จากกรณี คนร้ายลอบปาระเบิดใส่บ้านพัก นายอักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด เลขที่ 6/48 , 6/136 และ 6/140 ซึ่งเป็นบ้านพัก 3 หลังในรั้วเดียวกัน ซ.ลาดพร้าว 25 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. วันที่ 21 ต.ค. แรงระเบิดทำให้พื้นถนนภายในรั้วบ้านเป็นหลุมลึก 2-3 ซม. กว้าง 10 ซม.
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า คนร้าย ใช้ระเบิดแรงดันต่ำ ทำให้เกิดความเสียหายบริเวณหน้าบ้าน โดยอิฐบล๊อกแตกได้รับความเสียหายเล็กน้อย คาดว่าคนร้ายต้องการแค่ข่มขู่ ไม่ได้มุ่งหวังเอาชีวิต จึงเชื่อว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย และจากการสอบถามคนในบ้านยืนยันว่า นายอักขราทร ไม่เคยมีความโกรธแค้นกับใครมาก่อน และเมื่อนายอักขราทร เดินทางกลับจากต่างประเทศ ก็สามารถเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจได้
ขณะนี้ได้สั่งการให้ตำรวจ สน.พหลโยธิน จัดกำลังมาดูแลความเรียบร้อย บริเวณหน้าบ้านนายอักขราทรเป็นระยะ ซึ่งนายอักขราทรได้เดินทางไปประชุมศาลปกครองโลก ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และมีกำหนดการเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 27 ต.ค.นี้ นอกจากนั้น ยังสั่งให้ตำรวจทุกท้องที่ดูแลความปลอดภัยตุลาการชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ด้วย
จากการสอบถามผู้ที่อยู่ในบ้านหลังดังกล่าวให้การว่า ขณะเกิดเหตุ นายอักขราทร ไม่อยู่บ้าน เดินทางไปต่างประเทศทั้งครอบครัว โดยก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียง คล้ายหม้อแปลงระเบิด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่พบสะเก็ดระเบิด คาดว่า น่าจะเป็นประทัดยักษ์หรือระเบิดแรงดันต่ำ เบื้องต้นสันนิษฐานเป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดีต้องการสร้าง สถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และน่าจะก่อเหตุเพราะความคึกคะนอง อย่างไรก็ตาม มั่นใจเจ้าของบ้านไม่มีความขัดแย้งใดๆ กับใคร และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังๆ ด้วย
ด้านนายอักขราทร ให้สัมภาษณ์ว่า รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ทราบละเอียด เมื่อถามว่าจะเดินทางกลับก่อนกำหนดหรือไม่ นายอักขราทรกล่าวว่า ยังไม่ทราบ เพราะขณะนี้กำลังประชุมอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอักขราทร ได้มีกำหนดการเดินทางไปราชการ ที่กรุงไคโร ซึ่งเป็นงานวิชาการที่สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ โดยเป็นการไปร่วมประชุมเสาวนาเรื่องการบังคับคดีปกครองของศาลปกครองจากประเทศต่างๆ ซึ่งจัดโดย องค์การพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศของประเทศอียิปต์ กรุงไคโร ระหว่างวันที่ 19-25 ต.ค. อย่างไรก็ตามสำหรับงานดังกล่าวมีการจัดขึ้นทุกปี ทั้งนี้ในแต่ละประเทศจะเวียนกันเป็นเจ้าภาพ
รายงานข่าวแจ้งว่าหลังเกิดเหตุปาระเบิดใส่บ้านพักนายอักขราธร ตุลาการที่ศาลปกครองได้มีการวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าไม่น่าจะเป็นเหตุ ที่มาจากการพิจารณาคดีของศาลปกครอง เพราะว่าขณะนี้ศาลปกครองไม่มีคดีอะไรที่น่าเป็นห่วง ถึงแม้จะมีเรื่องทางการเมืองเข้ามาให้พิจารณาบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น
ทั้งนี้อาจจะเป็นการเข้าใจผิด และเป็นการข่มขู่มากกว่า เนื่องจากในวันที่ 21 ต.ค. นี้จะมีการพิจารณาคดีที่ดินย่านรัชดาภิเษกของครอบครัวชินวัตร อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวนายอักราทร ก็ไม่ได้ไปมีเรื่องผิดใจอะไรกับใคร และไม่น่าจะมีปัญหาส่วนตัวกับใคร เพราะมีนิสัยเป็นมิตรกับทุกคน รวมไปถึงครอบครัวก็ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากไม่มีคนในครอบครัวประกอบธุรกิจที่จะไปขัดผลประโยชน์ของใคร โดยลูกสาวมีอาชีพรับจัดสวน ส่วนลูกชายก็เป็นนักบิน
สำหรับนายอักขราทร นั้นเคยได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (ทำหน้าที่แทน ศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549) ในยุคหลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2549 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 111 คน เป็นเวลา 5 ปี
นอกจากนั้นในช่วงที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองกลาง ได้พิจารณาคดีที่ผลในทางการเมืองหลายคดี เช่น การกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชากรณีสนับสนุนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก, การกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวห้ามนายกรัฐมนตรีและสำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า คนร้าย ใช้ระเบิดแรงดันต่ำ ทำให้เกิดความเสียหายบริเวณหน้าบ้าน โดยอิฐบล๊อกแตกได้รับความเสียหายเล็กน้อย คาดว่าคนร้ายต้องการแค่ข่มขู่ ไม่ได้มุ่งหวังเอาชีวิต จึงเชื่อว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย และจากการสอบถามคนในบ้านยืนยันว่า นายอักขราทร ไม่เคยมีความโกรธแค้นกับใครมาก่อน และเมื่อนายอักขราทร เดินทางกลับจากต่างประเทศ ก็สามารถเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจได้
ขณะนี้ได้สั่งการให้ตำรวจ สน.พหลโยธิน จัดกำลังมาดูแลความเรียบร้อย บริเวณหน้าบ้านนายอักขราทรเป็นระยะ ซึ่งนายอักขราทรได้เดินทางไปประชุมศาลปกครองโลก ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และมีกำหนดการเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 27 ต.ค.นี้ นอกจากนั้น ยังสั่งให้ตำรวจทุกท้องที่ดูแลความปลอดภัยตุลาการชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ด้วย
จากการสอบถามผู้ที่อยู่ในบ้านหลังดังกล่าวให้การว่า ขณะเกิดเหตุ นายอักขราทร ไม่อยู่บ้าน เดินทางไปต่างประเทศทั้งครอบครัว โดยก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียง คล้ายหม้อแปลงระเบิด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่พบสะเก็ดระเบิด คาดว่า น่าจะเป็นประทัดยักษ์หรือระเบิดแรงดันต่ำ เบื้องต้นสันนิษฐานเป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดีต้องการสร้าง สถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และน่าจะก่อเหตุเพราะความคึกคะนอง อย่างไรก็ตาม มั่นใจเจ้าของบ้านไม่มีความขัดแย้งใดๆ กับใคร และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังๆ ด้วย
ด้านนายอักขราทร ให้สัมภาษณ์ว่า รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ทราบละเอียด เมื่อถามว่าจะเดินทางกลับก่อนกำหนดหรือไม่ นายอักขราทรกล่าวว่า ยังไม่ทราบ เพราะขณะนี้กำลังประชุมอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอักขราทร ได้มีกำหนดการเดินทางไปราชการ ที่กรุงไคโร ซึ่งเป็นงานวิชาการที่สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ โดยเป็นการไปร่วมประชุมเสาวนาเรื่องการบังคับคดีปกครองของศาลปกครองจากประเทศต่างๆ ซึ่งจัดโดย องค์การพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศของประเทศอียิปต์ กรุงไคโร ระหว่างวันที่ 19-25 ต.ค. อย่างไรก็ตามสำหรับงานดังกล่าวมีการจัดขึ้นทุกปี ทั้งนี้ในแต่ละประเทศจะเวียนกันเป็นเจ้าภาพ
รายงานข่าวแจ้งว่าหลังเกิดเหตุปาระเบิดใส่บ้านพักนายอักขราธร ตุลาการที่ศาลปกครองได้มีการวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าไม่น่าจะเป็นเหตุ ที่มาจากการพิจารณาคดีของศาลปกครอง เพราะว่าขณะนี้ศาลปกครองไม่มีคดีอะไรที่น่าเป็นห่วง ถึงแม้จะมีเรื่องทางการเมืองเข้ามาให้พิจารณาบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น
ทั้งนี้อาจจะเป็นการเข้าใจผิด และเป็นการข่มขู่มากกว่า เนื่องจากในวันที่ 21 ต.ค. นี้จะมีการพิจารณาคดีที่ดินย่านรัชดาภิเษกของครอบครัวชินวัตร อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวนายอักราทร ก็ไม่ได้ไปมีเรื่องผิดใจอะไรกับใคร และไม่น่าจะมีปัญหาส่วนตัวกับใคร เพราะมีนิสัยเป็นมิตรกับทุกคน รวมไปถึงครอบครัวก็ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากไม่มีคนในครอบครัวประกอบธุรกิจที่จะไปขัดผลประโยชน์ของใคร โดยลูกสาวมีอาชีพรับจัดสวน ส่วนลูกชายก็เป็นนักบิน
สำหรับนายอักขราทร นั้นเคยได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (ทำหน้าที่แทน ศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549) ในยุคหลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2549 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 111 คน เป็นเวลา 5 ปี
นอกจากนั้นในช่วงที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองกลาง ได้พิจารณาคดีที่ผลในทางการเมืองหลายคดี เช่น การกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชากรณีสนับสนุนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก, การกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวห้ามนายกรัฐมนตรีและสำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
