"สพรั่ง" ย้ำทหารปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่นักการเมืองคิดถึงแต่พรรคและฐานเสียง ลั่นต้องขจัดคนเลวออกไปเพื่อให้บ้านเมืองสงบ ชี้เป็นยุคทหารเผชิญหน้านักการเมืองเป็นสงครามระหว่างความดี กับความชั่วไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่สุดท้ายฝ่ายที่ยึดมั่นในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต้องชนะ ส่วนเรื่องปฏิวัติ จะมีอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความจำเป็น
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธข้อเสนอของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่เรียกร้องให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ด้วยการลาออกจากตำแหน่งว่า ทหารทุกคนมีศักดิ์ศรี และเป้าหมาย มีเจตนารมณ์มุ่งมั่นที่จะต่อสู้ ปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ขณะที่นักการเมือง ปกป้องพรรคของตนเอง ปกป้องฐานเสียง และคะแนนเสียงของตน
ส่วนทหารจะออกมายึดอำนาจอีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลกระทบ และเหตุผลของผู้รับผิดชอบ ซึ่งเหตุผลเป็นตัวตัดสินว่า มีผลกระทบต่อความเสียหายของชาติบ้านเมืองหรือไม่ เหตุที่ไม่สงบเพราะคนเลวทำให้ไม่สงบ ดังนั้นจะหยุดเลยคงไม่ใช่ เพราะต้องขจัดความเลวออกไปก่อน ความสงบจึงจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อการเมืองและการทหารขัดแย้งกัน จะกระทบต่อประเทศชาติ ประชาชนต้องพิจารณาด้วยจิตที่นึกถึงส่วนรวม
"ยกตัวอย่าง หากญาติประพฤติตัวไม่ดี เราต้องเป็นศัตรูกับญาติได้ เพราะชาติต้องมาก่อนญาติ กองทัพ กับการเมืองขัดแย้งกัน ด้วยปัญหาที่ยอมกันไม่ได้ เป็นธรรมดาที่ฝ่ายที่มีกำลังย่อมชนะเสมอ กำลังหมายถึงศักยภาพการต่อสู้ ไม่ใช่มีอาวุธ หรือไม่มีอาวุธ เพราะการรบไม่จำเป็นต้องใช้ยุทโธปกรณ์ วันนี้ต้องดูว่าใครสู้กับใคร ต้องคำนึงถึงชาติเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อการเมืองกับการทหารเผชิญหน้า ต้องถามว่าฝ่ายใดเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ฝ่ายนั้นจะชนะ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเรื่องจำนวน แต่ขึ้นอยู่ที่เหตุผลความดี ขณะนี้เป็นสงครามระหว่างความดี กับความชั่วไม่ใช่เรื่องการเมือง" พล.อ.สพรั่ง กล่าว
เมื่อถามว่า ทางออกประเทศชาติ จะจบอย่างไร พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เหมือนคนไข้ไม่รู้จักรักษาโรค มัวแต่หวง อย่าไปผ่าตัด กลัวเจ็บ หากเราผ่าเลยก็จบ แต่ไม่ใช่ว่าจะไปทำแรงๆ เพื่อให้จบ แต่ต้องทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ได้ประชดประชันใคร แต่คนที่ฟังอยู่ต้องรู้ว่า ตนกำลังสื่ออะไรออกไป เมื่อถามว่า ปัญหาจะจบคล้ายเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ไม่มีหรอก ถ้าท้าทายกัน คิดว่าหนังม้วนเดียวจบ สถานการณ์อย่างนี้ ทำให้เห็นชัดเจนว่า ม้วนเดียวจบ
เมื่อถามว่า ทางออกของประเทศยังไม่จำเป็นต้องปฏิวัติ ใช่หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่าไม่ได้พูดว่าไม่จำเป็น แต่เมื่อสองฝ่ายเผชิญหน้าให้พูดกันด้วยเหตุผล หากเหตุผลกระทบต่อชาติบ้านเมืองเกิดแน่ สมัยที่ตนเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. นักข่าวถามว่า จะปฏิวัติหรือไม่ ตนบอกว่าอย่าถามผล แต่ต้องถามเหตุ ถ้าเหตุมีไม่ ต้องถามผล เพราะผลเกิดจากเหตุ เหตุมี ผลก็มี
เมื่อถามว่า หากทหารปฏิวัติแล้วผลดีมากกว่าผลเสีย ควรทำใช่หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ไม่ใช่ได้ หรือเสีย แต่จำเป็นหรือไม่จำเป็น หากทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ ก็ต้องทำ เพราะผลประโยชน์ของชาติสำคัญกว่า หากปล่อยให้อยู่อย่างนี้ พังกันไปหมด ทุกคนจะมัวแต่เอาตัวรอด อย่าเลี้ยงไข้ อย่าตามใจคนไข้ ถ้าเป็นโรคอะไรต้องรักษาตามโรค และหากเป็นโรคร้าย ก็ต้องรักษา
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธข้อเสนอของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่เรียกร้องให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ด้วยการลาออกจากตำแหน่งว่า ทหารทุกคนมีศักดิ์ศรี และเป้าหมาย มีเจตนารมณ์มุ่งมั่นที่จะต่อสู้ ปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ขณะที่นักการเมือง ปกป้องพรรคของตนเอง ปกป้องฐานเสียง และคะแนนเสียงของตน
ส่วนทหารจะออกมายึดอำนาจอีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลกระทบ และเหตุผลของผู้รับผิดชอบ ซึ่งเหตุผลเป็นตัวตัดสินว่า มีผลกระทบต่อความเสียหายของชาติบ้านเมืองหรือไม่ เหตุที่ไม่สงบเพราะคนเลวทำให้ไม่สงบ ดังนั้นจะหยุดเลยคงไม่ใช่ เพราะต้องขจัดความเลวออกไปก่อน ความสงบจึงจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อการเมืองและการทหารขัดแย้งกัน จะกระทบต่อประเทศชาติ ประชาชนต้องพิจารณาด้วยจิตที่นึกถึงส่วนรวม
"ยกตัวอย่าง หากญาติประพฤติตัวไม่ดี เราต้องเป็นศัตรูกับญาติได้ เพราะชาติต้องมาก่อนญาติ กองทัพ กับการเมืองขัดแย้งกัน ด้วยปัญหาที่ยอมกันไม่ได้ เป็นธรรมดาที่ฝ่ายที่มีกำลังย่อมชนะเสมอ กำลังหมายถึงศักยภาพการต่อสู้ ไม่ใช่มีอาวุธ หรือไม่มีอาวุธ เพราะการรบไม่จำเป็นต้องใช้ยุทโธปกรณ์ วันนี้ต้องดูว่าใครสู้กับใคร ต้องคำนึงถึงชาติเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อการเมืองกับการทหารเผชิญหน้า ต้องถามว่าฝ่ายใดเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ฝ่ายนั้นจะชนะ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเรื่องจำนวน แต่ขึ้นอยู่ที่เหตุผลความดี ขณะนี้เป็นสงครามระหว่างความดี กับความชั่วไม่ใช่เรื่องการเมือง" พล.อ.สพรั่ง กล่าว
เมื่อถามว่า ทางออกประเทศชาติ จะจบอย่างไร พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เหมือนคนไข้ไม่รู้จักรักษาโรค มัวแต่หวง อย่าไปผ่าตัด กลัวเจ็บ หากเราผ่าเลยก็จบ แต่ไม่ใช่ว่าจะไปทำแรงๆ เพื่อให้จบ แต่ต้องทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ได้ประชดประชันใคร แต่คนที่ฟังอยู่ต้องรู้ว่า ตนกำลังสื่ออะไรออกไป เมื่อถามว่า ปัญหาจะจบคล้ายเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ไม่มีหรอก ถ้าท้าทายกัน คิดว่าหนังม้วนเดียวจบ สถานการณ์อย่างนี้ ทำให้เห็นชัดเจนว่า ม้วนเดียวจบ
เมื่อถามว่า ทางออกของประเทศยังไม่จำเป็นต้องปฏิวัติ ใช่หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่าไม่ได้พูดว่าไม่จำเป็น แต่เมื่อสองฝ่ายเผชิญหน้าให้พูดกันด้วยเหตุผล หากเหตุผลกระทบต่อชาติบ้านเมืองเกิดแน่ สมัยที่ตนเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. นักข่าวถามว่า จะปฏิวัติหรือไม่ ตนบอกว่าอย่าถามผล แต่ต้องถามเหตุ ถ้าเหตุมีไม่ ต้องถามผล เพราะผลเกิดจากเหตุ เหตุมี ผลก็มี
เมื่อถามว่า หากทหารปฏิวัติแล้วผลดีมากกว่าผลเสีย ควรทำใช่หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ไม่ใช่ได้ หรือเสีย แต่จำเป็นหรือไม่จำเป็น หากทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ ก็ต้องทำ เพราะผลประโยชน์ของชาติสำคัญกว่า หากปล่อยให้อยู่อย่างนี้ พังกันไปหมด ทุกคนจะมัวแต่เอาตัวรอด อย่าเลี้ยงไข้ อย่าตามใจคนไข้ ถ้าเป็นโรคอะไรต้องรักษาตามโรค และหากเป็นโรคร้าย ก็ต้องรักษา