นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พูดในงานศพของสารวัตรจ๊าบอย่างสั้นๆ ว่าวิกฤตทั้งหลายในประเทศไทยขณะนี้ คนที่จะปลดล็อกได้มีเพียงคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เพราะขณะนี้กำลังมีการระดมพลคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดการเผชิญหน้าและปะทะกับประชาชนคนเสื้อเหลือง ซึ่งชูธงจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นที่ประจักษ์
แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ก็ได้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยใช้คำว่า “นายไม่ยุ่ง” และนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ได้แนะนำอีกว่าเป็นหน้าที่ของคนที่หนุนม็อบจะต้องปลดล็อกเอง
การแถลงของนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ดังกล่าวนี้ไม่รู้ว่าเป็นการพูดโดยลำพังตนเองหรือเป็นการพูดโดยได้รับคำสั่งจากคุณทักษิณให้พูดเช่นนั้น
การพูดเช่นนั้นมีความหมายที่เข้าใจได้ว่าการระดมพลคนเสื้อแดงนั้นมิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับคุณทักษิณก็ได้ แต่ก็หมายความได้เช่นเดียวกันว่าถึงจะเกี่ยว คุณทักษิณ ก็จะไม่หยุดยั้งความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยจะปล่อยให้มวลชนคนเสื้อแดงเปิดศึกปะทะกับมวลชนคนเสื้อเหลืองต่อไป
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ว่าอย่างนั้นเถิด! นี่เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะในวันนี้คนทั้งหลายย่อมรู้และเข้าใจว่าการเผชิญหน้ากันไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นเพราะมีการบริหารจัดการด้วยกำลังเงินมากมายมหาศาล
มันเกิดขึ้นเพื่อบรรลุความปรารถนาบางอย่าง ซึ่งมีผู้พูดไว้ก่อนแล้วว่าต้องการเห็นสงครามประชาชนเกิดขึ้น
คงจะเข้าใจว่าเมื่อเกิดสงครามประชาชนหรือสงครามกลางเมืองขึ้นแล้ว ก็จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทยตามที่ปรารถนาได้
นี่คือปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าต่อให้คุณทักษิณต้องการที่จะถอยหรือหยุดหรือวางมือทางการเมืองใดๆ บรรดาผู้คนใกล้ตัวหรือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ก็จะไม่ยินยอมให้หยุดหรือให้ถอยเป็นอันขาด
จะต้องเชิดหรือชูคุณทักษิณออกรบไปจนถึงที่สุด เหมือนกับเอ็นซิสที่ต่อสู้จนตัวตายแล้ว ก็ยังถูกลูกน้องเอาศพสวมเกราะขึ้นนั่งบนหลังม้าออกสู่สมรภูมิอีก
คนที่พูดถึงสงครามประชาชนหรือสงครามกลางเมืองในวันนี้จะมีสักกี่คนที่เคยรู้สัมผัสและเห็นผลร้ายของสงคราม โดยเฉพาะความโหดเหี้ยมอำมหิต ความพังพินาศ ความย่อยยับดับสูญของชีวิตผู้คนและทรัพย์สินตลอดจนชาติบ้านเมือง หากว่ามันเกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นจริงๆ
มีแต่พวกไร้เดียงสาที่คะนองปากหรือทะยานอยากโดยไม่รู้ผลร้ายที่แท้จริงของสงครามกลางเมืองเท่านั้นที่พร่ำเพ้อทะเยอทะยานอยากจะเห็นมัน
ความโหดร้าย โหดเหี้ยมอำมหิตและความพินาศฉิบหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและพี่น้องร่วมชาติจากสงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชนนั้นหนักหนาสาหัสและยิ่งกว่าความสูญเสียในสงครามโลกเสียอีก เพราะมันเกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างยืดเยื้อยาวนาน
ประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชนในโลกนี้ล้วนยืดเยื้อยาวนานทั้งสิ้น ล้วนโหดเหี้ยมอำมหิต ล้วนสังหารผลาญชีวิตผู้คนและทำลายทรัพย์สินของคนทั้งชาติและทำให้ประเทศชาติพังพินาศทั้งนั้น
หากเกิดเป็นสงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชนขึ้นจริงๆ ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะก็ไม่มีทางที่คุณทักษิณจะกลับเข้ามาครองอำนาจในประเทศไทยได้ เพราะความยืดเยื้อยาวนานและความโหดเหี้ยมอำมหิตของมันนั้น อาจจะล่วงเกินเวลาที่คุณทักษิณมีความอยากจะมีอำนาจไปเสียแล้วก็ได้ หรืออาจล้มหายตายจากไปก่อนก็ได้
ที่สำคัญ มันไม่คุ้มกับการเอาชีวิต ครอบครัว ลูกเมียไปเสี่ยงตามลักษณะตีงูให้กากิน เพราะคนที่จะได้อำนาจวาสนาที่แท้จริงจะไม่ใช่คุณทักษิณหรือภริยาหรือลูกทั้งสามคน หรือแม้แต่พี่ๆ น้องๆ และเขยๆ ทั้งปวง
เพราะจะตกเป็นเหยื่อการสังหารโหดโดยคนที่คุมกำลังในสงครามที่ย่อมคิดยึดเอาอำนาจวาสนามาเป็นของตนเสียเอง ตามวิสัยที่ว่าใครทำศึกชนะแล้ว มีหรือจะเอาชัยชนะไปหมอบกราบไว้แทบเท้าคนอื่น
การดึงดันผลักคุณทักษิณออกสู่สนามรบของสงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชน จึงเป็นกลยุทธ์ใช้ศพเอ็นซิสออกศึกสงครามและถ้าหากคุณทักษิณเออออห่อหมกไปด้วย ก็จะได้รับผลดังนัยภาษิตที่ว่าตีงูให้กากินเท่านั้น
เป็นแต่ว่าตีงูให้กากินแล้ว ตัวเอง ครอบครัว และญาติพี่น้องก็จะพากันพินาศฉิบหายล้มตายหมด เพราะยังมีเสือสิงห์กระทิงแรดที่คอยขยี้ขย้ำกำอำนาจไว้เป็นของตนในเบื้องหน้า
นั่นเป็นอนาคตทางหนึ่งหากว่าคุณทักษิณจะหลงคำคนหรือใช้อารมณ์ความรู้สึกอาฆาตพยาบาทเคืองแค้นในปัจจุบันในการตัดสินใจตามที่คนรอบข้างผลักดัน
เส้นทางที่เดินมานี้ก็เห็นๆ กันอยู่แล้วว่ามีแต่เลือดและน้ำตา ตลอดจนความทุกข์ยากลำเค็ญนานัปการ ถึงวันนี้แม้พรรคพลังประชาชนจะมีอำนาจรัฐ แต่ชะตากรรมของคุณทักษิณและครอบครัวเล่าเป็นฉันใดก็เห็นกันอยู่
การตกอยู่ในสภาพผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกทั้งตนเองและผู้เป็นภริยาเป็นความทุกข์ทรมานใจ และอดสูต่อผู้คนทั้งปวงเป็นอย่างยิ่ง เป็นวิบากกรรมที่เกิดแต่กรรมซึ่งทำไว้แต่ก่อน อันควรเป็นอุทาหรณ์ให้ตั้งสติยั้งคิด
ผลกรรมกำลังลุกลามไปยังครอบครัวของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ขณะนี้ก็กำลังเดินหน้าไปสู่ชะตากรรมอย่างเดียวกัน ดังที่ปรากฏเป็นข่าวว่าต้องส่งลูกออกไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าข้อมูลลึกๆ ที่แท้จริง และความหวั่นไหวในใจลึกนั้นเป็นประการใด ใครจะรู้ดีเท่าตัวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เอง
โลกมนุษย์เรานี้ ไหนเลยจะมีเส้นทางเดียวเท่าที่กล่าวมานี้ หากยังมีเส้นทางอื่นมากมายหลายเส้นนัก อุปมาดั่งเส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ จะไปทางรถหรือทางอากาศ หรือจะเดินไปก็ได้ทั้งนั้น ไยจะต้องจมปลักอยู่กับความคิดที่จะไปโดยทางเครื่องบินทางเดียวเล่า
วันนี้เพื่อสนับสนุนข้อเสนอของนายอานันท์ ปันยารชุน และเพื่อเป็นทางออกที่รุ่งโรจน์ให้กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ก็ลองคิดดูเล่นๆ ว่าคุณทักษิณจะมีเส้นทางอื่นประการใดบ้าง ก็เห็นได้ลางๆ ว่าหากเดินตามเส้นทางที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และจะตกอยู่ในฐานะผู้ไม่พ่ายแพ้ ทั้งวันหนึ่งคนทั้งหลายอาจจะเห็นเป็นพระคุณที่ทำให้กับบ้านเมืองและประชาชนก็ได้
จะลองลำดับความคิดเป็นแนวทางเพื่อเป็นประกายแห่งความคิดให้คิดตามดังนี้
เบื้องแรก ต้องน้อมนำสัมมาทิฐิและเมตตาธรรมให้บังเกิดขึ้นในใจตน เห็นความจริงว่าเกิดมาแล้วก็ต้องตายสักวันหนึ่ง และเวลาของความตายนั้นอยู่ไม่ไกลนัก เพราะคนในวัย 59 ปี มีความเสี่ยงที่จะตายโดยธรรมชาติได้ทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสสอนว่าอย่าประมาทกับความตาย แม้เพียงแค่เวลาเปิบข้าวเข้าปาก ดังนั้นจึงไม่พึงยึดมั่นถือมั่นสิ่งไรๆ ว่าเป็นตัวกู ของกู ดังนี้แล้วก็จะมีน้ำจิตคิดละวางความอยากส่วนตนแล้วมีจิตเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์โดยเฉพาะผู้คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ไกลออกไปจนถึงเพื่อนร่วมชาติทั้งปวง เพียงเท่านี้ก็จะมีความฉ่ำเย็นดับร้อนในใจให้สลายไปได้
ก้าวที่สอง ช่วยถอนฟืนออกจากกองไฟ วางภาระถอนตัวออกมาจากความขัดแย้งทางการเมืองเพียงชั่วแค่สัก 3 ปี 5 ปี ทุ่มความสนใจไปสู่เส้นทางใหม่ ไม่ต้องวุ่นวายเสียเงินเสียทอง ไม่ต้องถูกใครด่าไล่หลัง ใช้ปัจจัยแห่งเวลาให้สถานการณ์คลี่คลายไปเอง
ก้าวที่สาม พาครอบครัวไปอยู่ที่บาฮามาส เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของประเทศนั้น แล้วรับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษให้กับรัฐบาลบาฮามาส แสดงฝีไม้ลายมือสร้างความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูให้กับประเทศนั้น ทำนองเดียวกับที่ขวัญต๋ง งักเย สองขุนนางที่ทำนุบำรุงแผ่นดินในยุคของตนจนเจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงเลื่องลือมาถึงปัจจุบันนี้ นับเวลาได้กว่า 3,000 ปีแล้ว
ก้าวที่สี่ สนับสนุนรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งราชอาณาจักรไทยเสมือนหนึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญของชาติบ้านเมือง ที่แม้ตัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองและอยู่ในต่างประเทศ แต่ก็มีสติปัญญาความสามารถและเครือข่ายที่จะช่วยสนับสนุนทำนุบำรุงชาติบ้านเมืองอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนให้พ้นวิกฤตและเจริญรุ่งเรือง ชื่อเสียงและเกียรติภูมิก็จะค่อยๆ เลื่องชื่อลือชาปรากฏ ลบล้างและกลบความรู้สึกเดิมๆ จนค่อยๆ สร่างหายไปในที่สุด
ก้าวที่ห้า ใช้สติปัญญาความสามารถ ความสุจริตใจ ความจริงใจ ประสานงานกับนักลงทุนทั่วโลกให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศชาติและประชาชน ซึ่งอาจกราบถวายรายงานโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ย่อมเป็นที่ปลื้มพระราชหฤทัย และย่อมยังความยินดีปรีดาให้แก่พี่น้องร่วมชาติของตน
ตั้งสัมมาทิฐิและเมตตาให้เกิดกับใจให้ได้เท่านั้น จังหวะก้าวต่างๆ นี้เป็นวิสัยที่คุณทักษิณจะสามารถทำการให้สำเร็จได้เป็นแน่แท้ และย่อมฟื้นฟูศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ ตลอดจนอาจก้าวสู่ฐานะรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยในวันหน้าอีกด้วย
ถึงวันนั้นความขุ่นข้องหมองใจ ความโกรธแค้นชิงชัง ที่เคยมีมาแต่หนหลัง ตลอดจนบรรดาอรรถคดีความต่างๆ ก็ย่อมสะสางได้ แม้ทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ เฉพาะส่วนที่ได้มาโดยชอบก็อยู่ในวิสัยที่จะได้รับกลับคืน
เส้นทางนี้แค่คิดก็เป็นสุข ยามเดินในเส้นทางก็ภาคภูมิใจ สุขใจ และอิ่มใจ และมีหรือที่จะไม่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณสนับสนุนให้ทำการอันเป็นคุณแก่แผ่นดิน
ดังนี้จะไม่ดีกว่าเดินเส้นทางสงครามกลางเมืองอันเป็นเส้นทางนรกที่พวกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพร่ำเพ้อและผลักให้เดินหรือ?
จะเป็นมหาบุรุษที่มีคุณูปการต่อราชอาณาจักรและพระบรมราชจักรีวงศ์ หรือจะเป็นอาชญากรในสงครามกลางเมือง หรือจะเป็นเหยื่อของใครก็ไม่รู้ คุณทักษิณย่อมมีสติปัญญาคิดอ่านเลือกได้เองเป็นแน่แท้!
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่าเมตตาธรรมคือธรรมที่ค้ำจุนโลกให้สงบสันติได้ หากทุกฝ่ายทุกคนละวางทิฐิและการยึดมั่นถือมั่นที่มีอยู่ แล้วหันมาพิจารณาน้อมนำเมตตาธรรมให้บังเกิดขึ้นในใจก็จะมีผลต่อการทำให้ประเทศไทยของเรากลับสู่ความร่มเย็นเป็นสุข และทุกคนย่อมบรรเทาความทุกข์ในจิตใจลงไปได้อย่างแน่นอน.
เพราะขณะนี้กำลังมีการระดมพลคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดการเผชิญหน้าและปะทะกับประชาชนคนเสื้อเหลือง ซึ่งชูธงจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นที่ประจักษ์
แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ก็ได้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยใช้คำว่า “นายไม่ยุ่ง” และนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ได้แนะนำอีกว่าเป็นหน้าที่ของคนที่หนุนม็อบจะต้องปลดล็อกเอง
การแถลงของนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ดังกล่าวนี้ไม่รู้ว่าเป็นการพูดโดยลำพังตนเองหรือเป็นการพูดโดยได้รับคำสั่งจากคุณทักษิณให้พูดเช่นนั้น
การพูดเช่นนั้นมีความหมายที่เข้าใจได้ว่าการระดมพลคนเสื้อแดงนั้นมิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับคุณทักษิณก็ได้ แต่ก็หมายความได้เช่นเดียวกันว่าถึงจะเกี่ยว คุณทักษิณ ก็จะไม่หยุดยั้งความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยจะปล่อยให้มวลชนคนเสื้อแดงเปิดศึกปะทะกับมวลชนคนเสื้อเหลืองต่อไป
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ว่าอย่างนั้นเถิด! นี่เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะในวันนี้คนทั้งหลายย่อมรู้และเข้าใจว่าการเผชิญหน้ากันไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นเพราะมีการบริหารจัดการด้วยกำลังเงินมากมายมหาศาล
มันเกิดขึ้นเพื่อบรรลุความปรารถนาบางอย่าง ซึ่งมีผู้พูดไว้ก่อนแล้วว่าต้องการเห็นสงครามประชาชนเกิดขึ้น
คงจะเข้าใจว่าเมื่อเกิดสงครามประชาชนหรือสงครามกลางเมืองขึ้นแล้ว ก็จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทยตามที่ปรารถนาได้
นี่คือปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าต่อให้คุณทักษิณต้องการที่จะถอยหรือหยุดหรือวางมือทางการเมืองใดๆ บรรดาผู้คนใกล้ตัวหรือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ก็จะไม่ยินยอมให้หยุดหรือให้ถอยเป็นอันขาด
จะต้องเชิดหรือชูคุณทักษิณออกรบไปจนถึงที่สุด เหมือนกับเอ็นซิสที่ต่อสู้จนตัวตายแล้ว ก็ยังถูกลูกน้องเอาศพสวมเกราะขึ้นนั่งบนหลังม้าออกสู่สมรภูมิอีก
คนที่พูดถึงสงครามประชาชนหรือสงครามกลางเมืองในวันนี้จะมีสักกี่คนที่เคยรู้สัมผัสและเห็นผลร้ายของสงคราม โดยเฉพาะความโหดเหี้ยมอำมหิต ความพังพินาศ ความย่อยยับดับสูญของชีวิตผู้คนและทรัพย์สินตลอดจนชาติบ้านเมือง หากว่ามันเกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นจริงๆ
มีแต่พวกไร้เดียงสาที่คะนองปากหรือทะยานอยากโดยไม่รู้ผลร้ายที่แท้จริงของสงครามกลางเมืองเท่านั้นที่พร่ำเพ้อทะเยอทะยานอยากจะเห็นมัน
ความโหดร้าย โหดเหี้ยมอำมหิตและความพินาศฉิบหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและพี่น้องร่วมชาติจากสงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชนนั้นหนักหนาสาหัสและยิ่งกว่าความสูญเสียในสงครามโลกเสียอีก เพราะมันเกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างยืดเยื้อยาวนาน
ประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชนในโลกนี้ล้วนยืดเยื้อยาวนานทั้งสิ้น ล้วนโหดเหี้ยมอำมหิต ล้วนสังหารผลาญชีวิตผู้คนและทำลายทรัพย์สินของคนทั้งชาติและทำให้ประเทศชาติพังพินาศทั้งนั้น
หากเกิดเป็นสงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชนขึ้นจริงๆ ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะก็ไม่มีทางที่คุณทักษิณจะกลับเข้ามาครองอำนาจในประเทศไทยได้ เพราะความยืดเยื้อยาวนานและความโหดเหี้ยมอำมหิตของมันนั้น อาจจะล่วงเกินเวลาที่คุณทักษิณมีความอยากจะมีอำนาจไปเสียแล้วก็ได้ หรืออาจล้มหายตายจากไปก่อนก็ได้
ที่สำคัญ มันไม่คุ้มกับการเอาชีวิต ครอบครัว ลูกเมียไปเสี่ยงตามลักษณะตีงูให้กากิน เพราะคนที่จะได้อำนาจวาสนาที่แท้จริงจะไม่ใช่คุณทักษิณหรือภริยาหรือลูกทั้งสามคน หรือแม้แต่พี่ๆ น้องๆ และเขยๆ ทั้งปวง
เพราะจะตกเป็นเหยื่อการสังหารโหดโดยคนที่คุมกำลังในสงครามที่ย่อมคิดยึดเอาอำนาจวาสนามาเป็นของตนเสียเอง ตามวิสัยที่ว่าใครทำศึกชนะแล้ว มีหรือจะเอาชัยชนะไปหมอบกราบไว้แทบเท้าคนอื่น
การดึงดันผลักคุณทักษิณออกสู่สนามรบของสงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชน จึงเป็นกลยุทธ์ใช้ศพเอ็นซิสออกศึกสงครามและถ้าหากคุณทักษิณเออออห่อหมกไปด้วย ก็จะได้รับผลดังนัยภาษิตที่ว่าตีงูให้กากินเท่านั้น
เป็นแต่ว่าตีงูให้กากินแล้ว ตัวเอง ครอบครัว และญาติพี่น้องก็จะพากันพินาศฉิบหายล้มตายหมด เพราะยังมีเสือสิงห์กระทิงแรดที่คอยขยี้ขย้ำกำอำนาจไว้เป็นของตนในเบื้องหน้า
นั่นเป็นอนาคตทางหนึ่งหากว่าคุณทักษิณจะหลงคำคนหรือใช้อารมณ์ความรู้สึกอาฆาตพยาบาทเคืองแค้นในปัจจุบันในการตัดสินใจตามที่คนรอบข้างผลักดัน
เส้นทางที่เดินมานี้ก็เห็นๆ กันอยู่แล้วว่ามีแต่เลือดและน้ำตา ตลอดจนความทุกข์ยากลำเค็ญนานัปการ ถึงวันนี้แม้พรรคพลังประชาชนจะมีอำนาจรัฐ แต่ชะตากรรมของคุณทักษิณและครอบครัวเล่าเป็นฉันใดก็เห็นกันอยู่
การตกอยู่ในสภาพผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกทั้งตนเองและผู้เป็นภริยาเป็นความทุกข์ทรมานใจ และอดสูต่อผู้คนทั้งปวงเป็นอย่างยิ่ง เป็นวิบากกรรมที่เกิดแต่กรรมซึ่งทำไว้แต่ก่อน อันควรเป็นอุทาหรณ์ให้ตั้งสติยั้งคิด
ผลกรรมกำลังลุกลามไปยังครอบครัวของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ขณะนี้ก็กำลังเดินหน้าไปสู่ชะตากรรมอย่างเดียวกัน ดังที่ปรากฏเป็นข่าวว่าต้องส่งลูกออกไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าข้อมูลลึกๆ ที่แท้จริง และความหวั่นไหวในใจลึกนั้นเป็นประการใด ใครจะรู้ดีเท่าตัวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เอง
โลกมนุษย์เรานี้ ไหนเลยจะมีเส้นทางเดียวเท่าที่กล่าวมานี้ หากยังมีเส้นทางอื่นมากมายหลายเส้นนัก อุปมาดั่งเส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ จะไปทางรถหรือทางอากาศ หรือจะเดินไปก็ได้ทั้งนั้น ไยจะต้องจมปลักอยู่กับความคิดที่จะไปโดยทางเครื่องบินทางเดียวเล่า
วันนี้เพื่อสนับสนุนข้อเสนอของนายอานันท์ ปันยารชุน และเพื่อเป็นทางออกที่รุ่งโรจน์ให้กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ก็ลองคิดดูเล่นๆ ว่าคุณทักษิณจะมีเส้นทางอื่นประการใดบ้าง ก็เห็นได้ลางๆ ว่าหากเดินตามเส้นทางที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และจะตกอยู่ในฐานะผู้ไม่พ่ายแพ้ ทั้งวันหนึ่งคนทั้งหลายอาจจะเห็นเป็นพระคุณที่ทำให้กับบ้านเมืองและประชาชนก็ได้
จะลองลำดับความคิดเป็นแนวทางเพื่อเป็นประกายแห่งความคิดให้คิดตามดังนี้
เบื้องแรก ต้องน้อมนำสัมมาทิฐิและเมตตาธรรมให้บังเกิดขึ้นในใจตน เห็นความจริงว่าเกิดมาแล้วก็ต้องตายสักวันหนึ่ง และเวลาของความตายนั้นอยู่ไม่ไกลนัก เพราะคนในวัย 59 ปี มีความเสี่ยงที่จะตายโดยธรรมชาติได้ทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสสอนว่าอย่าประมาทกับความตาย แม้เพียงแค่เวลาเปิบข้าวเข้าปาก ดังนั้นจึงไม่พึงยึดมั่นถือมั่นสิ่งไรๆ ว่าเป็นตัวกู ของกู ดังนี้แล้วก็จะมีน้ำจิตคิดละวางความอยากส่วนตนแล้วมีจิตเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์โดยเฉพาะผู้คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ไกลออกไปจนถึงเพื่อนร่วมชาติทั้งปวง เพียงเท่านี้ก็จะมีความฉ่ำเย็นดับร้อนในใจให้สลายไปได้
ก้าวที่สอง ช่วยถอนฟืนออกจากกองไฟ วางภาระถอนตัวออกมาจากความขัดแย้งทางการเมืองเพียงชั่วแค่สัก 3 ปี 5 ปี ทุ่มความสนใจไปสู่เส้นทางใหม่ ไม่ต้องวุ่นวายเสียเงินเสียทอง ไม่ต้องถูกใครด่าไล่หลัง ใช้ปัจจัยแห่งเวลาให้สถานการณ์คลี่คลายไปเอง
ก้าวที่สาม พาครอบครัวไปอยู่ที่บาฮามาส เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของประเทศนั้น แล้วรับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษให้กับรัฐบาลบาฮามาส แสดงฝีไม้ลายมือสร้างความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูให้กับประเทศนั้น ทำนองเดียวกับที่ขวัญต๋ง งักเย สองขุนนางที่ทำนุบำรุงแผ่นดินในยุคของตนจนเจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงเลื่องลือมาถึงปัจจุบันนี้ นับเวลาได้กว่า 3,000 ปีแล้ว
ก้าวที่สี่ สนับสนุนรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งราชอาณาจักรไทยเสมือนหนึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญของชาติบ้านเมือง ที่แม้ตัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองและอยู่ในต่างประเทศ แต่ก็มีสติปัญญาความสามารถและเครือข่ายที่จะช่วยสนับสนุนทำนุบำรุงชาติบ้านเมืองอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนให้พ้นวิกฤตและเจริญรุ่งเรือง ชื่อเสียงและเกียรติภูมิก็จะค่อยๆ เลื่องชื่อลือชาปรากฏ ลบล้างและกลบความรู้สึกเดิมๆ จนค่อยๆ สร่างหายไปในที่สุด
ก้าวที่ห้า ใช้สติปัญญาความสามารถ ความสุจริตใจ ความจริงใจ ประสานงานกับนักลงทุนทั่วโลกให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศชาติและประชาชน ซึ่งอาจกราบถวายรายงานโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ย่อมเป็นที่ปลื้มพระราชหฤทัย และย่อมยังความยินดีปรีดาให้แก่พี่น้องร่วมชาติของตน
ตั้งสัมมาทิฐิและเมตตาให้เกิดกับใจให้ได้เท่านั้น จังหวะก้าวต่างๆ นี้เป็นวิสัยที่คุณทักษิณจะสามารถทำการให้สำเร็จได้เป็นแน่แท้ และย่อมฟื้นฟูศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ ตลอดจนอาจก้าวสู่ฐานะรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยในวันหน้าอีกด้วย
ถึงวันนั้นความขุ่นข้องหมองใจ ความโกรธแค้นชิงชัง ที่เคยมีมาแต่หนหลัง ตลอดจนบรรดาอรรถคดีความต่างๆ ก็ย่อมสะสางได้ แม้ทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ เฉพาะส่วนที่ได้มาโดยชอบก็อยู่ในวิสัยที่จะได้รับกลับคืน
เส้นทางนี้แค่คิดก็เป็นสุข ยามเดินในเส้นทางก็ภาคภูมิใจ สุขใจ และอิ่มใจ และมีหรือที่จะไม่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณสนับสนุนให้ทำการอันเป็นคุณแก่แผ่นดิน
ดังนี้จะไม่ดีกว่าเดินเส้นทางสงครามกลางเมืองอันเป็นเส้นทางนรกที่พวกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพร่ำเพ้อและผลักให้เดินหรือ?
จะเป็นมหาบุรุษที่มีคุณูปการต่อราชอาณาจักรและพระบรมราชจักรีวงศ์ หรือจะเป็นอาชญากรในสงครามกลางเมือง หรือจะเป็นเหยื่อของใครก็ไม่รู้ คุณทักษิณย่อมมีสติปัญญาคิดอ่านเลือกได้เองเป็นแน่แท้!
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่าเมตตาธรรมคือธรรมที่ค้ำจุนโลกให้สงบสันติได้ หากทุกฝ่ายทุกคนละวางทิฐิและการยึดมั่นถือมั่นที่มีอยู่ แล้วหันมาพิจารณาน้อมนำเมตตาธรรมให้บังเกิดขึ้นในใจก็จะมีผลต่อการทำให้ประเทศไทยของเรากลับสู่ความร่มเย็นเป็นสุข และทุกคนย่อมบรรเทาความทุกข์ในจิตใจลงไปได้อย่างแน่นอน.