแรก คือชาญชัย ผมคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เขาจะเตรียมทุกอย่างไว้รอผมดีถึงขนาดนี้ เขาไม่เพียงแต่เตรียมให้ผม ยังเตรียมให้เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมผมด้วยทุกอย่างได้รับการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี”

“เขาคิดว่า ผมควรจะอยู่ที่นี่อย่างน้อย 3 ปี เขาพูดอย่างนั้น เขายังเตรียมจะสร้างบ้านให้ผม หลังหนึ่งครอบครัวเราทุกคน รู้สึกขอบคุณเขา ผมคิดว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณนี้ของเขา” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึง เหยียน ปิน หรือนายชาญชัยและบ้านที่ปักกิ่งไว้ในบทสัมภาษณ์ในหนังสือ ทักษิณ Where are you? ของ ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัตร ช่วงกลางปี 2550 ก่อนที่จะรู้ตัวว่า ณ วันนี้เขาจะเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ของเกาะอังกฤษ

กระนั้นการย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ประเทศจีนของนักโทษหนีคุกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงไม่เป็นเรื่องที่ง่ายดายเท่าใดนัก แม้จะมีแบ็กอัพใหญ่เป็นเศรษฐีชาวจีนที่ชื่อเหยียน ปิน ก็ตาม เพราะประเทศจีนเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบให้ใครมาแทรกแซงกิจการภายในของตัวเอง อย่างเช่น กระทรวงการต่างประเทศจีนจะออกแถลงการณ์ประณามทุกครั้งที่ประเทศใดให้ที่พักพิง ต้อนรับ หรือปล่อยให้องค์ทะไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ออกแถลงการณ์โจมตีประเทศจีน

การที่รัฐบาลจีนปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้าออกประเทศจีน และใช้ฮ่องกงเป็นสถานที่ด่าประเทศไทย ศาลไทย แทรกแซงเรื่องราวภายในของประเทศไทยก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว ดังนั้น รัฐบาลจีนจึงไม่น่าจะกระทำสิ่งตรงกันข้ามกับที่ตัวเองยึดถือและเรียกร้องมาตลอด

**พลิกประวัติฉาว “เหยียน ปิน”
ชื่อ เหยียน ปิน เป็นที่รู้จักครั้งแรกในหมู่สาธารณชนชาวไทย โดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล นำประวัติของเขามาเปิดเผยในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9 ที่สวนลุมพินี เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 โดยหลังจากนายสนธิส่งสัญญาณเตือนถึงอันตรายของการที่รัฐบาลมีนายเหยียน ปินเป็นนายหน้าและนอมินี จากนั้นไม่นานก็ปรากฏออกมาว่า การที่รัฐบาลไทยรักไทยนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมคบกับนายเหยียน ปินก็เพื่อทุจริตคอร์รัปชันจากข่าวปล้นโปแตซ 4 หมื่นล้าน โดยมีขบวนการที่รัฐบาลใช้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเปิดทางให้บริษัทของนายเหยียน ปิน เข้ามาถือหุ้นใหญ่จำนวนร้อยละ 49 ในบริษัทร่วมทุนเหมืองแร่โปแตช ที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2549 ยังไม่นับกรณีการก่อสร้างโรงงานยาสูบที่ จ.เชียงใหม่ ที่มีผู้ออกมาแฉว่าราคาแพงเกินปกติไปหลายพันล้านบาท และกลายเป็นเรื่องค้างเติ่งมาจนปัจจุบัน

เหยียนปินได้สัญชาติไทยและมีชื่อไทยว่า ชาญชัย รวยรุ่งเรือง ปัจจุบันอายุ 52 ปี นายสนธิตั้งสมญานามให้เขาว่าเป็น “นายหน้าค้าไทยรักไทย” เกิดที่มณฑลซานตง อยู่ในครอบครัวลูกกำพร้าและอยู่ในคณะงิ้วแห่งหนึ่ง ในมณฑลซานตง เขาโตและได้รับการศึกษาโตที่เมืองจีน ก่อนจะมาถือสัญชาติไทยโดยการช่วยเหลือของ พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร (ยศเมื่อ พ.ศ.2527)

“มีข่าวน่าสงสัยว่า เหยียนปินนี่ได้สัญชาติเพราะสวมหรือเปล่า โดยได้สัญชาติไทยที่ดอยแม่สลอง จ.เชียงราย มีบัตรประชาชนคนไทยด้วยนะ โดยในช่วงแรกอาศัยอยู่กับบ้านผู้สูงอายุคนหนึ่งแล้วทำตัวเป็นบุตรบุญธรรม พอได้สัญชาติไทยซึ่งไม่รู้ว่าได้ยังไง ก็มาทำธุรกิจชื่อบริษัทหัวปิน กรุ๊ป ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว การค้าขายระหว่างประเทศ” นายสนธิ แฉกลางรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9

ปี 2538 นายเหยียนปิน กลับไปทำธุรกิจที่เมืองจีนโดยเป็นตัวแทนเครื่องดื่มกระทิงแดง สร้างอาคารหัวปิน กลางมหานครปักกิ่ง ทำสวนสนุก ทำสนามกอล์ฟ โดยในปี 2548 จากการจัดอันดับของสำนักงานบัญชีที่เซี่ยงไฮ้ ทั้งๆ ที่มีสัญชาติไทย นายเหยียนปินถูกจัดอันดับเป็นเศรษฐีจีนอันดับ 30 โดยมีทรัพย์สินรวมกันถึง 3,500 ล้านหยวน หรือประมาณ 17,500 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ไม่รู้ว่าได้มาจากการสูบเลือดสูบเนื้อคนไทยไปเท่าไหร่

การทำธุรกิจช่วงหลายปีที่ผ่านมา เหยียนปิน ชอบพูดบนโต๊ะกินข้าวตลอดเวลาว่า ตนเองเป็นผู้ที่ผลักดันนโยบายในประเทศไทยได้ ทั้งยังชอบเชิญผู้หลักผู้ใหญ่พรรคไทยรักไทยไปที่สนามกอล์ฟตัวเองเพื่อเลี้ยงรับรองกันเป็นประจำ

ปี 2547 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีในสมัยทักษิณ และทีมที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เลือกบริษัทของเหยียน ปิน เป็นตัวแทนรายเดียวที่มีสิทธิ ขายบัตรอีลิตการ์ดให้นักธุรกิจจีนทุกมณฑลในนาม แกรนด์ อีลิต กรุ๊ป ด้วยเหตุผลที่ว่า มีเครือข่ายสัมพันธ์กับตัวแทนรัฐบาลจีนและนักธุรกิจเชื้อสายจีน-ไทยอย่างแนบแน่ ทว่าผลงานของบริษัท แกรนด์ อีลิท กรุ๊ปของเหยียน ปิน ก็เป็นที่ประจักษ์ในความล้มเหลว เพราะไม่สามารถขายบัตรได้ตามคำที่เคยคุยไว้ คือ 30,000 ใบ หรือ คิดเป็นเงิน 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังทำงามหน้าด้วยการที่ในช่วงต้น ขนพลพรรคชาวจีนเข้ามากว่า 400 คน โดยระบุว่าเป็นกลุ่มที่สนใจจะสมัครเป็นสมาชิกอีลิตการ์ด ทั้งๆ ที่บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ การ์ด (ทีพีซี) กำลังมีปัญหาภายในเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณที่ขาดระเบียบและขั้นตอน อีกทั้งการทำบัญชีสั่งจ่าย ตามรายการให้แกรนด์ อีลิตฯ เป็นค่ารับรองที่พักและเอ็นเตอร์เทนในเมืองไทย เป็นที่ถกเถียงกันหนักว่า มีระเบียบปฏิบัติรองรับหรือไม่ แต่ในครั้งนั้นก็เบิกจ่ายกันไปกว่า 10 ล้านบาท

ตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เส้นทางของ “เหยียน ปิน” มีแบ็กที่แข็งแกร่งจากรัฐบาลไทยคอยค้ำยัน จึงทำให้ไม่มีหน่วยงานใดอยากจะง้างให้เหนื่อย การใช้เหยียน ปิน เป็นด่านหน้าในการสานสัมพันธ์กับองค์กรรัฐวิสาหกิจ นักธุรกิจ และหรือ หน่วยงานในมณฑลใหญ่ในจีนของรัฐบาลนี้ วันนี้จึงยากจะปฏิเสธถึงฐานะที่ถูกหยิบยื่นให้ว่าเป็นตัวแทนสาขาพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนในจีนไปโดยปริยาย

ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาดใจ คือการที่มีมหาเศรษฐีจากประเทศจีนคนหนึ่งรู้จักกับนายกรัฐมนตรีประเทศไทย หรือประธานรัฐสภา และนักการเมืองอีกมากมาย หรือจะเป็นนายหน้าขายบริษัทใหญ่ๆ ให้บริษัทจีน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่น่าแปลกใจตรงที่ว่า นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่เคยมีการตรวจสอบว่าคนคนนี้ปลอมแปลงสัญชาติหรือไม่ นายเหยียนปินยังได้อาศัยการรู้จักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจและผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะในเมืองไทย หลายธุรกิจหากินบนความเดือดร้อนของประชาชนและเกษตรกรไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น