“บิ๊กฮาริสัน” ฟุ้งยอดขายทะลุเป้า ครึ่งปีแตะ 10,000 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 15,000 ล้านบาท เหตุหันขายที่ดินเปล่าเพื่อการลงทุน 6 เดือนขายไปกว่า 4,000 ล้านบาท แถมคอนโดฯยังมียอดขายต่อเนื่อง พร้อมยอมรับผู้ประกอบการปิดขาย เพื่อปรับราคาตามต้นทุนใหม่ พร้อมเปิดหาตัวแทนระดับวีไอพีเพื่อช่วยขายอสังหาฯเพื่อการลงทุน
นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า ในช่วง 2-3 เดือนแรกยอดขายยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อไตรมาส 2 ตลาดเริ่มมีการชะลอตัว แต่การซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในเมืองยังคงขายได้อย่างต่อเนื่อง มีตลาดรองรับทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยและซื้อเพื่อลงทุน
อย่างไรก็ตามช่วงนี้ถือเป็นรอยต่อของภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนหรือชะลอการขาย เพื่อปรับฐานต้นทุนใหม่ บางรายหยุการขายเพื่อปรับราคาใหม่ให้เหมาะสมกับต้นทุนใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้น ในส่วนของฮาริสันมีลูกค้าที่หยุดขาย 2-3 โครงการ ซึ่งเป็นช่วงปิดเฟสและรอเปิดเฟสใหม่ ทำให้เป็นโอกาสที่ดีในการปรับราคาขายใหม่
นายกิติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จากปัญหาการเมือง เงินเฟ้อ น้ำมันแพง กำลังซื้อผู้บริโภคลดดังนั้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการ โครงการจะต้องตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมีศักยภาพมากจริงๆ จึงจะสามารถขายได้ ทำให้ในช่วงนี้ผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการน้อยลง
ในส่วนของแผนการดำเนินงานของฮาริสัน เดิมตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้ที่ 12,000 ล้านบาท และปรับขึ้นเป็น 15,000 ล้านบาทในปี 2551 โดยครึ่งปีสามารถสร้างยอดขายได้แล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท และในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้บริษัทจะจัดงาน Art of Living โดยการนำสินค้าที่อยู่ในมือทั้งหมดมาเสนอขายภายในงาน และเชื่อว่าทั้งปีน่าทำยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 18,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน
ทั้งนี้สาเหตุหลักที่บริษัทประสบผลสำเร็จในด้านยอดขาย เนื่องมาจากหันมาเพิ่มการขายที่ดินเพื่อการลงทุน โดยครึ่งปีแรกขายได้แล้วกว่า 10 แปลง มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเจรจาอีก 3-4 แปลง ซึ่งนับว่าบริษัทเดินมาถูกทาง โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่มีทั้งผู้ประกอบการ นักลงทุน ผู้ประกอนการโรงแรม และนักลงทุนต่างชาติ ส่วนยอดขายอีก 6,000 ล้านบาทมาจากการขายที่อยู่อาศัยทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม และในจำนวนดังกล่าวเป็นการซื้อของชาวต่างชาติ 30%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่เปิดหาพันธมิตรทางธุรกิจ หรือตัวแทนขายระดับวีไอพี โดยจะเปิดสัมมนาใหญ่เพื่อให้ความรู้แก่กลุ่มดังกล่าวเพื่อมาช่วยขายที่ดินแปลงใหญ่หรืออสังหาฯเพื่อการลงทุน เพราะกลุ่มนี้จะมีคอนเนคชันที่นายหน้าทั่วไปไม่มี โดยจะใช้งบประมาณในส่วนนี้ 2-3 ล้านบาท
นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า ในช่วง 2-3 เดือนแรกยอดขายยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อไตรมาส 2 ตลาดเริ่มมีการชะลอตัว แต่การซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในเมืองยังคงขายได้อย่างต่อเนื่อง มีตลาดรองรับทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยและซื้อเพื่อลงทุน
อย่างไรก็ตามช่วงนี้ถือเป็นรอยต่อของภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนหรือชะลอการขาย เพื่อปรับฐานต้นทุนใหม่ บางรายหยุการขายเพื่อปรับราคาใหม่ให้เหมาะสมกับต้นทุนใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้น ในส่วนของฮาริสันมีลูกค้าที่หยุดขาย 2-3 โครงการ ซึ่งเป็นช่วงปิดเฟสและรอเปิดเฟสใหม่ ทำให้เป็นโอกาสที่ดีในการปรับราคาขายใหม่
นายกิติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จากปัญหาการเมือง เงินเฟ้อ น้ำมันแพง กำลังซื้อผู้บริโภคลดดังนั้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการ โครงการจะต้องตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมีศักยภาพมากจริงๆ จึงจะสามารถขายได้ ทำให้ในช่วงนี้ผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการน้อยลง
ในส่วนของแผนการดำเนินงานของฮาริสัน เดิมตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้ที่ 12,000 ล้านบาท และปรับขึ้นเป็น 15,000 ล้านบาทในปี 2551 โดยครึ่งปีสามารถสร้างยอดขายได้แล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท และในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้บริษัทจะจัดงาน Art of Living โดยการนำสินค้าที่อยู่ในมือทั้งหมดมาเสนอขายภายในงาน และเชื่อว่าทั้งปีน่าทำยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 18,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน
ทั้งนี้สาเหตุหลักที่บริษัทประสบผลสำเร็จในด้านยอดขาย เนื่องมาจากหันมาเพิ่มการขายที่ดินเพื่อการลงทุน โดยครึ่งปีแรกขายได้แล้วกว่า 10 แปลง มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเจรจาอีก 3-4 แปลง ซึ่งนับว่าบริษัทเดินมาถูกทาง โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่มีทั้งผู้ประกอบการ นักลงทุน ผู้ประกอนการโรงแรม และนักลงทุนต่างชาติ ส่วนยอดขายอีก 6,000 ล้านบาทมาจากการขายที่อยู่อาศัยทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม และในจำนวนดังกล่าวเป็นการซื้อของชาวต่างชาติ 30%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่เปิดหาพันธมิตรทางธุรกิจ หรือตัวแทนขายระดับวีไอพี โดยจะเปิดสัมมนาใหญ่เพื่อให้ความรู้แก่กลุ่มดังกล่าวเพื่อมาช่วยขายที่ดินแปลงใหญ่หรืออสังหาฯเพื่อการลงทุน เพราะกลุ่มนี้จะมีคอนเนคชันที่นายหน้าทั่วไปไม่มี โดยจะใช้งบประมาณในส่วนนี้ 2-3 ล้านบาท
