xs
xsm
sm
md
lg

ลดภาษี7แสนทำRMFวุ่นยังไม่มีผลบังคับใช้-ลูกค้างง!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – มติครม.ขยายวงเงินลดหย่อนภาษีกองทุนRMFและLTF เป็น 7แสนบาท สร้างปัญหาป่วนธุรกิจกองทุนรวม ลูกค้าแห่เข้าลงทุนเพิ่ม แต่บลจ.ยังให้ได้แค่เช่นเดิมที่ 5 แสนบาท เหตุยังไม่มีผลบังคับอย่างเป็นทางการ โอดการคิดคำนวณเม็ดเงินและหน่อยลงทุนย้อนหลังตั้งแต่1ตุลาคมสร้างความยุ่งยาก อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ล่าสุดขั้นตอนทั้งหมดยังอยู่แค่แก้ไขกฎกระทรวง ก่อนส่งให้ครม.พิจารณาอีกรอบ
แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุน กล่าวถึงกรณีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ในเรื่องเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยการขยายวงเงินหักค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จากปัจจุบันกฎหมายกำหนดให้หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 5 แสนบาทต่อปี ให้หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 7 แสนบาทต่อปีว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลด่วนตัดสินใจทำเร็วเกินไป และขณะนี้เรื่องดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะทางบริษัททรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ทุกแห่งยังไม่ได้รับคำสั่งในเรื่องนี้ติดต่อกลับมาถึงบริษัทเลย ซึ่งยอมรับว่าได้สร้างความสับสนให้กับผู้ลงทุน และบริษัทเป็นอย่างมาก
“มติครม.เรื่องขยายวงเงินRMF – LTF ตอนนี้ถือว่ายังไม่มีผล เพราะหลังจากครม.มีมติ เรื่องนี้จะต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ก่อนที่จะออกมาเป็นพระราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ต่อไป แต่เดิมสมัยน.พ.สุรพงษ์ ที่ขยายวงเงินเป็น 5 แสนบาทจาก 3 แสนบาท เรื่องดังกล่าวต้องผ่านขั้นตอนเดียวกันนี้มาก่อนเช่นกัน”แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวได้สร้างความสับสนให้แก่นักลงทุน ผู้สนใจที่จะเข้ารับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในจุดนี้มาก โดยหลายบลจ.ยอมรับว่ามีการโทรสอบถามเรื่องดังกล่าวกับบริษัทเป็นจำนวนมาก แต่ทางบริษัทไม่สามารถให้คำยืนยันในเรื่องวงเงินดังกล่าวได้ นอกจากยืนยันถึงวงเงิน 5 แสนบาทเดิมที่ได้รับการอนุมัติไปก่อนหน้าแล้ว เมื่อช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา
“ตอนนี้เราไม่พูดถึงวงเงิน 7 แสนบาทกับลูกค้า แต่จะพูดในเรื่องของสิทธิวงเงิน 5 แสนบาทมากกว่า แต่ลูกค้าจะไม่เข้าใจ และไม่สนใจ เนื่องจากได้จำไว้แล้วว่าครม.มีมติเป็น 7 แสนบาทแล้ว ซึ่งจะต้องมีผลดำเนินการได้ทันทีเท่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นเหมือนเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาซึ่งครม.ได้ขยายวงเงินขยายวงเงินจาก 3 แสนบาท เป็น 5 แสนบาท แต่ช่วงนั้นมีผลบังคับใช้เร็วจึงไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนในช่วงนี้”แหล่งข่าว กล่าว
นอกจากนี้ จากมติครม.ที่ออกมาและได้เห็นสมควรว่าควรกำหนดเป็นมาตรการชั่วคราวโดยมีผลสำหรับหน่วยลงทุนที่ได้มีการซื้อระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2551 ถึง 31 ธ.ค. 2551 นั้นทางบลจ.หลายแห่งระบุว่า เรื่องนี้สร้างความสับสนและความยากลำบากต่อการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉพาะในเรื่องการคำนวณเงินลงทุนและหน่วยลงทุนที่เพิ่มเติมของลูกค้า และจะเป็นปัญหามากขึ้นสำหรับในส่วนของลูกค้าที่ได้เพิ่มวงเงินลงทุนมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคมในการคิดคำนวณเรื่องต่างๆ
“เมื่อมติครม.มีผลให้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่1-31 ตุลาคม เรายังไม่รู้ว่าตรงนี้จะไปวัดได้อย่างไร เพราะถ้าลงทุนไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนที่เกินไปหมายถึงลูกค้าที่ลงทุนเพิ่มทันทีหลังครม.มีมติออกมาจะมีผลเลยหรือเปล่า เช่นซื้อ 6แสนบาท แล้วอีก1แสนบาทที่เกินมาจากเดิม 5 แสนบาทนี้ จะถูกนำไปคำนวณคิดรวมกับวงเงินที่ขยายเป็น 7 แสนบาทได้หรือไม่ และจะสามารถเข้าซื้อหน่วยลงทุนได้เพิ่มเติมเท่าไร เป็นที่ยุ่งยากกับทางบลจ.มาก”
สำหรับ ราชกิจจานุเบกษา เป็นหนังสือของทางราชการที่ออกเป็นรายสัปดาห์โดยสำนักงานราชกิจจานุเบกษา สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำหรับลงประกาศเกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนประกาศของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ รวมทั้งประกาศเกี่ยวกับการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวเชื่อว่า การออกมติครม.ในเรื่องนี้ และจากปัจจุบันที่ยังไม่มีผลบังคับใช้ จะยิ่งมีส่วนทำให้เรื่องดังกล่าวไม่สามารถกระตุ้นยอดลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้เพิ่มขึ้นได้เท่าที่ควร เนื่องจากระยะเวลาที่มีผลบังคับใช้มีอยู่เพียงแค่ 3 เดือนคือ ตุลาคม – ธันวาคม อีกทั้ง ณ ปัจจุบันเวลาที่เหลืออยู่มีแค่ประมาณ 2 เดือนเท่านั้น และยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งน่าจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าลงทุนของลูกค้ามากนัก อีกทั้งนักลงทุนที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องนี้ก็มีสัดส่วนที่น้อยด้วยเช่นกัน
นางสาวดวงกมล จึงพิศาล เลขาธิการและผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎกระทรวงในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยหลังจากผ่านขั้นตอนดังกล่าวแล้ว จะกลับมาเข้าครม.อีกรอบ ก่อนจะมีการประกาศใช้ ซึ่งเรื่องนี้ ต้องรอความชัดเจนจากทางสรรพากร เนื่องจากสรรพากรเป็นผู้เสนอขอแก้ไขกฏกระทรวงดังกล่าว เพราะเกี่ยวข้องการการจัดเก็บภาษี
อย่างไรก็ตาม จากมติ ครม. ที่ประกาศให้มีผลบังคับใช้สำหรับยอดซื้อกองทุนLTF และ RMF ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 31 ธันวาคม 2551 ไปแล้วนั้น ซึ่งในส่วนนี้ คงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุนเองว่า จะซื้อกองทุนได้เลยหรือจะรอให้การแก้ไขกฎกระทรวงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการก่อน เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าสามารถประกาศใช้ได้เมื่อไหร่
ทั้งนี้ การเพิ่มเดดานลงทุนในกองทุน LTF และ RMF จาก 500,000 เป็น 700,000 บาทนั้น เป็นเพียงมาตรการในการกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น และมีผลเพียงสิ้นปีนี้เท่านั้น แต่หลังจากปีหน้า เพดานการลงทุนของกองทุนทั้ง 2 ประเภทก็จะปรับลดลงมาอยู่ที่ 500,000 บาทเช่นเดิม
กำลังโหลดความคิดเห็น