อังกฤษยกเลิกวีซ่าสองคนผัวเมียที่หลบหนีคดี "ทักษิณ-พจมาน" เผยร่อนอีเมล์แจ้งสายการบินทั่วโลกห้ามให้โดยสารเข้าประเทศ ด้านสภาทนายความออกแถลงการณ์สวนรัฐตำรวจ ยัน"ทักษิณ"โฟนอิน มีการวางแผนชัดเจน ตั้งใจลดความน่าเชื่อถือคำพิพากษาศาลฎีกาฯ มีเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษชัดเจน ย้ำลิ่วล้อนำเทปโฟนอินเปิดซ้ำ เข้าข่ายสนับสนุน สมรู้ร่วมคิด มีความผิดทั้งผู้จัด-เจ้าของรายการ ด้าน"วีระ สมความคิด" ยื่นหนังสือร้องขอให้ประธานศาลฎีกา เข้ามาร่วมเป็นผู้เสียหาย ปชป.จวกแก๊งนปช. ตั้งทีวีสีแดงเพื่อรับใช้ "แม้ว"
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการดำเนินงานด้านธุรกิจการบิน (Airport Operations Committee: ACO) หรือ เอโอซี เปิดเผยว่า วานนี้(7พ.ย.) นายแอนดี้ เกรย์ ผู้จัดการฝ่ายติดต่อกิจการตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานพรมแดนสหราชอาณาจักร สถานเอกอัครข้าราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้ส่งอีเมล์ถึงสายการบินที่เป็นสมาชิกเอซีโอเพื่อแจ้งเตือนให้ทราบว่า สำนักงานพรมแดนฯได้ยกเลิกวีซ่าเข้าสหราชอาณาจักรที่ถือโดย บุคคลสัญญาชาติไทยดังนี้ ทักษิณ ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D215863 และ พจมาน ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D206635 เพราะ วีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ต่อไป จึงขอแนะนำสายการบินทั้งหลายว่า อย่าได้นำผู้โดยสารทั้งสองคนเข้าสหราชอาณาจักร
แหล่งข่าวกล่าวว่า หนังสือดังกล่าวทางสายการบินที่อยู่ในไทยคงจะได้รับพร้อมๆกับสายการบินอื่นๆทั่วโลกเท่ากับว่า ทักษิณ และ พจมาน ที่ขณะนี้อาศัยอยู่ที่ฮ่องกงไม่สามารถบินเข้าอังกฤษได้แล้วตั้งแต่ที่สายการบินได้รับหนังสือแจ้งเตือนนี้ หากสายการบินไหนฝ่าฝืนก็จะมีโทษ
ขณะที่สภาทนายความ ถ.ราชดำเนิน นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ออกแถลงการณ์สภาทนายความ กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปราศรัยแก่ผู้สนับสนุนผ่านระบบการประชุมทางโทรศัพท์ทาง
ไกลผ่านจอภาพ (โฟนอิน) ทางรายการความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา สรุปว่า
1.การปราศรัยดังกล่าวมีการประชาสัมพันธ์ มีการตั้งคำถาม และคำตอบล่วงหน้า
2.นำมาสู่การพิจารณาว่า กระทำผิดหรือไม่นั้น เห็นว่าการเตรียมสถานที่ การเช่าสัญญาณโทรคมนาคม ประกอบคำถามที่กระทบกระบวนการยุติธรรม เป็นการวางแผนชัดเจนที่จะลดความน่าเชื่อถือของคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นการกล่าวลบหลู่หรือดูหมิ่นดุลพินิจศาล ถ้าซึ่งเขียนในอุทธรณ์คำพิพากษาก็เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลด้วย และมีความพยายามโยงถึงการปฏิวัติรัฐประหาร และสถาบันพระมหากษัตริย์
เจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย
3.คำปราศรัยตอนหนึ่ง ที่ระบุว่า“ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหม" กรณีจึงไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ว่า พลังของประชาชนที่อ้าง จะเท่ากับพระราชอำนาจในการอภัยโทษขององค์พระประมุข ซึ่งเป็นการใช้ถ้อยคำที่มีเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษอย่างชัดเจน เป็นลักษณะคำถามแบบปิดพระบรมราชวินิจฉัยโดยสิ้นเชิง หากองค์พระประมุขไม่วินิจฉัยอย่างเช่นที่เขาต้องการ เขาก็จะใช้พลังประชาชนเข้ากดดัน
4.เป็นความพยายามหลีกเลี่ยงอาญาให้พ้นจากคำพิพากษาโดยไม่คำนึงถึงข้อปฏิบัติทางจริยธรรม รีบด่วนขอพระราชทานอภัยโทษโดยที่คดียังไม่ถึงที่สุด
ผู้ส่งเสริม-สนับสนุนผิดหมด
อนึ่งสภาทนายความยืนยันว่า ผู้ส่งเสริม สนับสนุนการกระทำดังกล่าวโดยการกระทำซ้ำอีก หรือนำเทปดังกล่าวมาเผยแพร่โฆษณาอีก เข้าข่ายสนับสนุน สมรู้ร่วมคิดให้เกิดการกระทำผิด ผู้จัดรายการ เจ้าของรายการ ผู้อำนวยการสถานี ต้องร่วมกันรับผิดชอบ รวมถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. และส.ว.ที่ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิด ย่อมเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่ง ส.ว.มีอำนาจถอดถอนได้ตาม มาตรา 270 และมาตรา 164 ประชาชนกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
นายเดชอุดม กล่าวด้วยว่า จากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินจำเลยพูดว่าโดนยัดเยียดคุกให้ แม้แต่จำเลยที่ศาลประหารชีวิต กับเรื่องนี้เห็นว่าเป็นอันตรายต่อสังคม หมิ่นเหม่ และเข้าข่ายการกระทำความผิด ตามที่มีข่าวว่าฝ่ายกองทัพจะปรึกษามายังสภาทนายความ เรียนว่าแถลงการณ์ดังกล่าวคือคำตอบจากสภา
ทนายความ หลังจากแถลงไปแล้วอาจจะถามไปทางกองทัพว่า อยากได้ความเห็นนี้จากเราหรือเปล่า
ทั้งนี้ทราบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีมติว่าไม่ผิด ก็ไม่เป็นไร ตำรวจจะมองตำรวจที่ทำผิดด้วยกันอย่างนั้น แต่เรามองอดีตตำรวจที่ทำผิดในอีกมุมหนึ่ง การวิเคราะห์อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นเรื่องแรก หรือคดีแรกของนักการเมืองที่พูดตำหนิศาลและก้าวล่วงสถาบันฯ ผ่านทางวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ ทั้งๆ ที่ต้องโทษอยู่ ไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร แต่เราก็ปล่อยให้มันเกิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของผู้พิพากษาสามารถพิจารณาดำเนินการได้หรือไม่ นายเดชอุดม กล่าวว่า ทางศาลก็พิจารณาดำเนินการได้ ศาลเป็นผู้เสียหายโดยตรงเรื่องดูหมิ่นศาล เหมือนคดีที่ศาลดำเนินการกับทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณไปแล้ว ส่วนเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นคดีแพ่ง คดีอาญาคือดูหมิ่นศาล ตรงนี้เกี่ยวเนื่องกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นดุลพินิจของท่านประธานศาลฎีกา
ขอประธานศาลฎีการ่วมเป็นผู้เสียหาย
วันเดียวกันที่ศาลฎีกา สนามหลวง นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน แนวร่วมพันธมิตรฯ เข้ายื่นหนังสือถึง นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาผ่านสำนักงานเลขานุการศาลฎีกาโดยแนบเอกสารประกอบเป็นหลักฐานที่ได้ยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ กระทำการดูหมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีดังกล่าวต่อกองปราบปราม โดยหนังสือดังกล่าวได้ร้องขอให้ประธานศาลฎีกา ในฐานะผู้นำสถาบันศาลยุติธรรมเข้ามาร่วมเป็นผู้เสียหาย เพราะตามกระบวนการพนักงานสอบสวนกองปราบปรามคงจะมาสอบปากคำตัวแทนศาลยุติธรรมในฐานะผู้เสียหายด้วย
นายวีระ เปิดเผยว่า หนังสือที่ตนส่งถึงประธานศาลฎีกา มีเนื้อหาร้องขอให้ประธานศาลฎีกาติดตามความเสียหายที่เกิดกับศาลยุติธรรม เพราะหากปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดไม่เพียงองค์คณะคดีที่ดินรัชดาฯ 9 คนเสียหาย แต่สถาบันศาลยุติธรรมจะเสียหายไปทั้งหมด ดังนั้น หากพบว่ามีอะไรที่เป็นความผิดต้องดำเนินคดี แต่จะทำด้วยวิธีการใดเป็นสิทธิ และอำนาจของประธานศาลฎีกา
ตำรวจพร้อมทำคดีเมื่อมีผู้ร้องทุกข์
ด้านพล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผบช.ก. รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ทางสันติบาล ออกมาระบุว่าการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าข่ายหมิ่นฯ ตามมาตรา 112 แต่ทางสภาทนายความออกมาระบุไปในทิศทางตรงกันข้ามว่า ตามที่มีการติดตามข่าวสาร มีผู้ไปแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ ก็เข้าสู่กระบวนการ
ยุติธรรมตามขั้นตอน หาพยานหลักฐาน สืบสวนสอบสวนต่อไป โดยนำความคิดเห็นของสภาทนายความ สันติบาล รวมทั้งบุคคลอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในคดีหมิ่นพระบรมราชานุภาพว่า การโฟนอินหมิ่นฯ หรือไม่ จากนั้นก็จะเป็นการสั่งคดีผ่านพนักงานสอบสวน อัยการ และศาลต่อไป เป็นขั้นตอนทางกฎหมายปกติ
ส่วนเรื่องที่ทางตำรวจสันติบาลมีความเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่หมิ่นฯนั้น ก็เป็นความเห็นในฐานะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อสันติบาลมีความเห็นว่าไม่หมิ่นฯ ก็ถือเป็นที่สุด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ไม่ดำเนินคดีเองในฐานะเจ้าพนักงานที่สามารถดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องมีผู้ร้องทุกข์ แต่เมื่อมีผู้มาร้องทุกข์ก็เป็นคนละเรื่องกัน เราก็ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานไปตามกฎหมาย ตามที่มีผู้ร้องทุกข์มา ก็ต้องทำคดีให้ถึงที่สุด ซึ่งตนมองว่าการมีความเห็นต่างกันของสันติบาล และสภาทนายความ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะความเห็นทางกฏหมายก็จะแตกต่างกันไป
จวกตั้งทีวีสีแดงรับใช้"แม้ว"
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกลุ่ม นปก.ประกาศว่าจะจัดตั้งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม โดยใช้ชื่อว่า "ทีวีสีแดง" ถือว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ หากไม่ขัดกับกฎหมายใดๆ และคงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะรัฐบาลก็มีความต้องการที่จะสร้างสื่อขึ้นมาเพื่อมาเคลื่อนไหวทางการ
เมืองอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ ต้องใช้เงินจำนวนมาก ต้องมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ ค่าสถานี เครือข่าย และจานดาวเทียม ที่จะต้องแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไป ลำพังกลุ่มคนกลุ่มนี้ไม่สามารถที่จะระดมทุนได้ หากไม่มีนายทุนหนุนอยู่เบื้องหลัง
"หากการจัดตั้งทีวีสีแดงสำเร็จแล้ว ก็น่าที่จะถอนรายการความจริงวันนี้ ออกจากสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ซึ่งเป็นสื่อของรัฐมาจัดในทีวีสีแดง เพื่อมาแข่งขันกับ เอเอสทีวี ก็ถือว่าเป็นมวยที่ถูกคู่อยู่แล้ว แต่การจัดตั้งทีวีสีแดงในครั้งนี้ เป็นที่น่าจับตามองว่ากลุ่มคนเหล่านี้นำทุนจำนวนมหาศาลมาจากไหน และมีวัตถุประสงค์อย่างไร เป็นไป
ได้หรือไม่ว่า การจัดตั้งทีวีสีแดงไปสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มนปก. ที่จะจัดรายการความจริงวันนี้สัญจรไปทั่วภูมิภาค และถ่ายทอดสดผ่านทีวีสีแดงให้ประชาชนได้รับชมกัน และอาจจะเปิดโอกาสให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอิน มาในรายการในทุกครั้งที่มีการจัดงาน เพื่อปลุกระดมให้กลุ่มคนที่จงรักภักดีกับตนเอง ฮึกเหิมและเคลื่อนไหวกดดันกระบวนการยุติธรรมไทย เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากคดีความที่ตัดสินจำคุก การเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงอยู่เบื้องหลังทางการเมือง และเป็นการประกาศชักธงรบต่อกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ตรงข้ามตัวเอง การจัดตั้งทีวีสีแดงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เป็นแค่เรื่องของมือปืนรับจ้างสร้างเวที
สร้างเวทีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงทางการเมืองเพื่อแย่งพื้นที่สื่อเท่านั้น” นายเทพไทกล่าว
นายเทพไท กล่าวว่าในขณะนี้ยังมีกระแสข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ยังวนเวียนอยู่ในกลุ่มประเทศแถบเอเซีย และเพื่อนบ้านของไทย เพื่อที่จะกำหนดการเคลื่อนไหวทางการเมือง และชักใยกลุ่มต่างๆที่เป็นลูกน้องของตัวเอง หวังทำให้สถานการณ์การเมืองร้อนแรงขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นคงจะไม่วนเวียนอยู่ในประเทศเหล่านี้ คงจะบินไปปักหลักอยู่ที่ลอนดอนแล้ว แสดงว่าภารกิจและเป้าหมายยังไม่สำเร็จตามที่วางไว้ จึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวรอบๆ ประเทศไทยต่อไป
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการดำเนินงานด้านธุรกิจการบิน (Airport Operations Committee: ACO) หรือ เอโอซี เปิดเผยว่า วานนี้(7พ.ย.) นายแอนดี้ เกรย์ ผู้จัดการฝ่ายติดต่อกิจการตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานพรมแดนสหราชอาณาจักร สถานเอกอัครข้าราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้ส่งอีเมล์ถึงสายการบินที่เป็นสมาชิกเอซีโอเพื่อแจ้งเตือนให้ทราบว่า สำนักงานพรมแดนฯได้ยกเลิกวีซ่าเข้าสหราชอาณาจักรที่ถือโดย บุคคลสัญญาชาติไทยดังนี้ ทักษิณ ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D215863 และ พจมาน ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D206635 เพราะ วีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ต่อไป จึงขอแนะนำสายการบินทั้งหลายว่า อย่าได้นำผู้โดยสารทั้งสองคนเข้าสหราชอาณาจักร
แหล่งข่าวกล่าวว่า หนังสือดังกล่าวทางสายการบินที่อยู่ในไทยคงจะได้รับพร้อมๆกับสายการบินอื่นๆทั่วโลกเท่ากับว่า ทักษิณ และ พจมาน ที่ขณะนี้อาศัยอยู่ที่ฮ่องกงไม่สามารถบินเข้าอังกฤษได้แล้วตั้งแต่ที่สายการบินได้รับหนังสือแจ้งเตือนนี้ หากสายการบินไหนฝ่าฝืนก็จะมีโทษ
ขณะที่สภาทนายความ ถ.ราชดำเนิน นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ออกแถลงการณ์สภาทนายความ กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปราศรัยแก่ผู้สนับสนุนผ่านระบบการประชุมทางโทรศัพท์ทาง
ไกลผ่านจอภาพ (โฟนอิน) ทางรายการความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา สรุปว่า
1.การปราศรัยดังกล่าวมีการประชาสัมพันธ์ มีการตั้งคำถาม และคำตอบล่วงหน้า
2.นำมาสู่การพิจารณาว่า กระทำผิดหรือไม่นั้น เห็นว่าการเตรียมสถานที่ การเช่าสัญญาณโทรคมนาคม ประกอบคำถามที่กระทบกระบวนการยุติธรรม เป็นการวางแผนชัดเจนที่จะลดความน่าเชื่อถือของคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นการกล่าวลบหลู่หรือดูหมิ่นดุลพินิจศาล ถ้าซึ่งเขียนในอุทธรณ์คำพิพากษาก็เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลด้วย และมีความพยายามโยงถึงการปฏิวัติรัฐประหาร และสถาบันพระมหากษัตริย์
เจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย
3.คำปราศรัยตอนหนึ่ง ที่ระบุว่า“ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหม" กรณีจึงไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ว่า พลังของประชาชนที่อ้าง จะเท่ากับพระราชอำนาจในการอภัยโทษขององค์พระประมุข ซึ่งเป็นการใช้ถ้อยคำที่มีเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษอย่างชัดเจน เป็นลักษณะคำถามแบบปิดพระบรมราชวินิจฉัยโดยสิ้นเชิง หากองค์พระประมุขไม่วินิจฉัยอย่างเช่นที่เขาต้องการ เขาก็จะใช้พลังประชาชนเข้ากดดัน
4.เป็นความพยายามหลีกเลี่ยงอาญาให้พ้นจากคำพิพากษาโดยไม่คำนึงถึงข้อปฏิบัติทางจริยธรรม รีบด่วนขอพระราชทานอภัยโทษโดยที่คดียังไม่ถึงที่สุด
ผู้ส่งเสริม-สนับสนุนผิดหมด
อนึ่งสภาทนายความยืนยันว่า ผู้ส่งเสริม สนับสนุนการกระทำดังกล่าวโดยการกระทำซ้ำอีก หรือนำเทปดังกล่าวมาเผยแพร่โฆษณาอีก เข้าข่ายสนับสนุน สมรู้ร่วมคิดให้เกิดการกระทำผิด ผู้จัดรายการ เจ้าของรายการ ผู้อำนวยการสถานี ต้องร่วมกันรับผิดชอบ รวมถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. และส.ว.ที่ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิด ย่อมเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่ง ส.ว.มีอำนาจถอดถอนได้ตาม มาตรา 270 และมาตรา 164 ประชาชนกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
นายเดชอุดม กล่าวด้วยว่า จากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินจำเลยพูดว่าโดนยัดเยียดคุกให้ แม้แต่จำเลยที่ศาลประหารชีวิต กับเรื่องนี้เห็นว่าเป็นอันตรายต่อสังคม หมิ่นเหม่ และเข้าข่ายการกระทำความผิด ตามที่มีข่าวว่าฝ่ายกองทัพจะปรึกษามายังสภาทนายความ เรียนว่าแถลงการณ์ดังกล่าวคือคำตอบจากสภา
ทนายความ หลังจากแถลงไปแล้วอาจจะถามไปทางกองทัพว่า อยากได้ความเห็นนี้จากเราหรือเปล่า
ทั้งนี้ทราบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีมติว่าไม่ผิด ก็ไม่เป็นไร ตำรวจจะมองตำรวจที่ทำผิดด้วยกันอย่างนั้น แต่เรามองอดีตตำรวจที่ทำผิดในอีกมุมหนึ่ง การวิเคราะห์อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นเรื่องแรก หรือคดีแรกของนักการเมืองที่พูดตำหนิศาลและก้าวล่วงสถาบันฯ ผ่านทางวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ ทั้งๆ ที่ต้องโทษอยู่ ไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร แต่เราก็ปล่อยให้มันเกิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของผู้พิพากษาสามารถพิจารณาดำเนินการได้หรือไม่ นายเดชอุดม กล่าวว่า ทางศาลก็พิจารณาดำเนินการได้ ศาลเป็นผู้เสียหายโดยตรงเรื่องดูหมิ่นศาล เหมือนคดีที่ศาลดำเนินการกับทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณไปแล้ว ส่วนเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นคดีแพ่ง คดีอาญาคือดูหมิ่นศาล ตรงนี้เกี่ยวเนื่องกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นดุลพินิจของท่านประธานศาลฎีกา
ขอประธานศาลฎีการ่วมเป็นผู้เสียหาย
วันเดียวกันที่ศาลฎีกา สนามหลวง นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน แนวร่วมพันธมิตรฯ เข้ายื่นหนังสือถึง นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาผ่านสำนักงานเลขานุการศาลฎีกาโดยแนบเอกสารประกอบเป็นหลักฐานที่ได้ยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ กระทำการดูหมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีดังกล่าวต่อกองปราบปราม โดยหนังสือดังกล่าวได้ร้องขอให้ประธานศาลฎีกา ในฐานะผู้นำสถาบันศาลยุติธรรมเข้ามาร่วมเป็นผู้เสียหาย เพราะตามกระบวนการพนักงานสอบสวนกองปราบปรามคงจะมาสอบปากคำตัวแทนศาลยุติธรรมในฐานะผู้เสียหายด้วย
นายวีระ เปิดเผยว่า หนังสือที่ตนส่งถึงประธานศาลฎีกา มีเนื้อหาร้องขอให้ประธานศาลฎีกาติดตามความเสียหายที่เกิดกับศาลยุติธรรม เพราะหากปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดไม่เพียงองค์คณะคดีที่ดินรัชดาฯ 9 คนเสียหาย แต่สถาบันศาลยุติธรรมจะเสียหายไปทั้งหมด ดังนั้น หากพบว่ามีอะไรที่เป็นความผิดต้องดำเนินคดี แต่จะทำด้วยวิธีการใดเป็นสิทธิ และอำนาจของประธานศาลฎีกา
ตำรวจพร้อมทำคดีเมื่อมีผู้ร้องทุกข์
ด้านพล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผบช.ก. รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ทางสันติบาล ออกมาระบุว่าการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าข่ายหมิ่นฯ ตามมาตรา 112 แต่ทางสภาทนายความออกมาระบุไปในทิศทางตรงกันข้ามว่า ตามที่มีการติดตามข่าวสาร มีผู้ไปแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ ก็เข้าสู่กระบวนการ
ยุติธรรมตามขั้นตอน หาพยานหลักฐาน สืบสวนสอบสวนต่อไป โดยนำความคิดเห็นของสภาทนายความ สันติบาล รวมทั้งบุคคลอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในคดีหมิ่นพระบรมราชานุภาพว่า การโฟนอินหมิ่นฯ หรือไม่ จากนั้นก็จะเป็นการสั่งคดีผ่านพนักงานสอบสวน อัยการ และศาลต่อไป เป็นขั้นตอนทางกฎหมายปกติ
ส่วนเรื่องที่ทางตำรวจสันติบาลมีความเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่หมิ่นฯนั้น ก็เป็นความเห็นในฐานะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อสันติบาลมีความเห็นว่าไม่หมิ่นฯ ก็ถือเป็นที่สุด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ไม่ดำเนินคดีเองในฐานะเจ้าพนักงานที่สามารถดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องมีผู้ร้องทุกข์ แต่เมื่อมีผู้มาร้องทุกข์ก็เป็นคนละเรื่องกัน เราก็ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานไปตามกฎหมาย ตามที่มีผู้ร้องทุกข์มา ก็ต้องทำคดีให้ถึงที่สุด ซึ่งตนมองว่าการมีความเห็นต่างกันของสันติบาล และสภาทนายความ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะความเห็นทางกฏหมายก็จะแตกต่างกันไป
จวกตั้งทีวีสีแดงรับใช้"แม้ว"
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกลุ่ม นปก.ประกาศว่าจะจัดตั้งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม โดยใช้ชื่อว่า "ทีวีสีแดง" ถือว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ หากไม่ขัดกับกฎหมายใดๆ และคงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะรัฐบาลก็มีความต้องการที่จะสร้างสื่อขึ้นมาเพื่อมาเคลื่อนไหวทางการ
เมืองอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ ต้องใช้เงินจำนวนมาก ต้องมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ ค่าสถานี เครือข่าย และจานดาวเทียม ที่จะต้องแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไป ลำพังกลุ่มคนกลุ่มนี้ไม่สามารถที่จะระดมทุนได้ หากไม่มีนายทุนหนุนอยู่เบื้องหลัง
"หากการจัดตั้งทีวีสีแดงสำเร็จแล้ว ก็น่าที่จะถอนรายการความจริงวันนี้ ออกจากสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ซึ่งเป็นสื่อของรัฐมาจัดในทีวีสีแดง เพื่อมาแข่งขันกับ เอเอสทีวี ก็ถือว่าเป็นมวยที่ถูกคู่อยู่แล้ว แต่การจัดตั้งทีวีสีแดงในครั้งนี้ เป็นที่น่าจับตามองว่ากลุ่มคนเหล่านี้นำทุนจำนวนมหาศาลมาจากไหน และมีวัตถุประสงค์อย่างไร เป็นไป
ได้หรือไม่ว่า การจัดตั้งทีวีสีแดงไปสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มนปก. ที่จะจัดรายการความจริงวันนี้สัญจรไปทั่วภูมิภาค และถ่ายทอดสดผ่านทีวีสีแดงให้ประชาชนได้รับชมกัน และอาจจะเปิดโอกาสให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอิน มาในรายการในทุกครั้งที่มีการจัดงาน เพื่อปลุกระดมให้กลุ่มคนที่จงรักภักดีกับตนเอง ฮึกเหิมและเคลื่อนไหวกดดันกระบวนการยุติธรรมไทย เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากคดีความที่ตัดสินจำคุก การเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงอยู่เบื้องหลังทางการเมือง และเป็นการประกาศชักธงรบต่อกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ตรงข้ามตัวเอง การจัดตั้งทีวีสีแดงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เป็นแค่เรื่องของมือปืนรับจ้างสร้างเวที
สร้างเวทีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงทางการเมืองเพื่อแย่งพื้นที่สื่อเท่านั้น” นายเทพไทกล่าว
นายเทพไท กล่าวว่าในขณะนี้ยังมีกระแสข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ยังวนเวียนอยู่ในกลุ่มประเทศแถบเอเซีย และเพื่อนบ้านของไทย เพื่อที่จะกำหนดการเคลื่อนไหวทางการเมือง และชักใยกลุ่มต่างๆที่เป็นลูกน้องของตัวเอง หวังทำให้สถานการณ์การเมืองร้อนแรงขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นคงจะไม่วนเวียนอยู่ในประเทศเหล่านี้ คงจะบินไปปักหลักอยู่ที่ลอนดอนแล้ว แสดงว่าภารกิจและเป้าหมายยังไม่สำเร็จตามที่วางไว้ จึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวรอบๆ ประเทศไทยต่อไป