ผู้จัดการรายวัน – สรรพากรฮึดตั้งเป้าจัดเก็บภาษีปี 52 ไว้ 1.3 ล้านล้านบาทสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัว พร้อมเพิ่มพื้นที่จัดเก็บภาษีอีก 21 พื้นที่หวังให้ผลการจัดเก็บเป็นไปตามเป้าหมาย เข้มงวดบริษัทเอกชนที่มีพฤติกรรมเลี่ยงภาษีแต่งบัญชีเท็จจ้องฟันทั้งแพ่งและอาญา
นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากรเปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับฝ่ายบริหารสรรพากรภาคและสรรพากรพื้นที่ เพื่อมอบนโยบายจัดเก็บภาษีปีงบประมาณปี 2552 ว่า ในปีงบประมาณ 2552 กรมสรรพากรมีเป้าหมายการจัดเก็บภาษีรวมทั้งสิ้น 1,318,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากผลการจัดเก็บรายได้จริงในปีงบประมาณ 2551 ประมาณ 3% ซึ่งแม้เศรษฐกิจในปีหน้าจะชะลอตัวลง แต่ก็มั่นใจว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย
นายวินัยกล่าวว่า การเติบโตของรายได้ภาษีเมื่อวัดจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)บวกอัตราเงินเฟ้อจะเป็นการขยายตัวของรายได้ภาษี 6.8-9.0% โดยจีดีพีปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.8-5.0% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดไว้จะเพิ่มขึ้น 3-4%อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่อาจจะทำให้รายได้ภาษีไม่เป็นตามเป้าหมายคือ ปัญหาวิกฤติการเงินโลก ปัญหาการเมืองเข้ามากระทบอย่างรุนแรง จนทำให้ธุรกิจต่างๆชะลอตัว
อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวอีกว่า เพื่อประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)ได้อนุญาตให้แบ่งพื้นที่จัดเก็บภาษีเพิ่มอีก 21 พื้นที่ทั่วประเทศ แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 14 พื้นที่ ต่างจังหวัด 7 พื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีการประกอบธุรกิจหนาแน่น ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงาน และแหล่งท่องเที่ยว ร้านค้าแผงลอย โดยขณะนี้เริ่มให้เจ้าหน้าที่ออกไปทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการรายย่อยเกี่ยวกับการเสียภาษี เพื่อดึงผู้มีรายได้จากการประกอบธุรกิจเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มาเสียภาษีอย่างถูกต้อง
"กรมได้ประสานงานกับกทม.เพื่อขอตัวเลขการเสียภาษี และการทำธุรกิจในย่านที่มีควานหนาแน่นมาใช้เพื่อการกำกับดูแลผู้เสียภาษีได้ถูกต้อง เช่น ย่านตลาดองค์การตลาดเพื่อการเกษตร(อ.ต.ก.) ตลาดโบ๊เบ๊ ที่มีผู้ค้ารายย่อยจำนวนมากนั้น กรมจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้บริการรับเสียภาษีและให้ความรู้ด้านภาษีเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับกลุ่มแม้ค้าที่ไม่มีเวลา"นายวินัยกล่าว
นอกจากนี้ กรมจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดกับบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจ และมีพฤติกรรมการตกแต่งบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี โดยเท่าที่มีการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่ามีหลายบริษัทที่มักจะสร้างรายจ่ายเป็นเท็จ เพื่อทำให้มีการเสียภาษีน้อยลงกว่าปกติ ด้วยการการแต่งบัญชีเพื่อให้มีการรับเหมาช่วงต่อ และยังมาขอคืนภาษีในส่วนที่หัก ณ ที่จ่าย ไว้ 3% ซึ่งทำให้รัฐเสียประโยชน์ ถือเป็นการโกงเงินหลวง โดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง รวมถึงธุรกิจประเภทอื่น โดยหากพบความผิดดังกล่าวจะดำเนินการเอาผิดทั้งทางแพ่งและอาญา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วไหล
นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากรเปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับฝ่ายบริหารสรรพากรภาคและสรรพากรพื้นที่ เพื่อมอบนโยบายจัดเก็บภาษีปีงบประมาณปี 2552 ว่า ในปีงบประมาณ 2552 กรมสรรพากรมีเป้าหมายการจัดเก็บภาษีรวมทั้งสิ้น 1,318,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากผลการจัดเก็บรายได้จริงในปีงบประมาณ 2551 ประมาณ 3% ซึ่งแม้เศรษฐกิจในปีหน้าจะชะลอตัวลง แต่ก็มั่นใจว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย
นายวินัยกล่าวว่า การเติบโตของรายได้ภาษีเมื่อวัดจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)บวกอัตราเงินเฟ้อจะเป็นการขยายตัวของรายได้ภาษี 6.8-9.0% โดยจีดีพีปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.8-5.0% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดไว้จะเพิ่มขึ้น 3-4%อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่อาจจะทำให้รายได้ภาษีไม่เป็นตามเป้าหมายคือ ปัญหาวิกฤติการเงินโลก ปัญหาการเมืองเข้ามากระทบอย่างรุนแรง จนทำให้ธุรกิจต่างๆชะลอตัว
อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวอีกว่า เพื่อประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)ได้อนุญาตให้แบ่งพื้นที่จัดเก็บภาษีเพิ่มอีก 21 พื้นที่ทั่วประเทศ แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 14 พื้นที่ ต่างจังหวัด 7 พื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีการประกอบธุรกิจหนาแน่น ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงาน และแหล่งท่องเที่ยว ร้านค้าแผงลอย โดยขณะนี้เริ่มให้เจ้าหน้าที่ออกไปทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการรายย่อยเกี่ยวกับการเสียภาษี เพื่อดึงผู้มีรายได้จากการประกอบธุรกิจเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มาเสียภาษีอย่างถูกต้อง
"กรมได้ประสานงานกับกทม.เพื่อขอตัวเลขการเสียภาษี และการทำธุรกิจในย่านที่มีควานหนาแน่นมาใช้เพื่อการกำกับดูแลผู้เสียภาษีได้ถูกต้อง เช่น ย่านตลาดองค์การตลาดเพื่อการเกษตร(อ.ต.ก.) ตลาดโบ๊เบ๊ ที่มีผู้ค้ารายย่อยจำนวนมากนั้น กรมจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้บริการรับเสียภาษีและให้ความรู้ด้านภาษีเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับกลุ่มแม้ค้าที่ไม่มีเวลา"นายวินัยกล่าว
นอกจากนี้ กรมจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดกับบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจ และมีพฤติกรรมการตกแต่งบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี โดยเท่าที่มีการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่ามีหลายบริษัทที่มักจะสร้างรายจ่ายเป็นเท็จ เพื่อทำให้มีการเสียภาษีน้อยลงกว่าปกติ ด้วยการการแต่งบัญชีเพื่อให้มีการรับเหมาช่วงต่อ และยังมาขอคืนภาษีในส่วนที่หัก ณ ที่จ่าย ไว้ 3% ซึ่งทำให้รัฐเสียประโยชน์ ถือเป็นการโกงเงินหลวง โดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง รวมถึงธุรกิจประเภทอื่น โดยหากพบความผิดดังกล่าวจะดำเนินการเอาผิดทั้งทางแพ่งและอาญา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วไหล
