ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมดึงบริษัทจดทะเบียนที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งเข้าร่วมลงทุนตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์ จูงใจด้วยผลตอบแทนในอดีตที่ไม่ต่ำกว่า 22% ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ยังติดเกณฑ์แบงก์ชาติที่ห้ามลงทุนในธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักเกิน 10% ด้านประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมพิจารณารับไทยเบฟเวอเรจ เข้าจดทะเบียน เหตุไม่ขัดต่อพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน (แมทชิ่งฟันด์) ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะไปชวนบริษัทจดทะเบียนที่มีฐานะการเงินแข็งแรงเข้ามาร่วมลงทุนในกองทุนแมทชิ่งฟันด์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี แม้ปัจจุบันบจ.สามารถที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทอื่นได้โดยตรง แต่ต้องมีการรายงานข้อมูล แต่หากมาลงทุนในกองทุนร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีความสะดวกจากมีผู้บริหารกองทุนมาเป็นผู้ดูแลและเลือกลงทุนในบริษัทที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และเป็นการโปร่งใส
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามตรวจสอบบริษัทจดทะเบียนที่มีลงทุนในพอร์ตว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะการลงทุนในพอร์ตที่สูงทั้งที่ไม่ได้เป็นธุรกิจหลัก แต่หากมีการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมไม่สูงกว่าเงินทุนมากนักและเลือกลงทุนในบริษัทที่ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะปล่อยให้ลงทุนได้เอง
นางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการปรับรูปแบบของการลงทุนในแมทชิ่งฟันด์ใหม่ หลังจากที่ประเมินสถานการณ์แล้วภาวะตลาดหุ้นไม่ดีทำให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อยได้ลำบากขึ้น จึงหันมาเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักลงทุนสถาบันมากขึ้น แต่เม็ดเงินการลงทุนรวมยังคงเหมือนเดิมที่จะมีการระดมทุนมูลค่า 8,250 ล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมลงทุน 2,000 ล้านบาท
ด้านนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยถือว่าช่องทางในการระดมทุน จากการที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมามากนั้น ถือว่าเป็นโอกาสในการที่จะตั้งกองทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งหุ้นใน SET 50 นั้น ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 10%
ทั้งนี้ จากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการตั้งแมทชิ่งฟันด์ นั้นทำให้มีธนาคารพาณิชย์ สนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งทางบอร์ดของแบงก์ดังกล่าวอนุมัติแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะเข้ามาลงทุนได้จากติดเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ห้ามแบงก์พาณิชย์มาลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักเกิน 10%
“การจัดตั้งกองทุนที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นนั้นไม่ได้เป็นการตั้งกองทุนเพื่อมาพยุงหุ้น แต่เป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุน เพราะจากอดีตกองทุนที่ตั้งมาในช่วงวิกฤตเมื่อปี 2540 นั้น ให้ผลตอบแทนต่ำสุดที่ 22% และสูงสุดที่ 29% ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีมาก”
ด้านนายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการที่จะให้บริษัทจดทะเบียนเข้ามาลงทุนในหุ้นนั้นไม่ควรที่จะมีการเสียภาษีกำไร เหมือนกับการลงทุนในหุ้นของบุคคลธรรมดา เพราะหากไม่มีการเว้นการเก็บภาษีดังกล่าวก็จะไม่ทำให้ไม่จูงใจที่จะให้บริษัทจดทะเบียนเข้ามาลงทุน
“ส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่จะมีการตั้งกองทุนพยุงหุ้น แต่เห็นด้วยที่บจ.จะเข้ามาซื้อหุ้นคืน แต่รัฐบาลควรที่จะมีการเว้นภาษีแคปปิตอลเกน เพราะหากไม่ยกเลิกจะไม่จูงใจให้บจ.เข้ามาลงทุน ซึ่งหากมีการยกเว้นเก็บแคปปิตอลเกนนั้น ในต่างประเทศนั้นมีการยกเว้นตลอดไป”นายบรรยง กล่าว
ตลท.พร้อมรับเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น
นายปกรณ์ กล่าวถึง กรณีที่บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ เบียร์ช้าง จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ตลาดพร้อมให้การสนับสนุน แต่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก่อน เพราะการเข้าจดทะเบียนของเบียร์ช้างในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเพิ่มทุน แต่เป็นการเอาหุ้นเดิมออกมาขายเท่านั้นซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มาตรา 64 ที่เพียงแค่ยื่นไฟลิ่งกลับมาให้พิจารณาใหม่เท่านั้น โดยหากเบียร์ช้างเข้ามาระดมทุนจะทำให้มาร์เก็ตแคปเพิ่ม 1.3 แสนล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน (แมทชิ่งฟันด์) ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะไปชวนบริษัทจดทะเบียนที่มีฐานะการเงินแข็งแรงเข้ามาร่วมลงทุนในกองทุนแมทชิ่งฟันด์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี แม้ปัจจุบันบจ.สามารถที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทอื่นได้โดยตรง แต่ต้องมีการรายงานข้อมูล แต่หากมาลงทุนในกองทุนร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีความสะดวกจากมีผู้บริหารกองทุนมาเป็นผู้ดูแลและเลือกลงทุนในบริษัทที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และเป็นการโปร่งใส
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามตรวจสอบบริษัทจดทะเบียนที่มีลงทุนในพอร์ตว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะการลงทุนในพอร์ตที่สูงทั้งที่ไม่ได้เป็นธุรกิจหลัก แต่หากมีการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมไม่สูงกว่าเงินทุนมากนักและเลือกลงทุนในบริษัทที่ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะปล่อยให้ลงทุนได้เอง
นางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการปรับรูปแบบของการลงทุนในแมทชิ่งฟันด์ใหม่ หลังจากที่ประเมินสถานการณ์แล้วภาวะตลาดหุ้นไม่ดีทำให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อยได้ลำบากขึ้น จึงหันมาเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักลงทุนสถาบันมากขึ้น แต่เม็ดเงินการลงทุนรวมยังคงเหมือนเดิมที่จะมีการระดมทุนมูลค่า 8,250 ล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมลงทุน 2,000 ล้านบาท
ด้านนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยถือว่าช่องทางในการระดมทุน จากการที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมามากนั้น ถือว่าเป็นโอกาสในการที่จะตั้งกองทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งหุ้นใน SET 50 นั้น ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 10%
ทั้งนี้ จากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการตั้งแมทชิ่งฟันด์ นั้นทำให้มีธนาคารพาณิชย์ สนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งทางบอร์ดของแบงก์ดังกล่าวอนุมัติแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะเข้ามาลงทุนได้จากติดเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ห้ามแบงก์พาณิชย์มาลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักเกิน 10%
“การจัดตั้งกองทุนที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นนั้นไม่ได้เป็นการตั้งกองทุนเพื่อมาพยุงหุ้น แต่เป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุน เพราะจากอดีตกองทุนที่ตั้งมาในช่วงวิกฤตเมื่อปี 2540 นั้น ให้ผลตอบแทนต่ำสุดที่ 22% และสูงสุดที่ 29% ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีมาก”
ด้านนายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการที่จะให้บริษัทจดทะเบียนเข้ามาลงทุนในหุ้นนั้นไม่ควรที่จะมีการเสียภาษีกำไร เหมือนกับการลงทุนในหุ้นของบุคคลธรรมดา เพราะหากไม่มีการเว้นการเก็บภาษีดังกล่าวก็จะไม่ทำให้ไม่จูงใจที่จะให้บริษัทจดทะเบียนเข้ามาลงทุน
“ส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่จะมีการตั้งกองทุนพยุงหุ้น แต่เห็นด้วยที่บจ.จะเข้ามาซื้อหุ้นคืน แต่รัฐบาลควรที่จะมีการเว้นภาษีแคปปิตอลเกน เพราะหากไม่ยกเลิกจะไม่จูงใจให้บจ.เข้ามาลงทุน ซึ่งหากมีการยกเว้นเก็บแคปปิตอลเกนนั้น ในต่างประเทศนั้นมีการยกเว้นตลอดไป”นายบรรยง กล่าว
ตลท.พร้อมรับเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น
นายปกรณ์ กล่าวถึง กรณีที่บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ เบียร์ช้าง จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ตลาดพร้อมให้การสนับสนุน แต่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก่อน เพราะการเข้าจดทะเบียนของเบียร์ช้างในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเพิ่มทุน แต่เป็นการเอาหุ้นเดิมออกมาขายเท่านั้นซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มาตรา 64 ที่เพียงแค่ยื่นไฟลิ่งกลับมาให้พิจารณาใหม่เท่านั้น โดยหากเบียร์ช้างเข้ามาระดมทุนจะทำให้มาร์เก็ตแคปเพิ่ม 1.3 แสนล้านบาท