ผู้จัดการรายวัน - "พิชิต" แจงผลตอบแทนกองทุน"วายุภักษ์ 1"ยังเป็นบวกที่ 0.26% แม้ตลาดหุ้นผันผวนหนัก พร้อมระบุกำไรสะสมอู้ฟูกว่า 4.4 หมื่นล้าน สูงกว่าอัตราการจ่ายเงินปันผล 3% ต่อปี ถึง 10 เท่า แถมสำรองเงินการันตีจ่ายผลตอบแทนรอถึง 5 ปีข้างหน้าแล้ว ล่าสุด รุดเจรจาคลัง ยืดอายุกองทุนออกไปอีกหรือไม่ หลังสร้างประโยชน์ให้คลัง ส่วน "วายุภักษ์2" ยังไม่ไปไหน เหตุการเมืองไม่เอื้อ รัฐบาลไม่สานต่อ
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุนวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดจากต้นปีไปแล้วกว่า 50% ในส่วนของกองทุนวายุภักษ์เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยทั้งกองมูลค่าทรัพย์สินสุทธิปรับลดลงไปประมาณ 22% แต่เนื่องจากมี Put Call (หุ้นรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และพร้อมที่จะซื้อหุ้นคืนจากการกองทุนเมื่อครบกำหนดอายุโครงการ) จากกระทรวงการคลัง ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนไม่ติดลบ โดยสิ้นสุดเดือนกันยายนที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 0.26% โดยมูลค่าหน่วยลงทุนของทั้งกองอยู่ที่ 14.0884 บาท ในส่วนของรายย่อยอยู่ที่ 10.7420 บาท และมูลค่าหน่วยลงทุนในส่วนของกระทรวงการคลังอยู่ที่ 21.8964 บาท
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานของกองทุนจะได้รับผลกระทบจากการที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะยังสามารถจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ เพราะปัจจุบันกองทุนมีกำไรสะสมจากการลงทุนอยู่ทั้งสิ้น 41,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการจ่ายผลตอบแทนดังกล่าว โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา กองทุนได้จ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยไปแล้วในอัตรา 3% คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท
นายพิชิตกล่าวว่า จากกำไรสะสมของกองทุนจะเห็นว่า สูงกว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลถึง 10 เท่า ดังนั้น กองทุนจึงสามารถจ่ายผลตอบแทนตามที่ได้การันตีให้กับผู้ถือหน่วยรายย่อยปีละ 3% ได้แน่นอน ขณะเดียวกัน กองทุนเองก็มีการสำรองเงินจำนวน 12,600 ล้านบาท ไว้สำหรับจ่ายปันผลในช่วงที่กองทุนยังมีอายุการลงทุนอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ กองทุนจะจ่ายปันผลในอัตราเท่าไหร่นั้น คงต้องรอให้คณะกรรมการลงทุนเป็นผู้ตัดสินใจ แต่เชื่อว่าคณะกรรมการการลงทุนเองจะจ่ายปันผลให้มากที่สุด เพราะต้องดูสภาพคล่องในช่วงนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ปีที่ผ่านมา กองทุนวายุภักษ์ ได้จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยรวมทั้งปี 6%
ทั้งนี้ จากพอร์ตการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมากองทุนมีกำไรสุทธิประมาณ 6,600 ล้านบาท ซึ่งก็เพียงพอในการจ่ายปันผล 3% เช่นกัน โดยกำไรที่ได้มาส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลจากบริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุน ซึ่งจากเงินลงทุนทั้งหมด 30,000 ล้านบาท กองทุนมีพอร์ตการลงทุนในหุ้น 31% สภาพคล่องประมาณ 9% ส่วนที่เหลือเป็นเงินสดและการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 18,000 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน 5 อันดับแรกประกอบด้วยหุ้น ปตท. (PTT) ในสัดส่วน 49.26%, หุ้นบุริมสิทธิ์ของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB-P) 27.65%, ไออาร์พีซี (IRPC) 3.92%, การบินไทย (THAI) 1.72% และธนาคารกรุงไทย (KTB) ในสัดส่วน 1.52%
"ตอนนี้กองทุนวายุภักษ์ลงทุน 90% ขึ้นไป เพราะเราเน้นหุ้นเป็นหลัก ซึ่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนเช่นนี้ คณะกรรมการกองทุนก็ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ โดยอาจจะสลับไปลงทุนในเซกเตอร์ที่ทำกำไรบ้าง หรืออาจจะลงทุนในเซ็กเตอร์ที่ตัดขาดทุนไปแล้ว"นายพิชิตกล่าว
นายพิชิตกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากองทุนวายุภักษ์ลงทุนมาแล้ว 5 ปี จากอายุการลงทุนที่กำหนดไว้ 10 ปี ซึ่งหลังจากครบกำหนดแล้ว ยังบอกไม่ได้ว่าจะต่ออายุกองทุนออกไปอีกหรือไม่ แต่ก็มีการหารือกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพราะมองว่าเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงการคลังเองที่ไม่ต้องรับภาระหรือควักงบประมาณมาซื้อหุ้นคืน แต่ถ้าคลังต้องการที่จะบริหารสภาพคล่องเอาเงินบางส่วนออกไปก็สามารถทำได้เช่นกัน ขณะเดียวกัน อาจจะโรลโอเวอร์หรือต่ออายุการลงทุนออกไปอีกก็ได้
ส่วนการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 ก่อนหน้านี้ เราเองได้หารือและให้ข้อมูลกับกระทรวงการคลังไปแล้ว แต่ในช่วงที่การเมืองยังไม่เอื้อเช่นนี้ ทำให้การพูดคุยไม่ดำเนินต่อ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรูปแบบกองทุนเองเราศึกษาไว้หมดแล้ว
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุนวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดจากต้นปีไปแล้วกว่า 50% ในส่วนของกองทุนวายุภักษ์เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยทั้งกองมูลค่าทรัพย์สินสุทธิปรับลดลงไปประมาณ 22% แต่เนื่องจากมี Put Call (หุ้นรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และพร้อมที่จะซื้อหุ้นคืนจากการกองทุนเมื่อครบกำหนดอายุโครงการ) จากกระทรวงการคลัง ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนไม่ติดลบ โดยสิ้นสุดเดือนกันยายนที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 0.26% โดยมูลค่าหน่วยลงทุนของทั้งกองอยู่ที่ 14.0884 บาท ในส่วนของรายย่อยอยู่ที่ 10.7420 บาท และมูลค่าหน่วยลงทุนในส่วนของกระทรวงการคลังอยู่ที่ 21.8964 บาท
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานของกองทุนจะได้รับผลกระทบจากการที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะยังสามารถจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ เพราะปัจจุบันกองทุนมีกำไรสะสมจากการลงทุนอยู่ทั้งสิ้น 41,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการจ่ายผลตอบแทนดังกล่าว โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา กองทุนได้จ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยไปแล้วในอัตรา 3% คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท
นายพิชิตกล่าวว่า จากกำไรสะสมของกองทุนจะเห็นว่า สูงกว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลถึง 10 เท่า ดังนั้น กองทุนจึงสามารถจ่ายผลตอบแทนตามที่ได้การันตีให้กับผู้ถือหน่วยรายย่อยปีละ 3% ได้แน่นอน ขณะเดียวกัน กองทุนเองก็มีการสำรองเงินจำนวน 12,600 ล้านบาท ไว้สำหรับจ่ายปันผลในช่วงที่กองทุนยังมีอายุการลงทุนอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ กองทุนจะจ่ายปันผลในอัตราเท่าไหร่นั้น คงต้องรอให้คณะกรรมการลงทุนเป็นผู้ตัดสินใจ แต่เชื่อว่าคณะกรรมการการลงทุนเองจะจ่ายปันผลให้มากที่สุด เพราะต้องดูสภาพคล่องในช่วงนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ปีที่ผ่านมา กองทุนวายุภักษ์ ได้จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยรวมทั้งปี 6%
ทั้งนี้ จากพอร์ตการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมากองทุนมีกำไรสุทธิประมาณ 6,600 ล้านบาท ซึ่งก็เพียงพอในการจ่ายปันผล 3% เช่นกัน โดยกำไรที่ได้มาส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลจากบริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุน ซึ่งจากเงินลงทุนทั้งหมด 30,000 ล้านบาท กองทุนมีพอร์ตการลงทุนในหุ้น 31% สภาพคล่องประมาณ 9% ส่วนที่เหลือเป็นเงินสดและการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 18,000 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน 5 อันดับแรกประกอบด้วยหุ้น ปตท. (PTT) ในสัดส่วน 49.26%, หุ้นบุริมสิทธิ์ของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB-P) 27.65%, ไออาร์พีซี (IRPC) 3.92%, การบินไทย (THAI) 1.72% และธนาคารกรุงไทย (KTB) ในสัดส่วน 1.52%
"ตอนนี้กองทุนวายุภักษ์ลงทุน 90% ขึ้นไป เพราะเราเน้นหุ้นเป็นหลัก ซึ่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนเช่นนี้ คณะกรรมการกองทุนก็ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ โดยอาจจะสลับไปลงทุนในเซกเตอร์ที่ทำกำไรบ้าง หรืออาจจะลงทุนในเซ็กเตอร์ที่ตัดขาดทุนไปแล้ว"นายพิชิตกล่าว
นายพิชิตกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากองทุนวายุภักษ์ลงทุนมาแล้ว 5 ปี จากอายุการลงทุนที่กำหนดไว้ 10 ปี ซึ่งหลังจากครบกำหนดแล้ว ยังบอกไม่ได้ว่าจะต่ออายุกองทุนออกไปอีกหรือไม่ แต่ก็มีการหารือกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพราะมองว่าเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงการคลังเองที่ไม่ต้องรับภาระหรือควักงบประมาณมาซื้อหุ้นคืน แต่ถ้าคลังต้องการที่จะบริหารสภาพคล่องเอาเงินบางส่วนออกไปก็สามารถทำได้เช่นกัน ขณะเดียวกัน อาจจะโรลโอเวอร์หรือต่ออายุการลงทุนออกไปอีกก็ได้
ส่วนการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 ก่อนหน้านี้ เราเองได้หารือและให้ข้อมูลกับกระทรวงการคลังไปแล้ว แต่ในช่วงที่การเมืองยังไม่เอื้อเช่นนี้ ทำให้การพูดคุยไม่ดำเนินต่อ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรูปแบบกองทุนเองเราศึกษาไว้หมดแล้ว