ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาณ มหาวิทยาลัยรังสิต
ก่อนจะถึงวันจัดชุมนุม 1 พ.ย. 2551 หลายฝ่ายได้พยายามเตือนว่า การจัดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (นทช.) ผู้ร้ายหลบหนีคำพิพากษาจำคุก โทรศัพท์สายตรงจากต่างประเทศเข้ามาให้สัมภาษณ์ ปราศรัยกับประชาชนผู้ชุมนุมที่รัชมังคลากีฬาสถานนั้น สุ่มเสี่ยงว่าจะมีการพูดจาให้ร้ายดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมและศาลยุติธรรมในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ปลุกระดมประชาชนเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง จนอาจจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
อาจจะนึกไม่ถึงว่า คนระดับอดีตนายกรัฐมนตรี จะกระทำการเลวร้ายอันใดมากไปกว่านั้น
แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ โทรศัพท์เข้ามาปราศรัยกับประชาชนในวันดังกล่าวจริงๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็กระทำการไปไกลยิ่งกว่านั้น !
พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เพียงพูดจาใส่ร้ายป้ายสีศาลยุติธรรมและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยด้วยความเท็จเท่านั้น แต่ “เหิมเกริม” อย่างหนัก “บังอาจ” ถึงขนาดรุกคืบขึ้นไปกระทบกระเทือนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง
พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ปราศรัยกับประชาชน โดยแอบอ้างว่า “เขาใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือเล่นงานผม” - “เขาสั่งจำคุก 2 ปี อายุความ 10 ปี แสดงว่าเขาต้องการเอาผมไว้เมืองนอก 10 ปี”
และยังกล่าวด้วยว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของประชาชนเท่านั้นที่จะช่วยได้”
1) พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังพยายามชี้นำให้ประชาชนเข้าใจหรือสงสัยว่า สถาบันชั้นสูงสามารถสั่งการศาลยุติธรรมให้พิพากษาคดีของตนไปในทางหนึ่งทางใด หรือคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีนั้น มีใครได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหนึ่งอย่างใด กระนั้นหรือ ?
การบิดเบือนโดยอ้างว่า “เขาใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ” และ “เขาต้องการเอาผมไว้เมืองนอก 10 ปี” (ตามอายุความของคดี) นั้น เพราะแท้จริงแล้ว คำพิพากษาต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามารับโทษจำคุกในประเทศไทยเป็นเวลาเพียง 2 ปี แต่ทักษิณเลือกที่จะหนีคดี หนีความรับผิด ก็เลยต้องอยู่ต่างประเทศ 10 ปี
นอกจากนี้ ยังต้องการสื่อเป็นนัยให้คนเข้าใจว่า “เขา” คือ “ใคร” ?
นัยแห่งคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้ประชาชนคลางแคลงสงสัยหรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะบอกว่า สถาบันเบื้องสูงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ?
นอกจากทำให้ประชาชนเข้าใจผิดแล้ว การที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดอีกด้วยว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา” จะทำให้ประชาชนเข้าใจต่อไปอีกหรือไม่ว่า ตนกำลังต้องการให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงช่วยเหลือให้รอดพ้นความผิดจากคดีต่างๆ และ/หรือ พระราชทานอภัยโทษให้ เพื่อให้ทักษิณสามารถเดินทางกลับเข้าประเทศได้ โดยไม่ต้องรับผิดในคดีต่างๆ ?
น่าคิดว่า ในอดีต พ.ต.ท.ทักษิณ เคย “สั่งราชการ” เรื่อง “ฆ่าตัดตอนยาเสพติด” ผ่านเวทีปราศรัยทางการเมืองมาแล้ว แต่การกระทำในครั้งนี้ ควรหรือที่จะประกาศ “การที่ตนอยากได้จากราชา” ผ่านทางสาธารณะชน
2) ประการสำคัญอย่างยิ่ง
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดสำทับในลักษณะที่ว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของประชาชนเท่านั้นที่จะช่วยได้” นั้น มีลักษณะกดดันอย่างมิบังควร
อาจสำคัญผิดไปได้ว่า หากไม่ทรงช่วยทักษิณ ให้รอดพ้นจากความผิดในคดีต่างๆ แล้ว หมู่ประชาชน ลูกน้องในพรรคการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือบริวาร ผู้ที่จงรักภักดีต่อระบอบทักษิณ ก็อาจจะช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รอดพ้นความผิดได้เอง อย่างนั้นหรือ ?
การกระทำเช่นนี้ ทำให้นึกถึงวิธีการข่มขู่เรียกค่าคุ้มครอง หรือการเรียกค่าไถ่ของมาเฟีย ได้หรือไม่
แต่ที่แน่ๆ... การพูดในลักษณะนี้ ย่อมนำมาซึ่งความไม่พอใจของพสกนิกรผู้จงรักภักดี ซึ่งเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนืออำนาจฝ่ายการเมืองและอิทธิพลของนักการเมือง
3) ในงานที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปราศรัยนั้น ปรากฏว่า ได้มีการตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมัคร สุนทรเวช
การกระทำนี้ เสมือน “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” ตอกย้ำให้เห็นเจตนา การคิดและการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ว่ากำลังพยายามใช้มวลชนของตนเองเข้ามากดดันพระราชอำนาจ เพราะการถวายฎีกาฯ ควรจะเป็นการกระทำของตัวนักโทษเองเท่านั้น มิใช่โดยการล่ารายชื่อจากประชาชนทั่วไป
(1) กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ คดีที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาแล้ว ได้แก่ คดีที่ดินรัชดาฯ ถูกศาลพิพากษาลงโทษให้จำคุก 2 ปี ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคำพิพากษาของศาล โดยไม่ยอมรับกรรม-รับโทษตามคำพิพากษาดังกล่าวเลย มิหนำซ้ำ ยังมีพฤติกรรมกล่าวให้ร้าย ใส่ร้าย จาบจ้วง ดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมและศาลที่ปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อีกด้วย แตกต่างจากกรณีนักโทษที่เคยได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งจะต้องถูกจำคุกตามคำพิพากษาก่อนที่จะถวายฎีกาฯ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีคดีทุจริตประพฤติมิชอบอีกหลายคดี อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ ซึ่งยังไม่มีคำพิพากษา ฉะนั้น การจะไปขอพระราชทานอภัยโทษระหว่างคดีอยู่ในศาล จึงไม่บังควรอย่างยิ่ง
(2) กรณีนายสมัคร น่าคิดว่า คดีที่นายสมัคร สุนทรเวช ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกนั้น เป็นคดีความผิดส่วนบุคคล อันเกิดจากการกระทำผิดส่วนตัวของนายสมัครเอง ซึ่งได้ไปกระทำผิด โดยพูดจาให้ร้ายหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ทำให้เขาได้รับความเสียหายร้ายแรง เขาจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรม เป็นการแสวงหาความเป็นธรรมของนายสามารถ ในฐานะผู้เสียหาย เมื่อศาลพิพากษาว่านายสมัครกระทำผิดจริง จึงต้องได้รับการลงโทษ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรมต่อผู้เสียหาย
คดีที่เป็นความขัดแย้งกันระหว่างบุคคลเช่นนี้ แตกต่างจากคดีที่บุคคลกระทำผิดต่อรัฐ ดังเช่นคดีทุจริตราชการ เพราะกรณีเหล่านั้น “ราชการเป็นผู้เสียหาย” เอง เมื่อมีเหตุอันควรเมตตา เช่น ผู้กระทำความผิดได้สำนึก ในความผิดและจะกลับตัวเป็นคนดี องค์พระประมุขแห่งรัฐ หรือ “ราชา” จึงอาจให้ความเมตตาต่อผู้กระทำผิดได้ โดยไม่กระทบต่อความเป็นธรรมของเอกชนผู้เสียหาย
น่าคิดว่า ตามธรรมเนียมการปกครองที่มีมา เคยมีกรณีพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้กระทำผิดในคดีความผิดส่วนบุคคลหรือไม่ ? การขอพระราชทานอภัยโทษกรณีคดีนายสมัครเป็นการบังควรหรือไม่ ?
ทั้งหมดนี้ สะท้อนพฤติกรรมอย่างเป็นขบวนการของ “ระบอบทักษิณ” ที่พยายามจะกดดัน ข่มขู่ และล่วงละเมิดต่อสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง และหนักข้อขึ้นทุกที เพียงเพื่อจะช่วยเหลือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รอดพ้นจากการกระทำความผิดของตนเอง
หาก “ข้าราชการ” ปล่อยขบวนการเหล่านี้เอาไว้ต่อไป “พสกนิกรคนไทยผู้จงรักภักดี” จะรู้สึกอย่างไร บ้านเมืองของเราจะผ่านพ้นความรุนแรงไปได้อย่างไร และ “สถาบันพระมหากษัตริย์” จะดำรงอยู่ในสถานะใด
และถ้าปล่อยไว้ เราคนไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินที่คุ้นเคยอีกต่อไป...
ศาสตราภิชาณ มหาวิทยาลัยรังสิต
ก่อนจะถึงวันจัดชุมนุม 1 พ.ย. 2551 หลายฝ่ายได้พยายามเตือนว่า การจัดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (นทช.) ผู้ร้ายหลบหนีคำพิพากษาจำคุก โทรศัพท์สายตรงจากต่างประเทศเข้ามาให้สัมภาษณ์ ปราศรัยกับประชาชนผู้ชุมนุมที่รัชมังคลากีฬาสถานนั้น สุ่มเสี่ยงว่าจะมีการพูดจาให้ร้ายดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมและศาลยุติธรรมในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ปลุกระดมประชาชนเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง จนอาจจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
อาจจะนึกไม่ถึงว่า คนระดับอดีตนายกรัฐมนตรี จะกระทำการเลวร้ายอันใดมากไปกว่านั้น
แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ โทรศัพท์เข้ามาปราศรัยกับประชาชนในวันดังกล่าวจริงๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็กระทำการไปไกลยิ่งกว่านั้น !
พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เพียงพูดจาใส่ร้ายป้ายสีศาลยุติธรรมและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยด้วยความเท็จเท่านั้น แต่ “เหิมเกริม” อย่างหนัก “บังอาจ” ถึงขนาดรุกคืบขึ้นไปกระทบกระเทือนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง
พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ปราศรัยกับประชาชน โดยแอบอ้างว่า “เขาใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือเล่นงานผม” - “เขาสั่งจำคุก 2 ปี อายุความ 10 ปี แสดงว่าเขาต้องการเอาผมไว้เมืองนอก 10 ปี”
และยังกล่าวด้วยว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของประชาชนเท่านั้นที่จะช่วยได้”
1) พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังพยายามชี้นำให้ประชาชนเข้าใจหรือสงสัยว่า สถาบันชั้นสูงสามารถสั่งการศาลยุติธรรมให้พิพากษาคดีของตนไปในทางหนึ่งทางใด หรือคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีนั้น มีใครได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหนึ่งอย่างใด กระนั้นหรือ ?
การบิดเบือนโดยอ้างว่า “เขาใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ” และ “เขาต้องการเอาผมไว้เมืองนอก 10 ปี” (ตามอายุความของคดี) นั้น เพราะแท้จริงแล้ว คำพิพากษาต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามารับโทษจำคุกในประเทศไทยเป็นเวลาเพียง 2 ปี แต่ทักษิณเลือกที่จะหนีคดี หนีความรับผิด ก็เลยต้องอยู่ต่างประเทศ 10 ปี
นอกจากนี้ ยังต้องการสื่อเป็นนัยให้คนเข้าใจว่า “เขา” คือ “ใคร” ?
นัยแห่งคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้ประชาชนคลางแคลงสงสัยหรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะบอกว่า สถาบันเบื้องสูงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ?
นอกจากทำให้ประชาชนเข้าใจผิดแล้ว การที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดอีกด้วยว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา” จะทำให้ประชาชนเข้าใจต่อไปอีกหรือไม่ว่า ตนกำลังต้องการให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงช่วยเหลือให้รอดพ้นความผิดจากคดีต่างๆ และ/หรือ พระราชทานอภัยโทษให้ เพื่อให้ทักษิณสามารถเดินทางกลับเข้าประเทศได้ โดยไม่ต้องรับผิดในคดีต่างๆ ?
น่าคิดว่า ในอดีต พ.ต.ท.ทักษิณ เคย “สั่งราชการ” เรื่อง “ฆ่าตัดตอนยาเสพติด” ผ่านเวทีปราศรัยทางการเมืองมาแล้ว แต่การกระทำในครั้งนี้ ควรหรือที่จะประกาศ “การที่ตนอยากได้จากราชา” ผ่านทางสาธารณะชน
2) ประการสำคัญอย่างยิ่ง
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดสำทับในลักษณะที่ว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของประชาชนเท่านั้นที่จะช่วยได้” นั้น มีลักษณะกดดันอย่างมิบังควร
อาจสำคัญผิดไปได้ว่า หากไม่ทรงช่วยทักษิณ ให้รอดพ้นจากความผิดในคดีต่างๆ แล้ว หมู่ประชาชน ลูกน้องในพรรคการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือบริวาร ผู้ที่จงรักภักดีต่อระบอบทักษิณ ก็อาจจะช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รอดพ้นความผิดได้เอง อย่างนั้นหรือ ?
การกระทำเช่นนี้ ทำให้นึกถึงวิธีการข่มขู่เรียกค่าคุ้มครอง หรือการเรียกค่าไถ่ของมาเฟีย ได้หรือไม่
แต่ที่แน่ๆ... การพูดในลักษณะนี้ ย่อมนำมาซึ่งความไม่พอใจของพสกนิกรผู้จงรักภักดี ซึ่งเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนืออำนาจฝ่ายการเมืองและอิทธิพลของนักการเมือง
3) ในงานที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปราศรัยนั้น ปรากฏว่า ได้มีการตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมัคร สุนทรเวช
การกระทำนี้ เสมือน “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” ตอกย้ำให้เห็นเจตนา การคิดและการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ว่ากำลังพยายามใช้มวลชนของตนเองเข้ามากดดันพระราชอำนาจ เพราะการถวายฎีกาฯ ควรจะเป็นการกระทำของตัวนักโทษเองเท่านั้น มิใช่โดยการล่ารายชื่อจากประชาชนทั่วไป
(1) กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ คดีที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาแล้ว ได้แก่ คดีที่ดินรัชดาฯ ถูกศาลพิพากษาลงโทษให้จำคุก 2 ปี ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคำพิพากษาของศาล โดยไม่ยอมรับกรรม-รับโทษตามคำพิพากษาดังกล่าวเลย มิหนำซ้ำ ยังมีพฤติกรรมกล่าวให้ร้าย ใส่ร้าย จาบจ้วง ดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมและศาลที่ปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อีกด้วย แตกต่างจากกรณีนักโทษที่เคยได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งจะต้องถูกจำคุกตามคำพิพากษาก่อนที่จะถวายฎีกาฯ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีคดีทุจริตประพฤติมิชอบอีกหลายคดี อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ ซึ่งยังไม่มีคำพิพากษา ฉะนั้น การจะไปขอพระราชทานอภัยโทษระหว่างคดีอยู่ในศาล จึงไม่บังควรอย่างยิ่ง
(2) กรณีนายสมัคร น่าคิดว่า คดีที่นายสมัคร สุนทรเวช ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกนั้น เป็นคดีความผิดส่วนบุคคล อันเกิดจากการกระทำผิดส่วนตัวของนายสมัครเอง ซึ่งได้ไปกระทำผิด โดยพูดจาให้ร้ายหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ทำให้เขาได้รับความเสียหายร้ายแรง เขาจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรม เป็นการแสวงหาความเป็นธรรมของนายสามารถ ในฐานะผู้เสียหาย เมื่อศาลพิพากษาว่านายสมัครกระทำผิดจริง จึงต้องได้รับการลงโทษ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรมต่อผู้เสียหาย
คดีที่เป็นความขัดแย้งกันระหว่างบุคคลเช่นนี้ แตกต่างจากคดีที่บุคคลกระทำผิดต่อรัฐ ดังเช่นคดีทุจริตราชการ เพราะกรณีเหล่านั้น “ราชการเป็นผู้เสียหาย” เอง เมื่อมีเหตุอันควรเมตตา เช่น ผู้กระทำความผิดได้สำนึก ในความผิดและจะกลับตัวเป็นคนดี องค์พระประมุขแห่งรัฐ หรือ “ราชา” จึงอาจให้ความเมตตาต่อผู้กระทำผิดได้ โดยไม่กระทบต่อความเป็นธรรมของเอกชนผู้เสียหาย
น่าคิดว่า ตามธรรมเนียมการปกครองที่มีมา เคยมีกรณีพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้กระทำผิดในคดีความผิดส่วนบุคคลหรือไม่ ? การขอพระราชทานอภัยโทษกรณีคดีนายสมัครเป็นการบังควรหรือไม่ ?
ทั้งหมดนี้ สะท้อนพฤติกรรมอย่างเป็นขบวนการของ “ระบอบทักษิณ” ที่พยายามจะกดดัน ข่มขู่ และล่วงละเมิดต่อสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง และหนักข้อขึ้นทุกที เพียงเพื่อจะช่วยเหลือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รอดพ้นจากการกระทำความผิดของตนเอง
หาก “ข้าราชการ” ปล่อยขบวนการเหล่านี้เอาไว้ต่อไป “พสกนิกรคนไทยผู้จงรักภักดี” จะรู้สึกอย่างไร บ้านเมืองของเราจะผ่านพ้นความรุนแรงไปได้อย่างไร และ “สถาบันพระมหากษัตริย์” จะดำรงอยู่ในสถานะใด
และถ้าปล่อยไว้ เราคนไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินที่คุ้นเคยอีกต่อไป...