xs
xsm
sm
md
lg

ไทยสมาร์ทการ์ดปูพรมเป้า5ปี5ล้านใบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไทยสมาร์ทการ์ดเร่งเครื่องปีหน้า โฟกัสกลุ่มองค์กรและนักศึกษา หวังเป้ายาว 5 ปี มีผู้ถือบัตร 5 ล้านราย จุดรับบัตร 30,000 จุด พร้อมเร่งหาพันธมิตรบัตรโคแบรนด์เพิ่มขึ้น อุบไต๋อีก 3 รายทยอยเปิดตัวสิ้นปีนี้

นายฉัตรไชย ฉัตรชัยกนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานธุรกิจและปฏิบัติการ บริษัท ไทยสมาร์ทการ์ด จำกัด ผู้บริหารบัตรสมาร์ทเพิร์ส เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯ มีแผนที่จะรุกตลาดเพิ่มฐานผู้ถือบัตรมากขึ้น โดยมีเป้าหมายหนึ่งที่จะให้ความสำคัญก็คือ แผนขยายไปยังกลุ่มที่เป็นองค์กรและนักศึกษามากขึ้น รวมทั้งแผนการทำบัตรโคแบรนด์เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งตามเป้าหมายระยะยาวภายใน 5 ปี ของการดำเนินธุรกิจจะต้องมีผู้ถือบัตรให้ได้จำนวน 5 ล้านราย และมีจุดรับบัตรประมาณ 30,000จุด

ทั้งนี้หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 3ปีแล้ว ปัจจุบันบริษัทฯมีฐานผู้ถือบัตรกว่า 1.9 ล้านใบ และมีจุดรับบัตรสมาร์ทเพิร์สแล้วมากกว่า 15,000จุด (โดยแบ่งเป็นร้านค้าในเครือเซเว่นอีเลฟเว่นประมาณ 12,000 จุด และเป็นร้านแบรนด์เนมอื่นอีกกว่า 400ราย จำนวนรวมกว่า 3,000จุด ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีผู้ถือบัตรรวมประมาณ 2 ล้านราย และจะมีมูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมอยู่ที่ 4,800ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มี 4,300ล้านบาท

นายฉัตรไชย กล่าวยอมรับว่า ในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองปีนี้อาจจะพลาดเป้าหมายไปเล็กน้อยในแง่การหาถือบัตรเพราะภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่ในแง่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

สำหรับงบการตลาดที่ใช้ไปแล้วในแต่ละปีนั้น ปีแรกอยู่ที่ 150 ล้านบาท ปีที่แล้วอยู่ที่ 80 ล้านบาท และปีนี้อยู่ที่ 60 ล้านบาท รวมแล้วมากกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งปีหน้าคาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 60 ล้านบาท

ส่วนบัตรโคแบรนด์นั้น ปัจจุบันมีจำนวน 15 ราย ซึ่งปีที่แล้วมีประมาณ 8 ราย และในปีนี้เพิ่มอีก 7 ราย โดยล่าสุดคือการเปิดบัตรโคแบรนด์ร่วมกับร้านกาแฟดิโอโร่ของบริษัท โกลเด้นครีม จำกัด ธุรกิจของคนไทย และจากนี้จนถึงสิ้นปีนี้จะมีการเปิดตัวบัตรโคแบรนด์กับอีก 3 รายเป็นธุรกิจ เอนเตอร์เทนเมนต์ ธุรกิจรถโดยสาร และธุรกิจเพิร์สออนไลน์ ส่วนปีหน้าจะมีธุรกิจในเครือซีพีคือ ซีพีอัลลายแอนซ์เข้ามาเป็นพันธมิตรด้วย

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนผุ้ถือหุ้นในขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่จำนวนผู้ถือหุ้นยังเท่าเดิม โดยกลุ่มซีพีถือหุ้นใหญ่รวม 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นของ แบงก์กรุงศรีอยุธยา แบงก์กรุงไทย แบงก์นครหลวงไทย แบงก์ออมสิน และธุรกิจรายเล็กอีก 2 ราย ซึ่งสาเหตุที่กลุ่มซีพีถือหุ้นเพิ่มขึ้นนั้นเนื่องจากว่า ธุรกิจอยู่ในช่วงเริ่มต้นที่ต้องลงทุนจำนวนมากและลงทุนเร็วดังนั้นทางซีพีจึงต้องลงทุนมากก่อน แต่ยืนยันว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นทุกรายยังร่วมมือกันอยู่อย่างดี

"ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจระยะยาว ไม่ได้หวังผลกำไรในช่วงแรกๆ ที่ผ่านมาลงทุนไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาทแล้ว และเรายังต้องลงทุนต่อเนื่องอีก ทั้งการติดตั้งเครื่องในจุดรับบัตรที่มีราคาประมาณ 8,000 กว่าบาทต่อเครื่อง จากอดีตที่สูงถึง 15,000 บาทต่อเครื่อง ถูกลงเพราะว่าธุรกิจเริ่มมีประสิทธิภาพ แต่ว่าถ้าจะให้การซื้อสินค้าผ่านบัตรทั้งหมด 100% คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่เราจะพยายามให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในร้านค้าแบรนด์เนมดังๆ มีประมาณ 50-60% ส่วนร้านค้าธรรมดาประมาณ 30-40% ของปริมาณการขายเราก็พอใจแล้ว" นายฉัตรไชยกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น