สภาทนายความ ระบุชัดเจน “ปีศาจแม้ว” โฟนอินผิดหลายกระทง โดยมีพฤติกรรมส่อเจตนาดูหมิ่นคำตัดสินของศาล ปราศรัยพาดพิงสถาบันเบื้องสูง เจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย กรณีขอพระราชทานอภัยโทษ ย้ำลิ่วล้อนำเทปโฟนอินเปิดซ้ำเข้าข่ายสนับสนุน สมรู้ร่วมคิด มีความผิดทั้งผู้จัด-เจ้าของรายการ
วันนี้ ( 7 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่สภาทนายความ ถ.ราชดำเนิน นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ออกแถลงการณ์สภาทนายความกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองปราศรัยแก่ผู้สนับสนุนผ่านระบบการประชุมทางโทรศัพท์ทางไกลผ่านจอภาพ (โฟนอิน) ทางรายการความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา สรุปว่า
1.การปราศรัยดังกล่าวมีการประชาสัมพันธ์ มีการตั้งคำถามและคำตอบล่วงหน้า
2.นำมาสู่การพิจารณาว่ากระทำผิดหรือไม่นั้น เห็นว่าการเตรียมสถานที่การเช่าสัญญาณโทรคมนาคม ประกอบคำถามที่กระทบกระบวนการยุติธรรม เป็นการวางแผนชัดเจนที่จะลดความน่าเชื่อถือของคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นการกล่าวลบหลู่หรือดูหมิ่นดุลพินิจศาล ถ้าซึ่งเขียนในอุทธรณ์คำพิพากษาก็เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลด้วย และมีความพยายามโยงถึงการปฏิวัติรัฐประหารและสถาบันพระมหากษัตริย์
3.คำปราศรัยตอนหนึ่ง ที่ระบุว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหม” กรณีจึงไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ว่าพลังของประชาชนที่อ้างจะเท่ากับพระราชอำนาจในการอภัยโทษขององค์พระประมุข ซึ่งเป็นการใช้ถ้อยคำที่มีเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษอย่างชัดเจน เป็นลักษณะคำถามแบบปิดพระบรมราชวินิจฉัยโดยสิ้นเชิง หากองค์พระประมุขไม่วินิจฉัยอย่างเช่นที่เขาต้องการ เขาก็จะใช้พลังประชาชน และ
4.เป็นความพยายามหลีกเลี่ยงอาญาให้พ้นจากคำพิพากษาโดยไม่คำนึงถึงข้อปฏิบัติทางจริยธรรม รีบด่วนขอพระราชทานอภัยโทษโดยที่คดียังไม่ถึงที่สุด
อนึ่งสภาทนายความยืนยันว่าผู้ส่งเสริม สนับสนุนการกระทำดังกล่าวโดยการกระทำซ้ำอีกหรือนำเทปดังกล่าวมาเผยแพร่โฆษณาอีก เข้าข่ายสนับสนุน สมรู้ร่วมคิดให้เกิดการกระทำผิด ผู้จัดรายการ เจ้าของรายการ ผู้อำนวยการสถานีต้องร่วมกันรับผิดชอบ รวมถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. และส.ว.ที่ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิด ย่อมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งส.ว.มีอำนาจถอดถอนได้ตามมาตรา 270 และมาตรา 164 ประชาชนกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
นายเดชอุดม กล่าวด้วยว่า จากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินจำเลยพูดว่าโดนยัดเยียดคุกให้ แม้แต่จำเลยที่ศาลประหารชีวิต กับเรื่องนี้เห็นว่าเป็นอันตรายต่อสังคม หมิ่นเหม่ และเข้าข่ายการกระทำความผิด ตามที่มีข่าวว่าฝ่ายกองทัพจะปรึกษามายังสภาทนายความ เรียนว่าแถลงการณ์ดังกล่าวคือคำตอบจากสภาทนายความ หลังจากแถลงไปแล้วอาจจะถามไปทางกองทัพว่าอยากได้ความเห็นนี้จากเราหรือเปล่า
ทั้งนี้ทราบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)มีมติว่าไม่ผิด ก็ไม่เป็นไร ตำรวจจะมองตำรวจที่ทำผิดด้วยกันอย่างนั้น แต่เรามองอดีตตำรวจที่ทำผิดในอีกมุมหนึ่ง การวิเคราะห์อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นเรื่องแรกหรือคดีแรกของนักการเมืองที่พูดตำหนิศาลและก้าวล่วงสถาบันผ่านทางวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ ทั้งๆที่ต้องโทษอยู่ ไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร แต่เราก็ปล่อยให้มันเกิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของผู้พิพากษาสามารถพิจารณาดำเนินการได้หรือไม่ นายเดชอุดม กล่าวว่า ทางศาลก็พิจารณาดำเนินการได้ ศาลเป็นผู้เสียหายโดยตรงเรื่องดูหมิ่นศาล เหมือนคดีที่ศาลดำเนินการกับทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณไปแล้ว ส่วนเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นคดีแพ่ง คดีอาญาคือดูหมิ่นศาล ตรงนี้เกี่ยวเนื่องกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นดุลพินิจของท่านประธานศาลฎีกา
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันนี้ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ทางกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) โดย พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผบช.ส.กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินผ่านรายการความจริงวันนี้สัญจร ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ว่า จากการพิจารณาและลงความเห็นของคณะกรรมการฯ โดยพิจารณาจากเทปคำปราศรัยแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์เป็นที่สุดว่ายังไม่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 แต่อย่างใด ซึ่งความเห็นดังกล่าวของตำรวจถือว่า ตรงกันข้ามกับความเห็นของประชาชน สื่อมวลชน นักการเมือง และนักวิชาการจำนวนมากที่ต่างเห็นพ้องว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจพูดหมิ่นสถาบันตุลาการ กดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้พระราชทานอภัยโทษ มิฉะนั้นจะใช้กำลังของประชาชนเข้าจัดการพาตัวเองกลับประเทศอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.ท.ธีระเดช ได้แถลงข่าวดังกล่าวภายหลังจากที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเป็นประธานการประชุม ก.ตร.ในวันที่ 5 พ.ย. และเมื่อนายสมชาย และ ผบ.ตร.แถลงข่าวเสร็จสิ้น ทาง ผบช.ส.ก็ได้แถลงต่อกรณีดังกล่าวทันที