จากกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้จัดชุมนุม"คนเสื้อแดง" ที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน ในวันนี้ (1พ.ย.) และในการนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ที่ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี จะต่อสายโทรศัพท์เข้ามาพูดคุยในรายการ "ความจริงวันนี้สัญจร" ซึ่งมีการคาดหมายกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดถึงเรื่องที่ตนเองถูกกลั่นแกล้งจากกระบวนการยุติธรรม จนถูกลงโทษจำคุก 2 ปี
วานนี้ (31 ต.ค.) ที่ศาลยุติธรรม มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาได้เรียกผู้บริหารสำนักงานศาลยุติธรรม และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เข้าหารือ กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี จะโทรศัพท์ผ่านรายการ "ความจริงวันนี้สัญจร" ซึ่งอาจมีการกล่าวถ้อยความพาดพิงสถาบันศาลในลักษณะดูหมิ่นผู้พิพากษา หรือเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล จึงให้สำนักงานศาลยุติธรรม เตรียมรวบรวมเนื้อหาคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ หากมีการดูหมิ่นก็จะพิจารณาดำเนินการทางกฎหมาย ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานในการยุติธรรม หรือดูหมิ่นผู้พิพากษา ตามมาตรา 198 ซึ่งคดีดังกล่าวมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2-1.4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และฐานละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 33 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
**เตือนสื่อตีข่าว"แม้ว"ระวังหมิ่นศาล
แหล่งข่าวระบุว่า ประธานศาลฎีกาได้แสดงความห่วงใยในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแถลงการณ์สื่อต่างประเทศ โต้แย้งคำพิพากษาขององค์คณะศาลฎีกาฯ ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ และได้สั่งการให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เผยแพร่คำพิพากษากลาง และคำพิพากษาส่วนตัวขององค์คณะคดีที่ดินทั้ง 9 คน ผ่านทางเว็บไซต์ศาลฎีกา www.supremecourt.go.th ให้ประชาชนทั่วไปอ่าน เพื่อสร้างความเข้าใจในเหตุผลการตัดสิน โดยเฉพาะคำพิพากษาส่วนตนจะมีทั้งเสียงข้างมากที่ตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ และเสียงข้างน้อย ที่ตัดสินยกฟ้องว่า องค์คณะใช้เหตุผลตัดสินอย่างอิสระไม่มีใครแทรกแซง
" ขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ผู้พิพากษาเกี่ยวกับการออกมาโต้แย้งคำพิพากษาคดีที่ดินรัชดาฯ ของพ.ต.ท.ทักษิณว่า ศาลยุติธรรมต้องปกป้องสถาบันศาลไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงจากคำพูดของผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก อย่างไร แต่ศาลไม่มีหน้าที่ลงไปทะเลาะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้พิพากษาในองค์คณะบางคนเห็นว่า ศาลควรรอให้มีผู้เสียหาย ซึ่งอาจจะเป็นนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ในคดีที่ดินรัชดาฯ มาร้องให้ศาลพิจารณากรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ละเมิดอำนาจศาล จึงเริ่มดำเนินการน่าจะเหมาะสมกว่า" แหล่งข่าวเผย
ทั้งนี้ แหล่งข่าวคนเดิมระบุด้วยว่า ประธานศาลฎีกากังวลที่สื่อนำเสนอข่าวความเห็น หรือการนำถ้อยแถลงของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาเผยแพร่ เพราะการเผยแพร่ข่าวของสื่อ อาจเข้าองค์ประกอบดูหมิ่นผู้พิพากษา หรือละเมิดอำนาจศาลไปด้วย ดังนั้น สื่อควรพิจารณาเนื้อหาและศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนจะตีพิมพ์อะไร รวมทั้งต้องคิดให้มากด้วยว่า สมควรให้ความสำคัญเผยแพร่ข่าวนั้นมากน้อยแค่ไหน เพราะอาจเป็นการเพิ่มช่องทางกระพือความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคม
**สภาทนายจวก"แม้ว"ลบหลู่ศาล
วานนี้ (31 ต.ค.) ที่สภาทนายความ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ออกแถลงการณ์สภาทนายความ เรื่อง"เมื่อผู้ต้องคำพิพากษาของศาลยุติธรรมไทยหลบหนีและออกข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง" โดยประณามการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ที่ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี ออกแถลงการณ์ถึงสื่อสารมวลชนทั้งในและต่างประเทศ มีเจตนาลบหลู่ระบอบการศาลยุติธรรมของประเทศไทย โดยสภาทนายความได้เรียกร้องให้บุคคล และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่โดยเฉียบขาด ในกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ตามเวลาที่กำหนดไว้โดยทันที
แถลงการณ์ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสัญชาติไทย เป็นจำเลยในคดีอาญา ซึ่งเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีอำนาจพิจารณาคดีโดยชอบ และศาลได้พิเคราะห์ข้อกล่าวหาคำให้การ รวมทั้งคำพยานของคู่ความ และได้มีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดตามกฎหมาย และให้ลงโทษจำคุก 2 ปี นั้น เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายและวิธีพิจารณาความของศาลยุติธรรมไทย ซึ่งในสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีรัฐมนตรีที่ถูกคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ลงโทษไปแล้วหลายราย นับตั้งแต่มีการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และเป็นคำพิพากษาถึงที่สุดโดยไม่ได้มีสิทธิอุทธรณ์เลย โดยในส่วนของพ.ต.ท.ทักษิณ แม้จะตกเป็นผู้ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ แต่ยังมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้อีกตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ภายในวันที่ 20 พ.ย.นี้ จึงเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้สิทธิมากกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540
ดังนั้น การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแถลงการณ์ดังกล่าวต่อสาธารณชนจึงไม่อาจฟังเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเห็นว่าเป็นการกล่าวแก้ตัวของนักการเมืองที่ไม่เคารพกฎหมายของบ้านเมือง ที่ไม่มีน้ำหนัก และไม่มีเหตุผลสนับสนุนที่จะรับฟังได้ แล้วการที่พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอ้างว่า ศาลฎีกาฯ ลงโทษตัวเอง เพราะเหตุที่เป็นนักการเมืองนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่เข้ามาเล่นการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยว่า กระบวนการพิจารณาคดีระหว่างนักการเมืองได้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ และข้อกำหนดวิธีพิจารณาคดีอาญาของนักการเมืองของศาลฎีกาฯ กำหนดไว้โดยชัดเจน และเป็นกรณีที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักการเมืองไทยที่มีการคอร์รัปชั่นอยู่อย่างดาษดื่น
สภาทนายความ ในฐานะองค์กรวิชาชีพหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม เห็นว่าการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการลบหลู่ไม่ให้เกียรติกระบวนการยุติธรรมไทยโดยเจตนาและทำให้ต่างชาติเข้าใจผิดพลาดในความโปร่งใส และความเป็นธรรมของศาลไทย จึงขอแถลงการณ์ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจสั่งการ และควบคุมการดำเนินการของกรมประชาสัมพันธ์ ต้องดำเนินการให้มีการปฏิบัติหน้าที่ของตนที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยประมวลจริยธรรม ของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ข้อ 25–26 ,28 โดยการออกข่าวหรือการอนุญาตให้มีการให้ข่าวของสถานีที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ต้องไม่เป็นการเกื้อกูลผู้กระทำความผิด และถูกศาลลงโทษแล้ว ทั้งทางตรงและทางอ้อม
**จี้ถอดยศ-เครื่องราชฯเมื่อคดีถึงที่สุด
อีกทั้ง หากคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถึงที่สุดแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.) ซึ่งเป็นต้นสังกัดของการให้ยศตำแหน่ง คือ“ พันตำรวจโท” ต้องดำเนินการปลด และถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะเป็นผู้ที่ต้องได้รับคำพิพากษาถึงที่สุดลงโทษจำคุกแล้วโดยทันที
ขณะเดียวกันสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก็ต้องเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับกลับคืนโดยเร็ว เพราะว่าการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการหมิ่นต่อกระบวนการของศาลยุติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ จึงไม่ควรที่จะได้รับให้มียศ หรือมีสิทธิในเครื่องราชอิสริยาภรณ์ใดๆ อีกต่อไป
**"เสธอู้"เตือนอย่าบีบทหารปฏิวัติ
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองว่า การก่อเหตุวางระเบิดในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา เป็นสัญญาณบอกว่า มีคนต้องการให้เกิดปัญหากับบ้านเมือง และเกิดความรุนแรง เพราะฉะนั้นการจัดรายการความจริงวันนี้สัญจร ในวันนี้ (1 พ.ย.) จึงจำเป็นต้องระมัดระวัง ควบคุมผู้ชุมนุมให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่รายการจบแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารคง ต้องเตรียมการรับสถานการณ์อย่างดีที่สุด ทั้งนี้หน้าที่เบื้องต้นในการดูแลความสงบเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนฝ่ายทหารเชื่อว่า ผบ.เหล่าทัพ ได้เตรียมความพร้อมดูแลความสงบไปหมดแล้ว
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวอีกว่า การออกมาเสนอทางออกของ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น ท่านคงเป็นห่วงสถานการณ์ ซึ่งมีการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งคาดหมายได้ว่าความรุนแรงมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีฝ่ายที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันและไม่ยอมให้กัน อย่างไรก็ดีตนเชื่อว่าทหารคงไม่ออกมาทำรัฐประหาร เพียงเพราะเหตุผลเรื่องความแตกแยกและความขัดแย้งในสังคม สำหรับข้อเสนอให้ปรับครม. เป็นข้อเสนอที่นายกรัฐมนตรี จะต้องคิด เพราะหากปรับครม.แล้วยังคงมี 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม คงไม่มีประโยชน์ หากจะมีการปรับเอาพรรคประชาธิปัตย์เข้ามา ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิด แต่หากจะให้มีการยุบสภา ตนไม่เห็นด้วย
"รัฐบาลอาจคำนึงถึงความต่อเนื่องของสถาการณ์ หากมีการยุบสภาโดยหลายฝ่ายอาจคิดว่า หากยุบสภาแล้วอาจไม่มีหมากเดินต่อ ที่สุดแล้วคนที่ต้องติดสินใจคือตัวนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้ชั่งใจเอาเอง" พล.อ.เลิศรัตน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในช่วงนี้หรือไม่ พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า เชื่อว่าในช่วงนี้จนถึงเดือนธันวาคมไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น โดยเฉพาะช่วงงานพระราชพิธีสำคัญ ซึ่งทุกฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง เพราะคงไม่มีใครอยากให้ทหารออกมาปฏิวัติ หรือใช้ความรุนแรง เพราะไม่เกิดประโยชน์กับฝ่ายใด แต่ถ้ามีความจำเป็นเพื่อรักษาบ้านเมืองไว้ ก็คงจำเป็นต้องทำ
**เชื่อสถานการณ์ยังไม่ยุติ
เมื่อถามอีกว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ทหารต้องออกมาทำรัฐประหาร พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา จะออกหรือไม่ออก ทหารก็อยู่บนถนนอยู่แล้ว กำลังทหารมีอยู่ทั่วกรุงเทพฯ และพร้อมที่จะป้องกันไม่ให้พี่น้องชาวไทยต้องปะทะกัน โดยหากเกิดเหตุการณ์ปะทะจนควบคุมไม่ไหว ทหารก็ต้องออกมาดูแลอยู่แล้ว
"ผมเชื่อว่าผบ.เหล่าทัพทุกคน ต้องเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมอย่างยาวนาน ไม่ใช่เฉพาะวันนี้พรุ่งนี้ แต่อาจยาวต่อไป ผมเชื่อว่าเหตุการณ์มันไม่ยุติแค่นี้ ความขัดแย้งที่ไม่หันหน้าเข้าหากันมันไม่ยุติง่ายๆ" พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะโฟนอินข้ามประเทศเข้ามาร่วมรายการความจริงวันนี้สัญจร นั้นตนคิดว่า เรื่องการโฟนอิน คงเลยเวลาที่จะพูดแล้ว เพราะทุกอย่างได้เตรียมการไว้หมดแล้ว หากพ.ต.ท.ทักษิณไม่โฟนอินเข้ามา จะเท่ากับเป็นการหลอกมวลชนให้เข้ามาชุมนุม ประเด็นสำคัญคือ ต้องไม่ให้มีการใช้สื่อของรัฐในการเผยแพร่ต่อ เพราะจะเกิดความเสียหายได้ ส่วนการเดินทางมาอยู่ที่เกาะฮ่องกงของพ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเป็นเรื่องปกติที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาในประเทศแถบนี้บ่อยๆ เชื่อว่าคงไม่ใช่การมาบัญชาการอะไร
** ทภ.1 ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่กลุ่ม นปช. ที่จะมีการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านรายการความจริงวันนี้ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินเรื่องอะไรบ้างยังไม่รู้ ตอนนี้กองทัพเพียงติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆอย่างใกล้ชิด ซึ่งการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ที่ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นเครื่องชี้ให้เห็นอะไรหลายอย่างๆ
"กองทัพภาคที่ 1 จัดชุดติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มแนวร่วมนปช. เพื่อเฝ้าดูแล และระวังดูแนวโน้มเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว หากมีสถานการณ์ที่จะเกิดความรุนแรง กองทัพมีความพร้อมที่จะออกไปปฏิบัติตามแผน ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจกรณีที่มีการร้องขอมา"
พล.ท.คณิต กล่าวด้วยว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ได้เน้นย้ำเรื่องการดูแลไม่ให้เกิดการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย รวมถึงการจัดชุดนอกเครื่องแบบ เพื่อหาข่าว รวมถึงการผลักดันให้ตำรวจนครบาล เพิ่มมาตรการในการดูแลความเรียบร้อยให้มากขึ้นด้วย
**มั่นใจไม่เกิดเหตุรุนแรง
เมื่อถามว่า หากพันธมิตรฯและนปช. ปะทะกัน ทางกองทัพจะออกไปปฏิบัติการช่วงไหน พล.ท.คณิต กล่าวว่า กองทัพมีแผนเตรียมการไว้อยู่แล้ว เพราะเราเคยได้รับบทเรียนมาซึ่งเหตุการณ์ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ส่วนเหตุการณ์ระเบิดเมื่อกลางดึกของวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นพวกก่อกวน ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่เรานึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้
เมื่อถามว่า กลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุหวังอะไร พล.ท.คณิต กล่าวว่า ที่แน่ๆ กลุ่มคนร้ายต้องการทำให้เกิดรุนแรงขึ้นมาอีก เพราะสังเกตคนร้ายพยายามก่อเหตุหลายจุด เพื่อเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ปะทุกันขึ้นมาอีก
**"เสธ.แดง"ขู่พันธมิตรฯเจออาร์พีจี
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงเหตุระเบิดที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ บริเวณเขตรักษาความปลอดภัยของการ์ดพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า คงไม่สามารถระบุได้ว่ามือระเบิดเป็นกลุ่มใด แต่แน่นอนว่าขณะนี้มีหลายกลุ่มที่ไม่พอใจพฤติกรรมของแกนนำพันธมิตรฯ และนักรบศรีวิชัย พร้อมจะปฏิบัติการให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล
"คนทำก็คงหวังสั่งสอนพวกการ์ด ไม่ได้หวังชีวิตผู้มาชุมนุม ที่สำคัญเป็นการเตือน และสร้างความกลัวไม่ให้คนเข้ามาชุมนุมที่ทำเนียบฯ ทั้งนี้ เชื่อว่าคนที่จองกฐินงานนี้ ต้องงัดอีกหลากหลายวิธีการมาจัดการแน่ ต่อไปก็คงเจอระเบิดเอ็ม 79 หรือ อาร์พีจี ที่ใช้ปืนยิงสู่เป้าหมาย ซึ่งระยะในการยิงได้ระยะทางไกลกว่า 700 เมตร หรืออาจจะมีการเผารถที่จอดไว้แถวนั้น เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ผู้ชุมนุม ไม่มาชุมนุม" พล.ต.ขัตติยะกล่าว
ส่วนกรณีที่ชายคนที่ถูกยิงอย่างปริศนา ที่บริเวณถนนพิษณุโลก ติดกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล และเหตุระเบิดที่บ้านของ นายจรัญ ภักดีธนากุล คงไม่ใช่กลุ่มเดียวกับที่ขว้างระเบิดกลุ่มพันธมิตรฯ สองกรณีนี้เป็นพวกแขกไม่ได้รับเชิญ น่าจะมาแบบร่วมด้วยช่วยกัน
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ไม่ขอออกความ เห็นกรณีที่มีข่าวว่า เป็นฝีมือของสมาชิกนักรบพระเจ้าตาก ที่ออกปฏิบัติหน้าที่
ด้านหน่วยงานด้านความมั่นคง ระบุว่า เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวรายงานว่าเหตุระเบิดที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ เป็นการดำเนินการโดยวางแผน และจุดยุทธศาสตร์อย่างดี โดยใช้อาวุธระเบิดหวังสังหาร โดยกลุ่มบุคคลที่ต้องสงสัยเป็นเครือข่ายของนายทหารระดับยศนายพล ที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ในเวลานี้
**รปภ.เข้มศาลรธน.หวั่นเผาเอกสาร
วานนี้ ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการประชุมคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ โดยมีนาย ชัช ชลวร ประธานคณะตุลาการ เป็นประธานในที่ประชุม ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบอาคารศาลอย่างเข้มงวด
หลังการประชุม คณะตุลาการได้จัดทำเอกสารแถลงข่าว ระบุว่า จากการประชุมตุลาการนัดพิเศษว่า ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยของศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมเห็นควรให้สำนักงานศาลดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2517 และระเบียบสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย พ.ศ. 2543 โดยให้รักษาความปลอดภัยทุกด้านอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการรักษาความปลอดภัยด้านบุคคล รวมทั้งอาคารสถานที่ทำการ ที่พักอาศัย และเอกสาร โดยการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หมั่นตรวจตราโดยการค้นอาวุธ สิ่งผิดกฎหมายและสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลและสถานที่ การติดตั้งตู้แดง และสัญญาณเตือนภัย
ทั้งนี้ ระหว่างการประชุม ได้มีกลุ่มบุคคลที่ระบุว่า มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มามอบแจกันดอกไม้ให้กำลังใจ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการฯ ที่ถูกปาระเบิดบ้านพัก เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยนายจรัญ ได้ออกมารับด้วยตัวเอง
รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมตุลาการได้หารือถึงประเด็นการถูกข่มขู่คุกคาม แต่ตุลาการทั้งหมดไม่ได้กังวลหรือหวั่นไหวอะไร เนื่องจากทำหน้าที่เป็นตุลาการกับแทบทั้งชีวิต และหากกลัวการข่มขู่ก็คงไม่สามารถทำหน้าที่ตุลาการได้ โดยไม่มีตุลาการคนใดร้องขอการอารักขาความปลอดภัยเพิ่มเติมแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้เป็นห่วงความปลอดภัยของสำนักงานศาลมากกว่า โดยเฉพาะเอกสารหลักฐาน ข้อมูลที่จะใช้ในการพิจารณาคดี โดยเฉพาะคดียุบพรรคการเมือง จึงได้กำชับให้ทางสำนักงานประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาก
**เตือนรัฐบาลใช้ความรุนแรงเจอม.157
เมื่อเวลา13.30 น.วานนี้ กลุ่ม 40 ส.ว.นำโดยนายสมชาย แสวงการ นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายตวง อันทะไชย นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว.สรรหา และนายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายสมชาย กล่าวว่า ที่ประชุม กมธ.คุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิมนุษยชน วุฒิสภา ได้แสดงความเป็นห่วงกับสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้ ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความรุนแรง ทุกฝ่ายยังยึดมั่นในความคิดของตัวเอง แต่รัฐบาลต้องสั่งการไปยัง สตช. ในการควบคุมเหตุการณ์ โดยปราศจากความรุนแรง แต่ถ้าผู้สั่งการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ละเลย ทางคณะกรรมาธิการฯ จะดำเนินคดี เพราะถือว่ากระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 และหากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมดำเนินการใดๆ ที่จะระงับเหตุรุนแรงได้ ก็อยากให้ทหารออกมาปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 188 และตาม พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาตรา 4 แต่ยืนยันว่าไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติ เพียงแต่สนับสนุนให้ทหารออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
นายประสาร กล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินเข้ามาในวันนี้ ถือว่าหมิ่นเหม่ หากมีอะไรเกิดขึ้น ถือว่าการโฟนอินเข้ามาเพื่อเอื้อให้เกิดความรุนแรง และทำให้สังคมแตกแยก กลายเป็นสงครามทางกลางเมือง เพราะทั้ง 2 ฝ่ายไม่เชื่อในอำนาจรัฐ จึงตั้งกองกำลังของตนเองขึ้นมา เพื่อจะมาปกป้องฝ่ายของตนเอง สถานการณ์เช่นนี้ คนที่อยู่ตรงกลางอาจจะถูกลูกหลงได้ จากผลของความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่าย อยากให้รัฐบาลตระหนักถึงประชาชนที่ไม่มีส่วนรู้เห็น
นายตวง กล่าวว่า วันนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า รัฐบาลไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้ ซึ่งก็รู้อยู่แก่ใจว่า ตัวเองจะทำอย่างไร ทั้งนี้ทางคณะกรรมาธิการฯเห็นว่า รัฐบาลควรลดความขัดแย้ง เห็นได้จากเหตุการณ์ลอบปาระเบิดที่ผ่านมา อยากให้คณะกรรมาธิการฯชุดนี้ เป็นองค์กรเฝ้าเตือนสังคม เพราะไม่เชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมลดละให้แก่กัน
นายสาย กล่าวว่า หากวันสองวันนี้เกิดเหตุความรุนแรงขึ้น นายกรัฐมนตรีจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ขณะนี้ทราบข่าวว่าเริ่มมีการขนคนเข้ามาชุมนุมที่กรุงเทพฯกว่า 50,000 คนแล้ว
**"พงศ์เทพ"ยัน"แม้ว"มีสิทธิ์โฟนอิน
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในฐานะโฆษกส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ในรายการความจริงวันนี้สัญจรว่า ตนไม่ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนจะโฟนอินเข้ามาจริงหรือไม่นั้น ต้องถามจากผู้จัดงานความจริงวันนี้
เมื่อถามว่าหลายฝ่ายเกรงว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามาจริงจะยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ทุกคนที่เป็นคนไทยแม้แต่พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเหมือนกัน พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนไทยที่รักประเทศไทย ตนเชื่อว่าหากจะโฟนอินเข้ามาด้วยความที่เป็นคนไทยที่รักประเทศไทย คงไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองของประเทศไทยขณะนี้อย่างไร โฆษกประจำตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่าตนไม่ค่อยได้โทรศัพท์ ติดต่อพูดคุย เพราะเห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปอยู่ต่างประเทศแล้วจึงไม่อยากนำเรื่องที่คนไทยเหนื่อยใจ และเครียดไปให้พ.ต.ท.ทักษิณเครียดด้วย ดังนั้นตนจึงไม่เล่า และไม่สอบถาม เพราะอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สบายใจ
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ดำเนินการเรื่องขอลี้ภัยคืบหน้าอย่างไร นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ไม่ได้สอบถามเรื่องนี้ เพราะมีการแถลงข่าวไปแล้ว ข้อมูลจึงเป็นไปตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้แถลงไป ตนไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้
สำหรับความคืบหน้าในการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ในคดีที่ดินรัชดานั้น ต้องถามทีมทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ
นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงการขอลี้ภัยทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ขณะนี้คิดว่ายังไม่มี ส่วนกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ จะไปเป็นที่ปรึกษาให้กับเครือรัฐบาฮามาส ในมหาสมุทรแอตแลนติกนั้น ก็น่าจะจริง
วานนี้ (31 ต.ค.) ที่ศาลยุติธรรม มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาได้เรียกผู้บริหารสำนักงานศาลยุติธรรม และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เข้าหารือ กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี จะโทรศัพท์ผ่านรายการ "ความจริงวันนี้สัญจร" ซึ่งอาจมีการกล่าวถ้อยความพาดพิงสถาบันศาลในลักษณะดูหมิ่นผู้พิพากษา หรือเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล จึงให้สำนักงานศาลยุติธรรม เตรียมรวบรวมเนื้อหาคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ หากมีการดูหมิ่นก็จะพิจารณาดำเนินการทางกฎหมาย ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานในการยุติธรรม หรือดูหมิ่นผู้พิพากษา ตามมาตรา 198 ซึ่งคดีดังกล่าวมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2-1.4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และฐานละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 33 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
**เตือนสื่อตีข่าว"แม้ว"ระวังหมิ่นศาล
แหล่งข่าวระบุว่า ประธานศาลฎีกาได้แสดงความห่วงใยในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแถลงการณ์สื่อต่างประเทศ โต้แย้งคำพิพากษาขององค์คณะศาลฎีกาฯ ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ และได้สั่งการให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เผยแพร่คำพิพากษากลาง และคำพิพากษาส่วนตัวขององค์คณะคดีที่ดินทั้ง 9 คน ผ่านทางเว็บไซต์ศาลฎีกา www.supremecourt.go.th ให้ประชาชนทั่วไปอ่าน เพื่อสร้างความเข้าใจในเหตุผลการตัดสิน โดยเฉพาะคำพิพากษาส่วนตนจะมีทั้งเสียงข้างมากที่ตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ และเสียงข้างน้อย ที่ตัดสินยกฟ้องว่า องค์คณะใช้เหตุผลตัดสินอย่างอิสระไม่มีใครแทรกแซง
" ขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ผู้พิพากษาเกี่ยวกับการออกมาโต้แย้งคำพิพากษาคดีที่ดินรัชดาฯ ของพ.ต.ท.ทักษิณว่า ศาลยุติธรรมต้องปกป้องสถาบันศาลไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงจากคำพูดของผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก อย่างไร แต่ศาลไม่มีหน้าที่ลงไปทะเลาะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้พิพากษาในองค์คณะบางคนเห็นว่า ศาลควรรอให้มีผู้เสียหาย ซึ่งอาจจะเป็นนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ในคดีที่ดินรัชดาฯ มาร้องให้ศาลพิจารณากรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ละเมิดอำนาจศาล จึงเริ่มดำเนินการน่าจะเหมาะสมกว่า" แหล่งข่าวเผย
ทั้งนี้ แหล่งข่าวคนเดิมระบุด้วยว่า ประธานศาลฎีกากังวลที่สื่อนำเสนอข่าวความเห็น หรือการนำถ้อยแถลงของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาเผยแพร่ เพราะการเผยแพร่ข่าวของสื่อ อาจเข้าองค์ประกอบดูหมิ่นผู้พิพากษา หรือละเมิดอำนาจศาลไปด้วย ดังนั้น สื่อควรพิจารณาเนื้อหาและศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนจะตีพิมพ์อะไร รวมทั้งต้องคิดให้มากด้วยว่า สมควรให้ความสำคัญเผยแพร่ข่าวนั้นมากน้อยแค่ไหน เพราะอาจเป็นการเพิ่มช่องทางกระพือความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคม
**สภาทนายจวก"แม้ว"ลบหลู่ศาล
วานนี้ (31 ต.ค.) ที่สภาทนายความ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ออกแถลงการณ์สภาทนายความ เรื่อง"เมื่อผู้ต้องคำพิพากษาของศาลยุติธรรมไทยหลบหนีและออกข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง" โดยประณามการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ที่ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี ออกแถลงการณ์ถึงสื่อสารมวลชนทั้งในและต่างประเทศ มีเจตนาลบหลู่ระบอบการศาลยุติธรรมของประเทศไทย โดยสภาทนายความได้เรียกร้องให้บุคคล และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่โดยเฉียบขาด ในกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ตามเวลาที่กำหนดไว้โดยทันที
แถลงการณ์ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสัญชาติไทย เป็นจำเลยในคดีอาญา ซึ่งเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีอำนาจพิจารณาคดีโดยชอบ และศาลได้พิเคราะห์ข้อกล่าวหาคำให้การ รวมทั้งคำพยานของคู่ความ และได้มีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดตามกฎหมาย และให้ลงโทษจำคุก 2 ปี นั้น เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายและวิธีพิจารณาความของศาลยุติธรรมไทย ซึ่งในสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีรัฐมนตรีที่ถูกคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ลงโทษไปแล้วหลายราย นับตั้งแต่มีการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และเป็นคำพิพากษาถึงที่สุดโดยไม่ได้มีสิทธิอุทธรณ์เลย โดยในส่วนของพ.ต.ท.ทักษิณ แม้จะตกเป็นผู้ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ แต่ยังมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้อีกตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ภายในวันที่ 20 พ.ย.นี้ จึงเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้สิทธิมากกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540
ดังนั้น การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแถลงการณ์ดังกล่าวต่อสาธารณชนจึงไม่อาจฟังเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเห็นว่าเป็นการกล่าวแก้ตัวของนักการเมืองที่ไม่เคารพกฎหมายของบ้านเมือง ที่ไม่มีน้ำหนัก และไม่มีเหตุผลสนับสนุนที่จะรับฟังได้ แล้วการที่พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอ้างว่า ศาลฎีกาฯ ลงโทษตัวเอง เพราะเหตุที่เป็นนักการเมืองนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่เข้ามาเล่นการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยว่า กระบวนการพิจารณาคดีระหว่างนักการเมืองได้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ และข้อกำหนดวิธีพิจารณาคดีอาญาของนักการเมืองของศาลฎีกาฯ กำหนดไว้โดยชัดเจน และเป็นกรณีที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักการเมืองไทยที่มีการคอร์รัปชั่นอยู่อย่างดาษดื่น
สภาทนายความ ในฐานะองค์กรวิชาชีพหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม เห็นว่าการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการลบหลู่ไม่ให้เกียรติกระบวนการยุติธรรมไทยโดยเจตนาและทำให้ต่างชาติเข้าใจผิดพลาดในความโปร่งใส และความเป็นธรรมของศาลไทย จึงขอแถลงการณ์ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจสั่งการ และควบคุมการดำเนินการของกรมประชาสัมพันธ์ ต้องดำเนินการให้มีการปฏิบัติหน้าที่ของตนที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยประมวลจริยธรรม ของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ข้อ 25–26 ,28 โดยการออกข่าวหรือการอนุญาตให้มีการให้ข่าวของสถานีที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ต้องไม่เป็นการเกื้อกูลผู้กระทำความผิด และถูกศาลลงโทษแล้ว ทั้งทางตรงและทางอ้อม
**จี้ถอดยศ-เครื่องราชฯเมื่อคดีถึงที่สุด
อีกทั้ง หากคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถึงที่สุดแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.) ซึ่งเป็นต้นสังกัดของการให้ยศตำแหน่ง คือ“ พันตำรวจโท” ต้องดำเนินการปลด และถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะเป็นผู้ที่ต้องได้รับคำพิพากษาถึงที่สุดลงโทษจำคุกแล้วโดยทันที
ขณะเดียวกันสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก็ต้องเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับกลับคืนโดยเร็ว เพราะว่าการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการหมิ่นต่อกระบวนการของศาลยุติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ จึงไม่ควรที่จะได้รับให้มียศ หรือมีสิทธิในเครื่องราชอิสริยาภรณ์ใดๆ อีกต่อไป
**"เสธอู้"เตือนอย่าบีบทหารปฏิวัติ
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองว่า การก่อเหตุวางระเบิดในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา เป็นสัญญาณบอกว่า มีคนต้องการให้เกิดปัญหากับบ้านเมือง และเกิดความรุนแรง เพราะฉะนั้นการจัดรายการความจริงวันนี้สัญจร ในวันนี้ (1 พ.ย.) จึงจำเป็นต้องระมัดระวัง ควบคุมผู้ชุมนุมให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่รายการจบแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารคง ต้องเตรียมการรับสถานการณ์อย่างดีที่สุด ทั้งนี้หน้าที่เบื้องต้นในการดูแลความสงบเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนฝ่ายทหารเชื่อว่า ผบ.เหล่าทัพ ได้เตรียมความพร้อมดูแลความสงบไปหมดแล้ว
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวอีกว่า การออกมาเสนอทางออกของ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น ท่านคงเป็นห่วงสถานการณ์ ซึ่งมีการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งคาดหมายได้ว่าความรุนแรงมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีฝ่ายที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันและไม่ยอมให้กัน อย่างไรก็ดีตนเชื่อว่าทหารคงไม่ออกมาทำรัฐประหาร เพียงเพราะเหตุผลเรื่องความแตกแยกและความขัดแย้งในสังคม สำหรับข้อเสนอให้ปรับครม. เป็นข้อเสนอที่นายกรัฐมนตรี จะต้องคิด เพราะหากปรับครม.แล้วยังคงมี 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม คงไม่มีประโยชน์ หากจะมีการปรับเอาพรรคประชาธิปัตย์เข้ามา ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิด แต่หากจะให้มีการยุบสภา ตนไม่เห็นด้วย
"รัฐบาลอาจคำนึงถึงความต่อเนื่องของสถาการณ์ หากมีการยุบสภาโดยหลายฝ่ายอาจคิดว่า หากยุบสภาแล้วอาจไม่มีหมากเดินต่อ ที่สุดแล้วคนที่ต้องติดสินใจคือตัวนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้ชั่งใจเอาเอง" พล.อ.เลิศรัตน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในช่วงนี้หรือไม่ พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า เชื่อว่าในช่วงนี้จนถึงเดือนธันวาคมไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น โดยเฉพาะช่วงงานพระราชพิธีสำคัญ ซึ่งทุกฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง เพราะคงไม่มีใครอยากให้ทหารออกมาปฏิวัติ หรือใช้ความรุนแรง เพราะไม่เกิดประโยชน์กับฝ่ายใด แต่ถ้ามีความจำเป็นเพื่อรักษาบ้านเมืองไว้ ก็คงจำเป็นต้องทำ
**เชื่อสถานการณ์ยังไม่ยุติ
เมื่อถามอีกว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ทหารต้องออกมาทำรัฐประหาร พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา จะออกหรือไม่ออก ทหารก็อยู่บนถนนอยู่แล้ว กำลังทหารมีอยู่ทั่วกรุงเทพฯ และพร้อมที่จะป้องกันไม่ให้พี่น้องชาวไทยต้องปะทะกัน โดยหากเกิดเหตุการณ์ปะทะจนควบคุมไม่ไหว ทหารก็ต้องออกมาดูแลอยู่แล้ว
"ผมเชื่อว่าผบ.เหล่าทัพทุกคน ต้องเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมอย่างยาวนาน ไม่ใช่เฉพาะวันนี้พรุ่งนี้ แต่อาจยาวต่อไป ผมเชื่อว่าเหตุการณ์มันไม่ยุติแค่นี้ ความขัดแย้งที่ไม่หันหน้าเข้าหากันมันไม่ยุติง่ายๆ" พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะโฟนอินข้ามประเทศเข้ามาร่วมรายการความจริงวันนี้สัญจร นั้นตนคิดว่า เรื่องการโฟนอิน คงเลยเวลาที่จะพูดแล้ว เพราะทุกอย่างได้เตรียมการไว้หมดแล้ว หากพ.ต.ท.ทักษิณไม่โฟนอินเข้ามา จะเท่ากับเป็นการหลอกมวลชนให้เข้ามาชุมนุม ประเด็นสำคัญคือ ต้องไม่ให้มีการใช้สื่อของรัฐในการเผยแพร่ต่อ เพราะจะเกิดความเสียหายได้ ส่วนการเดินทางมาอยู่ที่เกาะฮ่องกงของพ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเป็นเรื่องปกติที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาในประเทศแถบนี้บ่อยๆ เชื่อว่าคงไม่ใช่การมาบัญชาการอะไร
** ทภ.1 ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่กลุ่ม นปช. ที่จะมีการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านรายการความจริงวันนี้ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินเรื่องอะไรบ้างยังไม่รู้ ตอนนี้กองทัพเพียงติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆอย่างใกล้ชิด ซึ่งการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ที่ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นเครื่องชี้ให้เห็นอะไรหลายอย่างๆ
"กองทัพภาคที่ 1 จัดชุดติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มแนวร่วมนปช. เพื่อเฝ้าดูแล และระวังดูแนวโน้มเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว หากมีสถานการณ์ที่จะเกิดความรุนแรง กองทัพมีความพร้อมที่จะออกไปปฏิบัติตามแผน ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจกรณีที่มีการร้องขอมา"
พล.ท.คณิต กล่าวด้วยว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ได้เน้นย้ำเรื่องการดูแลไม่ให้เกิดการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย รวมถึงการจัดชุดนอกเครื่องแบบ เพื่อหาข่าว รวมถึงการผลักดันให้ตำรวจนครบาล เพิ่มมาตรการในการดูแลความเรียบร้อยให้มากขึ้นด้วย
**มั่นใจไม่เกิดเหตุรุนแรง
เมื่อถามว่า หากพันธมิตรฯและนปช. ปะทะกัน ทางกองทัพจะออกไปปฏิบัติการช่วงไหน พล.ท.คณิต กล่าวว่า กองทัพมีแผนเตรียมการไว้อยู่แล้ว เพราะเราเคยได้รับบทเรียนมาซึ่งเหตุการณ์ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ส่วนเหตุการณ์ระเบิดเมื่อกลางดึกของวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นพวกก่อกวน ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่เรานึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้
เมื่อถามว่า กลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุหวังอะไร พล.ท.คณิต กล่าวว่า ที่แน่ๆ กลุ่มคนร้ายต้องการทำให้เกิดรุนแรงขึ้นมาอีก เพราะสังเกตคนร้ายพยายามก่อเหตุหลายจุด เพื่อเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ปะทุกันขึ้นมาอีก
**"เสธ.แดง"ขู่พันธมิตรฯเจออาร์พีจี
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงเหตุระเบิดที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ บริเวณเขตรักษาความปลอดภัยของการ์ดพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า คงไม่สามารถระบุได้ว่ามือระเบิดเป็นกลุ่มใด แต่แน่นอนว่าขณะนี้มีหลายกลุ่มที่ไม่พอใจพฤติกรรมของแกนนำพันธมิตรฯ และนักรบศรีวิชัย พร้อมจะปฏิบัติการให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล
"คนทำก็คงหวังสั่งสอนพวกการ์ด ไม่ได้หวังชีวิตผู้มาชุมนุม ที่สำคัญเป็นการเตือน และสร้างความกลัวไม่ให้คนเข้ามาชุมนุมที่ทำเนียบฯ ทั้งนี้ เชื่อว่าคนที่จองกฐินงานนี้ ต้องงัดอีกหลากหลายวิธีการมาจัดการแน่ ต่อไปก็คงเจอระเบิดเอ็ม 79 หรือ อาร์พีจี ที่ใช้ปืนยิงสู่เป้าหมาย ซึ่งระยะในการยิงได้ระยะทางไกลกว่า 700 เมตร หรืออาจจะมีการเผารถที่จอดไว้แถวนั้น เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ผู้ชุมนุม ไม่มาชุมนุม" พล.ต.ขัตติยะกล่าว
ส่วนกรณีที่ชายคนที่ถูกยิงอย่างปริศนา ที่บริเวณถนนพิษณุโลก ติดกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล และเหตุระเบิดที่บ้านของ นายจรัญ ภักดีธนากุล คงไม่ใช่กลุ่มเดียวกับที่ขว้างระเบิดกลุ่มพันธมิตรฯ สองกรณีนี้เป็นพวกแขกไม่ได้รับเชิญ น่าจะมาแบบร่วมด้วยช่วยกัน
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ไม่ขอออกความ เห็นกรณีที่มีข่าวว่า เป็นฝีมือของสมาชิกนักรบพระเจ้าตาก ที่ออกปฏิบัติหน้าที่
ด้านหน่วยงานด้านความมั่นคง ระบุว่า เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวรายงานว่าเหตุระเบิดที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ เป็นการดำเนินการโดยวางแผน และจุดยุทธศาสตร์อย่างดี โดยใช้อาวุธระเบิดหวังสังหาร โดยกลุ่มบุคคลที่ต้องสงสัยเป็นเครือข่ายของนายทหารระดับยศนายพล ที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ในเวลานี้
**รปภ.เข้มศาลรธน.หวั่นเผาเอกสาร
วานนี้ ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการประชุมคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ โดยมีนาย ชัช ชลวร ประธานคณะตุลาการ เป็นประธานในที่ประชุม ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบอาคารศาลอย่างเข้มงวด
หลังการประชุม คณะตุลาการได้จัดทำเอกสารแถลงข่าว ระบุว่า จากการประชุมตุลาการนัดพิเศษว่า ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยของศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมเห็นควรให้สำนักงานศาลดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2517 และระเบียบสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย พ.ศ. 2543 โดยให้รักษาความปลอดภัยทุกด้านอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการรักษาความปลอดภัยด้านบุคคล รวมทั้งอาคารสถานที่ทำการ ที่พักอาศัย และเอกสาร โดยการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หมั่นตรวจตราโดยการค้นอาวุธ สิ่งผิดกฎหมายและสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลและสถานที่ การติดตั้งตู้แดง และสัญญาณเตือนภัย
ทั้งนี้ ระหว่างการประชุม ได้มีกลุ่มบุคคลที่ระบุว่า มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มามอบแจกันดอกไม้ให้กำลังใจ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการฯ ที่ถูกปาระเบิดบ้านพัก เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยนายจรัญ ได้ออกมารับด้วยตัวเอง
รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมตุลาการได้หารือถึงประเด็นการถูกข่มขู่คุกคาม แต่ตุลาการทั้งหมดไม่ได้กังวลหรือหวั่นไหวอะไร เนื่องจากทำหน้าที่เป็นตุลาการกับแทบทั้งชีวิต และหากกลัวการข่มขู่ก็คงไม่สามารถทำหน้าที่ตุลาการได้ โดยไม่มีตุลาการคนใดร้องขอการอารักขาความปลอดภัยเพิ่มเติมแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้เป็นห่วงความปลอดภัยของสำนักงานศาลมากกว่า โดยเฉพาะเอกสารหลักฐาน ข้อมูลที่จะใช้ในการพิจารณาคดี โดยเฉพาะคดียุบพรรคการเมือง จึงได้กำชับให้ทางสำนักงานประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาก
**เตือนรัฐบาลใช้ความรุนแรงเจอม.157
เมื่อเวลา13.30 น.วานนี้ กลุ่ม 40 ส.ว.นำโดยนายสมชาย แสวงการ นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายตวง อันทะไชย นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว.สรรหา และนายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายสมชาย กล่าวว่า ที่ประชุม กมธ.คุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิมนุษยชน วุฒิสภา ได้แสดงความเป็นห่วงกับสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้ ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความรุนแรง ทุกฝ่ายยังยึดมั่นในความคิดของตัวเอง แต่รัฐบาลต้องสั่งการไปยัง สตช. ในการควบคุมเหตุการณ์ โดยปราศจากความรุนแรง แต่ถ้าผู้สั่งการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ละเลย ทางคณะกรรมาธิการฯ จะดำเนินคดี เพราะถือว่ากระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 และหากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมดำเนินการใดๆ ที่จะระงับเหตุรุนแรงได้ ก็อยากให้ทหารออกมาปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 188 และตาม พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาตรา 4 แต่ยืนยันว่าไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติ เพียงแต่สนับสนุนให้ทหารออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
นายประสาร กล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินเข้ามาในวันนี้ ถือว่าหมิ่นเหม่ หากมีอะไรเกิดขึ้น ถือว่าการโฟนอินเข้ามาเพื่อเอื้อให้เกิดความรุนแรง และทำให้สังคมแตกแยก กลายเป็นสงครามทางกลางเมือง เพราะทั้ง 2 ฝ่ายไม่เชื่อในอำนาจรัฐ จึงตั้งกองกำลังของตนเองขึ้นมา เพื่อจะมาปกป้องฝ่ายของตนเอง สถานการณ์เช่นนี้ คนที่อยู่ตรงกลางอาจจะถูกลูกหลงได้ จากผลของความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่าย อยากให้รัฐบาลตระหนักถึงประชาชนที่ไม่มีส่วนรู้เห็น
นายตวง กล่าวว่า วันนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า รัฐบาลไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้ ซึ่งก็รู้อยู่แก่ใจว่า ตัวเองจะทำอย่างไร ทั้งนี้ทางคณะกรรมาธิการฯเห็นว่า รัฐบาลควรลดความขัดแย้ง เห็นได้จากเหตุการณ์ลอบปาระเบิดที่ผ่านมา อยากให้คณะกรรมาธิการฯชุดนี้ เป็นองค์กรเฝ้าเตือนสังคม เพราะไม่เชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมลดละให้แก่กัน
นายสาย กล่าวว่า หากวันสองวันนี้เกิดเหตุความรุนแรงขึ้น นายกรัฐมนตรีจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ขณะนี้ทราบข่าวว่าเริ่มมีการขนคนเข้ามาชุมนุมที่กรุงเทพฯกว่า 50,000 คนแล้ว
**"พงศ์เทพ"ยัน"แม้ว"มีสิทธิ์โฟนอิน
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในฐานะโฆษกส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ในรายการความจริงวันนี้สัญจรว่า ตนไม่ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนจะโฟนอินเข้ามาจริงหรือไม่นั้น ต้องถามจากผู้จัดงานความจริงวันนี้
เมื่อถามว่าหลายฝ่ายเกรงว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามาจริงจะยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ทุกคนที่เป็นคนไทยแม้แต่พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเหมือนกัน พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนไทยที่รักประเทศไทย ตนเชื่อว่าหากจะโฟนอินเข้ามาด้วยความที่เป็นคนไทยที่รักประเทศไทย คงไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองของประเทศไทยขณะนี้อย่างไร โฆษกประจำตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่าตนไม่ค่อยได้โทรศัพท์ ติดต่อพูดคุย เพราะเห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปอยู่ต่างประเทศแล้วจึงไม่อยากนำเรื่องที่คนไทยเหนื่อยใจ และเครียดไปให้พ.ต.ท.ทักษิณเครียดด้วย ดังนั้นตนจึงไม่เล่า และไม่สอบถาม เพราะอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สบายใจ
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ดำเนินการเรื่องขอลี้ภัยคืบหน้าอย่างไร นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ไม่ได้สอบถามเรื่องนี้ เพราะมีการแถลงข่าวไปแล้ว ข้อมูลจึงเป็นไปตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้แถลงไป ตนไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้
สำหรับความคืบหน้าในการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ในคดีที่ดินรัชดานั้น ต้องถามทีมทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ
นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงการขอลี้ภัยทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ขณะนี้คิดว่ายังไม่มี ส่วนกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ จะไปเป็นที่ปรึกษาให้กับเครือรัฐบาฮามาส ในมหาสมุทรแอตแลนติกนั้น ก็น่าจะจริง