เอเอฟพี - โฮเวิร์ด สตริงเกอร์ ประธานชาวอเมริกันของบริษัทโซนี่คอร์ป ประกาศวานนี้(27) ยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์รายนี้ยังคงมุ่งรักษาความทะเยอทะยานระดับโลกในระยะยาวของตนเองเอาไว้ ถึงแม้กำลังถูกกระทบอย่าง "แรงมากๆ" จากวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกในเวลานี้
บริษัทซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของความยอดเยี่ยมแห่งภาคบรรษัทของญี่ปุ่น ต้องออกมาแถลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสุทธิประจำปีการเงินนี้ (เมย.08-มีค.09) ลงมากว่าครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่าค่าเงินเยนพุ่งแรง, การแข่งขันก็ดุเดือด, ขณะที่วิกฤตการเงินทั่วโลกทำให้อุปสงค์ลดตัวลงมาก
"เรามีธุรกิจเพื่อการส่งออกที่แข็งแกร่งมากในญี่ปุ่น ธุรกิจของเราส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการส่งออก กว่า 80% ทีเดียว" สตริงเกอร์ผู้เป็นประธานโซนี่ที่เป็นชาวต่างชาติคนแรก กล่าวต่อที่ประชุมทางธุรกิจแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว "ดังนั้น ผลกระทบที่มีต่อเราจึงจะเป็นไปอย่างแรงมากๆ ไม่มีอะไรที่จะต้องปกปิดในเรื่องนี้หรอก"
แต่เขายืนยันว่า วิกฤตระดับโลกเช่นนี้สามารถที่จะเปิดโอกาสแก่โซนี่ ในการแสวงหากิจการที่เหมาะสมแก่การควบรวม รวมทั้งการเสาะหาผู้มีความสามารถจากบริษัทอื่นๆ "พวกที่พูดว่าวิกฤตคือโอกาสน่ะ พูดถูกต้องเสมอแหละ" เขาบอก
โซนี่สามารถใช้วิกฤตคราวนี้มาเป็น "โอกาสในการทำให้สิ่งต่างๆ ราบรื่นยิ่งขึ้นและเพรียวลมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" สตริงเกอร์กล่าว พร้อมกับเสริมว่าโซนี่จะยังคงมุ่งรักษาเป้าหมายทางธุรกิจในระยะยาวของตนเองเอาไว้
สตริงเกอร์บอกว่า โซนี่ยังจะเพิ่มฟังก์ชั่นเครือข่ายดิจิตอลให้แก่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของตนเองต่อไป อาทิ เกมของบริษัท โดยหวังว่าจะกลายเป็นจุดที่สามารถใช้ท้าทายพวกคู่แข่งในสหรัฐฯ อาทิ อินเทล, ไมโครซอฟท์, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอปเปิล
นอกจากนี้ โซนี่ยังกำลังได้เปรียบจากภาพลักษณ์ด้านแบรนด์ที่แข็งแกร่งของตน ตลอดจนเร่งขยายตัวไปในประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, และจีน เขากล่าว
อย่างไรก็ดี สตริงเกอร์ยอมรับว่า โซนี่ได้รับความเสียหายมากจากค่าเงินเยนที่แข็งโป๊ก ทั้งนี้เวลานี้ สกุลเงินของญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 13 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
"ในจำนวนที่ขาดหายไปซึ่งเป็นเหตุให้เราต้องทบทวนตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสุทธิของเราเสียใหม่นั้น ราว 75% ทีเดียวมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดหุ้น" เขาชี้ แต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่า "ค่าเงินเยนที่สูงอยู่แล้วนั้นยังคงสูงขึ้นต่อไปอีก แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เงินเยนจะต้องกลับลงมา เพราะมันไม่มีเหตุผลหรอกที่เงินเยนจะอยู่สูงๆ ขนาดนั้นในระยะยาว"
กระนั้น สตริงเกอร์ซึ่งเกิดในเวลส์แต่มีสัญชาติอเมริกัน ก็เตือนว่า ลู่ทางอนาคตในสหรัฐฯกำลังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้เมื่อเดือนสิงหาคม พวกเครือข่ายค้าปลีกในสหรัฐฯยังมองโลกแง่ดีเกี่ยวกับการช็อปปิ้งช่วงคริสต์มาส ทว่าเวลานี้พวกเขากลับเปลี่ยนความคิดเห็นไปเสียแล้ว โดยที่มีบางร้านจัดส่งคืนสินค้าที่อยู่ในสต็อก ดังนั้น "คุณก็เริ่มจะรู้สึกขึ้นมาจริงๆ แล้วว่า ตลาดค้าปลีกแห่งนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นใจทีเดียว"
บริษัทซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของความยอดเยี่ยมแห่งภาคบรรษัทของญี่ปุ่น ต้องออกมาแถลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสุทธิประจำปีการเงินนี้ (เมย.08-มีค.09) ลงมากว่าครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่าค่าเงินเยนพุ่งแรง, การแข่งขันก็ดุเดือด, ขณะที่วิกฤตการเงินทั่วโลกทำให้อุปสงค์ลดตัวลงมาก
"เรามีธุรกิจเพื่อการส่งออกที่แข็งแกร่งมากในญี่ปุ่น ธุรกิจของเราส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการส่งออก กว่า 80% ทีเดียว" สตริงเกอร์ผู้เป็นประธานโซนี่ที่เป็นชาวต่างชาติคนแรก กล่าวต่อที่ประชุมทางธุรกิจแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว "ดังนั้น ผลกระทบที่มีต่อเราจึงจะเป็นไปอย่างแรงมากๆ ไม่มีอะไรที่จะต้องปกปิดในเรื่องนี้หรอก"
แต่เขายืนยันว่า วิกฤตระดับโลกเช่นนี้สามารถที่จะเปิดโอกาสแก่โซนี่ ในการแสวงหากิจการที่เหมาะสมแก่การควบรวม รวมทั้งการเสาะหาผู้มีความสามารถจากบริษัทอื่นๆ "พวกที่พูดว่าวิกฤตคือโอกาสน่ะ พูดถูกต้องเสมอแหละ" เขาบอก
โซนี่สามารถใช้วิกฤตคราวนี้มาเป็น "โอกาสในการทำให้สิ่งต่างๆ ราบรื่นยิ่งขึ้นและเพรียวลมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" สตริงเกอร์กล่าว พร้อมกับเสริมว่าโซนี่จะยังคงมุ่งรักษาเป้าหมายทางธุรกิจในระยะยาวของตนเองเอาไว้
สตริงเกอร์บอกว่า โซนี่ยังจะเพิ่มฟังก์ชั่นเครือข่ายดิจิตอลให้แก่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของตนเองต่อไป อาทิ เกมของบริษัท โดยหวังว่าจะกลายเป็นจุดที่สามารถใช้ท้าทายพวกคู่แข่งในสหรัฐฯ อาทิ อินเทล, ไมโครซอฟท์, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอปเปิล
นอกจากนี้ โซนี่ยังกำลังได้เปรียบจากภาพลักษณ์ด้านแบรนด์ที่แข็งแกร่งของตน ตลอดจนเร่งขยายตัวไปในประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, และจีน เขากล่าว
อย่างไรก็ดี สตริงเกอร์ยอมรับว่า โซนี่ได้รับความเสียหายมากจากค่าเงินเยนที่แข็งโป๊ก ทั้งนี้เวลานี้ สกุลเงินของญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 13 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
"ในจำนวนที่ขาดหายไปซึ่งเป็นเหตุให้เราต้องทบทวนตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสุทธิของเราเสียใหม่นั้น ราว 75% ทีเดียวมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดหุ้น" เขาชี้ แต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่า "ค่าเงินเยนที่สูงอยู่แล้วนั้นยังคงสูงขึ้นต่อไปอีก แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เงินเยนจะต้องกลับลงมา เพราะมันไม่มีเหตุผลหรอกที่เงินเยนจะอยู่สูงๆ ขนาดนั้นในระยะยาว"
กระนั้น สตริงเกอร์ซึ่งเกิดในเวลส์แต่มีสัญชาติอเมริกัน ก็เตือนว่า ลู่ทางอนาคตในสหรัฐฯกำลังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้เมื่อเดือนสิงหาคม พวกเครือข่ายค้าปลีกในสหรัฐฯยังมองโลกแง่ดีเกี่ยวกับการช็อปปิ้งช่วงคริสต์มาส ทว่าเวลานี้พวกเขากลับเปลี่ยนความคิดเห็นไปเสียแล้ว โดยที่มีบางร้านจัดส่งคืนสินค้าที่อยู่ในสต็อก ดังนั้น "คุณก็เริ่มจะรู้สึกขึ้นมาจริงๆ แล้วว่า ตลาดค้าปลีกแห่งนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นใจทีเดียว"