รองปลัดกลาโหม ชี้ หากสถานการณ์การชุมนุมตึงเครียด และเกิดการเผชิญหน้าการปฏิวัติก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ย้ำรัฐบาลอย่าเหลิงอำนาจ หากไม่มีความชอบธรรม และขืนใจปชช.ก็อยู่ลำบาก
วันนี้ (26 พ.ค.) พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ว่า ตนเป็นห่วงบ้านเมืองมากกว่าสถานการณ์ เพราะสถานการณ์เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคนที่ออกมา เพราะเขาอาจเห็นว่าวิกฤตแล้ว และหากเขาออกมาเพราะรักชาติบ้านเมือง เป็นห่วงบ้านเมืองตนก็เห็นด้วย ส่วนกรณีที่อาจจะมีเหตุการณ์ม็อบชนม็อบนั้น ตนก็มีความเป็นห่วงแต่ทำอะไรไม่ได้ แต่หากเหตุการณ์ม็อบชนม็อบจริง คนที่นำม็อบออกมาชนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งหลังจากสถานการณ์คลี่คลายคงเป็นเรื่องของกติกาบ้านเมือง ทั้งนี้ ตนคิดว่าผู้ที่รักษากฎกติกา หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องวางตนให้เป็นที่พึ่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ และทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เมื่อถามว่า หากผู้ชุมนุมออกมาเคลื่อนไหวตามกรอบของกฎหมายก็สามารถทำได้ใช่หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า คำว่า กฎหมาย คือ สิทธิเสรีภาพ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงสามารถออกมาเคลื่อนไหวได้หากมีความห่วงใยบ้านเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เมื่อถามว่า เหตุการณ์จะบานปลายจนย้อนกลับไปเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 19 กันยา 49 ได้หรือไม่ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องความบานปลาย แต่เป็นความพยายามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายของการแสดงออก
เมื่อถามว่า แสดงว่า ท่านเห็นด้วยกับการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมใช่หรือไม่ กล่าวว่า ความรักชาติรักบ้านเมืองสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า มองว่า การที่รัฐบาลเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเร็วไปหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าว่า ในความเห็นของความตน ไม่เห็นจะต้องไปแก้ไขอะไร เมื่อถามว่า เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตนเองหรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ทุกคนทั้งประเทศก็คิดอย่างนั้น
“ไม่ใช่ว่าคนที่มีอำนาจจะทำอะไรได้ทุกอย่าง หากไม่มีความชอบธรรม และหากประชาชนทั้งประเทศไม่เห็นด้วยก็คงจะทำไม่ได้ การจะทำอะไรให้ไปสู่ความสำเร็จต้องได้รับความเห็นพ้องต้องกัน และการยอมรับจากประชาชน อย่าลืมว่าคนรักชาติบ้านเมืองยังมีกำลังมากพอ เพียงแต่เขาเฝ้าดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” พล.อ.สพรั่ง กล่าว
พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตนห่วงบ้านเมืองมาตลอด แต่เราไม่ได้อยู่ในฐานะที่ต้องเข้าไปแสดงความรับผิดชอบโดยตรง ขณะนี้สงสารประเทศชาติมาก แต่ทุกคนจะต้องร่วมมือกัน และเลือกอยู่ข้างความดี ความถูกต้อง ทั้งนี้ ตนไม่อยากเห็นภาพที่จะให้เกิดเหตุการณ์นองเลือด และไม่อยากให้คนไทยต้องสังเวยชีวิต ขณะนี้เหมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว เพราะขณะนี้บ้านเมืองเกิดความเลวร้าย ศีลธรรมเสื่อม
“ถึงเวลาที่ประชาชนทั้งประเทศที่มีความรับผิดชอบ ความเข้มแข็ง และมีเวลาหายใจเพื่อคนอื่นหรือบ้านเมืองบ้าง ได้หันมาตรวจสอบว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อบ้านเมืองนั้น เราจะเพิกเฉยกันหรือไม่ หากเราเพิกเฉยก็รอรับผลเลยว่า เดือดร้อนแน่นอน ทางแก้ไขคือ คนดีต้องจับมือช่วยกันแก้ไข และแสดงออกถึงการไม่ยอมคนชั่ว” พล.อ.สพรั่ง กล่าว
เมื่อถามว่า หากสถานการณ์ทวีความรุนแรง ทหารจะออกมาควบคุมสถานการณ์หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า คงตอบแทนผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงไม่ได้ หากตนคิดเองได้ ตัดสินใจเองได้ หากผมรับผิดชอบ จะตอบเลยว่าจะทำอะไรไม่ทำอะไร เมื่อถามว่าเหตุใดจึงมีความพยายามโยงการเมืองเข้ากับเรื่องการปฏิวัติ กล่าวว่า จากที่พยายามออกข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงมีวัตถุประสงค์เพื่อฉกฉวยบางสิ่งบางอย่าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากสถานการณ์ขณะนี้คิดว่ามีเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติขึ้นได้หรือไม่ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า หากสถานการณ์หาทางออกไม่ได้ การเผชิญหน้าก็จะต้องเกิดขึ้น มีทางเดียวก็คือ ฝ่ายรักษาความมั่นคงจะต้องรับผิดชอบในการคลี่คลายสถานการณ์ให้ได้
“การรักษาชาติบ้านเมืองให้อยู่ในสภาวะสงบเรียบร้อยโดยเร็วที่สุด ถือเป็นบทบาทของฝ่ายความมั่นคงที่จะต้องตัดสินใจทำ เราจะต้องออกมารับผิดชอบคลี่คลายสถานการณ์เพื่อรักษาบ้านเมือง เพราะทหารเพิกเฉยต่อสถานการณ์ไม่ได้ หากเกิดเหตุจลาจลบ้านเมืองวิกฤตทหารจะอยู่เฉยๆได้อย่างไร หากเกินกำลังที่ตำรวจจะดำเนินการ ทหารจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้” พล.อ.สพรั่ง กล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีการปฏิวัติ พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า เป็นไปตามผล ซึ่งผลมาจากเหตุ หากเหตุไม่ถูกต้อง ผลก็ไม่ถูกต้อง แต่เรื่องนี้ตนไม่ขอรับรองหรือยืนยันว่า จะมีหรือไม่มีทั้งสิ้น เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร หากหลายฝ่ายเกิดการต่อสู้ เข้าห้ำหั่นกัน ถึงตอนนั้นก็เป็นความรับผิดชอบของทหารที่จะต้องปกป้องประเทศ